พบผลลัพธ์ทั้งหมด 218 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4247/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความเป็นผลระงับสิทธิเรียกร้องสินสมรส โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องแบ่งทรัพย์สินอีก
กรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา199วรรคหนึ่งให้โอกาสจำเลยขออนุญาตยื่นคำให้การได้โดยมิได้กำหนดระยะเวลาที่แน่นอนไว้เพียงแต่กำหนดว่าจำเลยจะต้องมาศาลเมื่อเริ่มต้นสืบพยานหรือแจ้งให้ศาลทราบก่อนเริ่มสืบพยานถึงเหตุที่จำเลยมิได้ยื่นคำให้การซึ่งจำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การก่อนวันสืบพยานโจทก์อันเป็นวันเริ่มต้นสืบพยานจำเลยย่อมมีสิทธิทำได้โดยชอบแม้ว่าการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยจะเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายก็ตาม เมื่อจำเลยเพิ่งทราบเรื่องที่ถูกโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่25ตุลาคม2536ประกอบกับจำเลยได้ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การต่อศาลในวันที่26ตุลาคม2536หลังจากทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องเพียง1วันเท่านั้นพฤติการณ์ของจำเลยแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ในวันนัดชี้สองสถานโจทก์และจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่าหลังจากจดทะเบียนหย่าแล้วโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยมีข้อตกลงเกี่ยวกับทรัพย์สินซึ่งตรงกับทรัพย์สินที่โจทก์อ้างว่าเป็นสินสมรสตามฟ้องเมื่อข้อแถลงดังกล่าวให้ข้อเท็จจริงซึ่งมีสาระสำคัญเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้แล้วโดยไม่ต้องทำการสืบพยานโจทก์จำเลยอีกศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะสั่งงดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์จำเลยได้ สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อตกลงที่เกี่ยวกับเรื่องบุตรและสินสมรสระหว่างโจทก์จำเลยโดยโจทก์จำเลยประสงค์จะระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับสินสมรสที่มีอยู่หรือที่จะมีขึ้นต่อไปภายหน้าให้เสร็จไปด้วยต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา850จึงเป็นสิทธิเรียกร้องของโจทก์เกี่ยวกับสินสมรสซึ่งโจทก์ยอมสละนั้นระงับสิ้นไปโจทก์คงได้สิทธิใหม่ตามที่แสดงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวตามมาตรา852เท่านั้นโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์สินอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2795/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความเท็จในการเบิกความเกี่ยวกับอำนาจปกครองบุตรและการฟ้องหย่า ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
ในคดีที่จำเลยฟ้องขอหย่าและให้ศาลชี้ขาดว่าจำเลยหรือโจทก์ฝ่ายใดสมควรจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรนั้นข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องนำมาคำนึงถึงว่าฝ่ายใดเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแล้วบุตรจะได้รับความผาสุกและประโยชน์ดีที่สุดมีอยู่หลายประการ นิสัยและจิตใจของผู้ที่จะใช้อำนาจปกครองตลอดจนความสมัครใจของบุตรว่าจะอยู่กับฝ่ายใดล้วนเป็นเหตุที่ศาลจะนำมาพิจารณาชี้ขาดในประเด็นข้อนี้ได้ทั้งสิ้นมิใช่มีอยู่เพียงเหตุเดียวเฉพาะที่ศาลชั้นต้นยกมาอ้างอิงเท่านั้นดังนั้นคำเบิกความของจำเลยเกี่ยวกับเหตุเหล่านั้นจึงเป็นข้อสำคัญในคดีดังกล่าวมาแต่ต้นแม้ศาลจะได้ยกเอามาวินิจฉัย แต่ขณะจำเลยเบิกความข้อเท็จจริงนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี หากเป็นความเท็จ ย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคหนึ่งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 274/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องเรียนสามีต่อผู้บังคับบัญชาจากความหึงหวง ไม่เป็นเหตุฟ้องหย่า
การที่ภริยาร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของสามี เป็นการกระทำด้วยอารมณ์หึงหวง เนื่องจากถูกสามีทอดทิ้งและถูกทำร้ายทางจิตใจ เพราะสามีไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่น แม้ภริยาจะขอให้ผู้บังคับบัญชาลงโทษทางวินัยแก่สามีก็เป็นเพียงวิธีการที่จะให้สามีเลิกมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่น และเหตุก็เกิดขึ้นจากความผิดของสามีเอง การกระทำของภริยายังไม่เพียงพอที่จะถือว่าได้กระทำการให้สามีได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง และได้รับคสวามเสียหายเดือดร้อนเกินควร อันจะเป็นเหตุให้สามีฟ้องหย่าได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 274/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่าจากความสัมพันธ์ชู้สาวและการร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชา ไม่ถือเป็นเหตุให้หย่าได้
การที่ภริยาร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของสามี เป็นการกระทำด้วยอารมณ์หึงหวง เนื่องจากถูกสามีทอดทิ้งและถูกทำร้ายทางจิตใจเพราะสามีไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่น แม้ภริยาจะขอให้ผู้บังคับบัญชาลงโทษทางวินัยแก่สามีก็เป็นเพียงวิธีการที่จะให้สามีเลิกมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่น และเหตุก็เกิดขึ้นจากความผิดของสามีเอง การกระทำของภริยายังไม่เพียงพอที่จะถือว่าได้กระทำการให้สามีได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง และได้รับความเสียหายเดือดร้อนเกินควร อันจะเป็นเหตุให้สามีฟ้องหย่าได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 274/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่าจากความสัมพันธ์ชู้สาวและการร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชา ไม่เป็นเหตุให้ฟ้องหย่าได้
การที่ภริยาร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของสามีเป็นการกระทำด้วยอารมณ์หึงหวงเนื่องจากถูกสามีทอดทิ้งและถูกทำร้ายทางจิตใจเพราะสามีไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นแม้ภริยาจะขอให้ผู้บังคับบัญชาลงโทษทางวินัยแก่สามีก็เป็นเพียงวิธีการที่จะให้สามีเลิกมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นและเหตุก็เกิดขึ้นจากความผิดของสามีเองการกระทำของภริยายังไม่เพียงพอที่จะถือว่าได้กระทำการให้สามีได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรงและได้รับความเสียหายเดือดร้อนเกินควรอันจะเป็นเหตุให้สามีฟ้องหย่าได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8059/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจงใจทิ้งร้างคู่สมรส: เหตุฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
การที่สามีแยกไปพักตามลำพังเนื่องจากสามีภริยาทะเลาะกันโดยมีสาเหตุเกิดแต่สามีเป็นสำคัญและภริยามิได้สมัครใจแยกกันอยู่กับสามีเป็นกรณีที่สามีจงใจทิ้งร้างภริยาไปฝ่ายเดียวมิใช่สามีภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1516(4/2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5347/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่าจากเหตุประพฤติชั่วร้ายแรง: การเข้าร่วมกิจกรรมสังคม, การบริจาคเพื่อการกุศล, และการร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชา ไม่ถือเป็นเหตุหย่า
การเข้าร่วมประชุมสมาคมแม่บ้านมหาดไทยเป็นสิทธิโดยชอบของจำเลยจำเลยไม่มีหน้าที่ต้องขอความยินยอมจากโจทก์เสียก่อนทั้งวัตถุประสงค์ของสมาคมที่จำเลยเข้าร่วมประชุมก็เพื่อช่วยเหลือสังคมและประกอบการกุศลต่างๆจึงไม่เป็นการประพฤติชั่ว เมื่อจำเลยดำรงตำแหน่งประธานชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดมหาสารคามมีอำนาจกระทำการต่างๆเกี่ยวกับการกุศลได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรเหล่ากาชาดซึ่งเป็นองค์กรเกี่ยวกับการกุศลการที่จำเลยในฐานะภริยาโจทก์ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดได้โทรศัพท์ไปยังเสมียนตราจังหวัดมหาสารคามให้บริจากเงินของเหล่ากาชาดจึงน่าจะกระทำได้เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับการกุศลไม่เป็นการประพฤติชั่ว การกระทำของจำเลยเป็นการทำหนังสือถึงผู้บังคับบัญชาของโจทก์โดยเหล่าเหตุการณ์ตามความเป็นจริงเป็นการกล่าวป้องกันส่วนได้เสียของจำเลยมิให้โจทก์แสดงต่อบุคคลภายนอกว่าจำเลยมิใช่ภริยาโจทก์ดังที่แล้วมาไม่เป็นการใส่ความโจทก์และไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5196/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อาจฟ้องหย่าโดยอ้างสมัครใจแยกกันอยู่ หากเป็นการไม่ออกเยี่ยมเยียนบุตรภริยา
โจทก์ย้ายไปรับราชการตามจังหวัดต่าง ๆ โดยจำเลยมิได้ติดตามไปด้วย โจทก์มีหน้าที่จะต้องกลับมาเยี่ยมเยียนดูแลบุตรภริยา การที่โจทก์ไม่ยอมกลับมาเยี่ยมจำเลยและบุตรจะถือว่าเป็นการแยกกันโดยความสมัครใจของจำเลยด้วยไม่ได้ เมื่อเป็นความสมัครใจของโจทก์แต่ฝ่ายเดียว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4/2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5196/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่าต้องพิสูจน์การแยกกันอยู่โดยสมัครใจของทั้งสองฝ่าย มิใช่เพียงฝ่ายเดียว
โจทก์กับจำเลยแยกกันอยู่มากว่า3ปีแต่การแยกกันอยู่นั้นมิใช่ด้วยความสมัครใจของจำเลยเป็นเพียงลำพังความสมัครใจของโจทก์ฝ่ายเดียวจึงหาทำให้โจทก์เกิดสิทธิฟ้องหย่าจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1516(4/2)ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 333/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งสินสมรสหลังหย่า: แม้ข้อตกลงหย่าระบุ 'ทรัพย์สินไม่มี' ก็ไม่ตัดสิทธิการฟ้องขอแบ่งสินสมรสภายหลังได้
ในการตกลงหย่ากันนั้นหากโจทก์ไม่ประสงค์จะแบ่งสินสมรสในข้อตกลงหย่าแล้วโจทก์จำเลยก็ชอบที่จะบันทึกข้อตกลงหย่าว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะแบ่งสินสมรสแทนที่จะบันทึกว่า"เรื่องทรัพย์สินไม่มี"การที่โจทก์ลงลายมือชื่อรับทราบข้อตกลงหย่าว่า"เรื่องทรัพย์สินไม่มี"แต่ต่อมาภายหลังจดทะเบียนหย่าแล้วโจทก์ทราบว่ามีสินสมรสที่โจทก์มีสิทธิจะแบ่งได้ตามกฎหมายโจทก์ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องขอแบ่งแม้โจทก์จะตั้งสิทธิเรียกร้องในการขอแบ่งว่านิติกรรมหย่าเป็นโมฆียะและคดีฟังไม่ได้ว่าเป็นโมฆียะก็ตามแต่เรื่องการแบ่งสินสมรสยังไม่มีข้อตกลงใดๆระหว่างโจทก์จำเลยถือไม่ได้ว่าโจทก์มีเจตนาที่จะสละสิทธิในสินสมรสศาลจึงมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยแบ่งสินสมรสให้โจทก์ได้ โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งสินสมรสให้โจทก์กึ่งหนึ่งเป็นจำนวนเงินตามขอในทันทีการแบ่งทรัพย์สินตามฟ้องหากไม่สามารถตกลงแบ่งกันได้ขอให้ศาลบังคับขายทอดตลาดที่ดินและบ้านตามฟ้องตลอดจนหุ้นที่จำเลยถือในบริษัทต่างๆเพื่อแบ่งกันตามส่วนดังนี้แสดงว่าโจทก์มุ่งประสงค์ขอแบ่งหุ้นที่เป็นสินสมรสกึ่งหนึ่งด้วยมิใช่มีคำขอเป็นตัวเงินเพียงอย่างเดียวและแม้โจทก์จะมิได้นำสืบให้เห็นว่าหุ้นที่เป็นสินสมรสมีมูลค่าเท่าใดในวันที่โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันศาลก็พิพากษาให้จำเลยแบ่งหุ้นให้โจทก์กึ่งหนึ่งได้โดยไม่จำต้องพิพากษายกฟ้องเพราะในการแบ่งสินสมรสศาลย่อมพิพากษาให้แบ่งสินสมรสให้โจทก์จำเลยได้ส่วนเท่ากันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1533ส่วนการที่ศาลพิพากษาให้จดทะเบียนโอนหุ้นให้โจทก์ครึ่งหุ้นนั้นแม้จะไม่อาจแบ่งแยกหุ้นออกเป็นครึ่งหุ้นได้ก็ตามแต่ในการบังคับตามคำพิพากษาในกรณีเช่นนี้เป็นการฟ้องขอแบ่งสินสมรสซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมอันจะต้องบังคับตามมาตรา1364เว้นแต่ศาลจะพิพากษาเป็นอย่างอื่นเมื่อศาลมิได้พิพากษาเป็นอย่างอื่นหากจะมีข้อขัดข้องดังที่จำเลยอ้างก็เป็นเรื่องในชั้นบังคับคดีที่จะต้องดำเนินการตามบทกฎหมายดังกล่าวคำพิพากษาในส่วนนี้จึงไม่เป็นการไม่ชอบและไม่เกินคำขอ