พบผลลัพธ์ทั้งหมด 123 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3612/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลักษณะสัญญาเช่าที่ดินและอาคารกับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มจากบริการ รวมถึงหน้าที่รายงานภาษีขาย
โจทก์ได้ทำสัญญาให้บริการจัดหาศูนย์ฝึกอบรมด้านความปลอดภัยให้แก่บริษัท ท. ตามบันทึกช่วยจำ ซึ่งแม้ตามข้อ 3.1 จะมีข้อความระบุว่า "ระยะเวลาของข้อตกลงนี้สามารถแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนการผ่อนชำระค่าก่อสร้างและส่วนของการเช่าที่ดินในเวลา 4 ปี" ซึ่งทำให้เห็นว่าโจทก์ได้รับเงินในวันทำบันทึกช่วยจำในส่วนค่าก่อสร้างอาคารก็จริง แต่เมื่อนำมาพิจารณาประกอบข้อความที่ระบุไว้ในบันทึกช่วยจำข้อ 3.2 วรรคสุดท้าย ที่ว่า "หลังจากผ่อนชำระค่าก่อสร้างครบ 4 ปี แล้ว ค่าเช่าจะเปลี่ยนเป็น 50,000 บาท ต่อเดือน และค่าเช่านี้จะปรับเพิ่ม 5 % ทุก ๆ 12 เดือน" แล้วจะเห็นได้ว่า หลังจากก่อสร้างอาคารศูนย์ฝึกอบรมลงบนที่ดินที่ได้ทำการเช่าจากโจทก์เสร็จแล้ว ตัวอาคารศูนย์ฝึกอบรมที่โจทก์ทำการก่อสร้างก็มิได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท ท.แต่อย่างใด เพราะบริษัทดังกล่าวยังต้องเช่าจากโจทก์อยู่ต่อไป ดังจะเห็นได้จากที่บริษัทดังกล่าวต้องเสียค่าเช่าอาคารศูนย์ฝึกอบรมที่โจทก์สร้างเสร็จพร้อมที่ดินให้แก่โจทก์เพิ่มทุกปี ลักษณะเช่นนี้จึงเห็นได้ว่าสัญญาระหว่างโจทก์กับบริษัทดังกล่าวเป็นสัญญาเช่าที่ดินและอาคารศูนย์ฝึกอบรม โดยบริษัทดังกล่าวต้องออกเงินช่วยค่าก่อสร้างอาคารดังกล่าวเงินช่วยค่าก่อสร้างอาคารดังกล่าวจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่า เมื่อคำว่า"บริการ" ป.รัษฎากร มาตรา 77/1 (10) ให้หมายความถึงการกระทำใด ๆอันอาจหาประโยชน์อันมีมูลค่าซึ่งมิใช่การขายสินค้า การให้เช่าทรัพย์สินจึงถือเป็นการให้บริการอย่างหนึ่ง แต่เป็นการให้บริการที่ ป.รัษฎากร มาตรา 81 (1) (ต)ได้บัญญัติให้ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มและเป็นกิจการที่ไม่มีสิทธิขอเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มตาม ป.รัษฎากร มาตรา 81/3 ฉะนั้นโจทก์จึงไม่มีหน้าที่และความรับผิดต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากเงินค่าบริการที่โจทก์ได้รับตามบันทึกช่วยจำที่โจทก์ได้ทำไว้กับบริษัท ท.และทำให้โจทก์ไม่มีหน้าที่ออกใบกำกับภาษีและนำส่งภาษีขายเงินค่าก่อสร้าง
ตามใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) ปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในกิจการหลายประเภทได้แก่ การซ่อมแซมสิ่งของ เครื่องมือเครื่องใช้ บริการให้คำปรึกษาทางธุรกิจและบริการส่วนบุคคลอื่น ๆแต่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าภาษีขายที่โจทก์ลงรายงานไม่ทันภายใน 3 วันทำการนั้นเป็นภาษีขายของค่าบริการที่โจทก์ได้รับตามบันทึกช่วยจำ ซึ่งได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งตามบัญชีรายงานภาษีขายของเดือนเมษายน 2537 ก็ไม่ปรากฏว่าภาษีขายดังกล่าวเป็นภาษีขายของค่าบริการที่โจทก์ได้รับตามบันทึกช่วยจำดังกล่าวจึงฟังไม่ได้ว่า ภาษีขายที่โจทก์ลงรายงานไม่ทันภายใน 3 วันทำการเป็นภาษีขายของค่าบริการที่โจทก์ได้รับตามบันทึกช่วยจำดังกล่าว แต่ฟังได้ว่าเป็นภาษีขายของค่าบริการอื่นซึ่งอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ดังนั้น โจทก์จึงมีหน้าที่ลงรายงานภาษีขายภายใน 3 วันทำการ ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 87
ที่โจทก์นำสืบถึงเหตุที่ลงรายงานภาษีขายดังกล่าวไม่ทันภายใน3 วันทำการ ว่าเป็นเพราะพนักงานที่มีหน้าที่ลงรายงานมีเพียงคนเดียว แต่ลาป่วยเป็นเวลา 5 วัน ไม่อาจลงรายการได้ จึงลงรายการต่อท้ายภายในเดือนเมษายน2537 นั้น ไม่ถือเป็นข้อแก้ตัวให้โจทก์พ้นความรับผิดที่จะต้องเสียเบี้ยปรับตามป.รัษฎากร มาตรา 89 (10) เพราะเป็นเรื่องการบริหารงานภายในของโจทก์เอง
ตามใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) ปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในกิจการหลายประเภทได้แก่ การซ่อมแซมสิ่งของ เครื่องมือเครื่องใช้ บริการให้คำปรึกษาทางธุรกิจและบริการส่วนบุคคลอื่น ๆแต่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าภาษีขายที่โจทก์ลงรายงานไม่ทันภายใน 3 วันทำการนั้นเป็นภาษีขายของค่าบริการที่โจทก์ได้รับตามบันทึกช่วยจำ ซึ่งได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งตามบัญชีรายงานภาษีขายของเดือนเมษายน 2537 ก็ไม่ปรากฏว่าภาษีขายดังกล่าวเป็นภาษีขายของค่าบริการที่โจทก์ได้รับตามบันทึกช่วยจำดังกล่าวจึงฟังไม่ได้ว่า ภาษีขายที่โจทก์ลงรายงานไม่ทันภายใน 3 วันทำการเป็นภาษีขายของค่าบริการที่โจทก์ได้รับตามบันทึกช่วยจำดังกล่าว แต่ฟังได้ว่าเป็นภาษีขายของค่าบริการอื่นซึ่งอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ดังนั้น โจทก์จึงมีหน้าที่ลงรายงานภาษีขายภายใน 3 วันทำการ ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 87
ที่โจทก์นำสืบถึงเหตุที่ลงรายงานภาษีขายดังกล่าวไม่ทันภายใน3 วันทำการ ว่าเป็นเพราะพนักงานที่มีหน้าที่ลงรายงานมีเพียงคนเดียว แต่ลาป่วยเป็นเวลา 5 วัน ไม่อาจลงรายการได้ จึงลงรายการต่อท้ายภายในเดือนเมษายน2537 นั้น ไม่ถือเป็นข้อแก้ตัวให้โจทก์พ้นความรับผิดที่จะต้องเสียเบี้ยปรับตามป.รัษฎากร มาตรา 89 (10) เพราะเป็นเรื่องการบริหารงานภายในของโจทก์เอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5975/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามเงื่อนไขที่กำหนด และสิทธิในการอุทธรณ์คำวินิจฉัยภาษี
การจะได้รับยกเว้นภาษีการค้าหรือภาษีมูลค่าเพิ่ม ตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.รัษฎากร (ฉบับที่ 30) พ.ศ.2534 จะต้องยื่นแบบ ภ.พ.03.3หรือ ภ.พ.03.5 ภายในวันที่ 31 มกราคม 2535 เมื่อปรากฏว่าโจทก์ยื่นแบบ ภ.พ.03.5 ในวันที่ 31 มกราคม 2535 โจทก์จึงได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้น
เมื่อโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม โจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ภายในกำหนดเวลาแล้ว ดังนั้น แม้โจทก์ทำบันทึกขอลดเบี้ยปรับ บันทึกยินยอมชำระภาษีอากรหรือขอผ่อนชำระภาษีอากรให้ไว้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์ก็คงมีอำนาจอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลได้ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 30(2)
เมื่อโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม โจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ภายในกำหนดเวลาแล้ว ดังนั้น แม้โจทก์ทำบันทึกขอลดเบี้ยปรับ บันทึกยินยอมชำระภาษีอากรหรือขอผ่อนชำระภาษีอากรให้ไว้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์ก็คงมีอำนาจอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลได้ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 30(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5975/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายกำหนด และสิทธิในการอุทธรณ์การประเมินภาษี แม้มีการทำบันทึกยินยอมชำระภาษี
การจะได้รับยกเว้นภาษีการค้าหรือภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2534 จะต้องยื่นแบบ ภ.พ.03.3 หรือภ.พ.03.5ภายในวันที่31มกราคม2535เมื่อปรากฏว่าโจทก์ยื่นแบบภ.พ.03.5 ในวันที่ 31 มกราคม 2535 โจทก์จึงได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้น
เมื่อโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม โจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ภายในกำหนดเวลาแล้วดังนั้น แม้โจทก์ทำบันทึกขอลดเบี้ยปรับ บันทึกยินยอมชำระภาษีอากรหรือขอผ่อนชำระภาษีอากรให้ไว้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์ก็คงมีอำนาจอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2)
เมื่อโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม โจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ภายในกำหนดเวลาแล้วดังนั้น แม้โจทก์ทำบันทึกขอลดเบี้ยปรับ บันทึกยินยอมชำระภาษีอากรหรือขอผ่อนชำระภาษีอากรให้ไว้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์ก็คงมีอำนาจอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2956/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกค่าเสียหายและการประเมินราคาทรัพย์สินที่ได้รับการยกเว้นภาษี
กองทัพบกโจทก์เป็นนิติบุคคล มีผู้บัญชาการทหารบกเป็นผู้แทนมีอำนาจบังคับบัญชาและรับผิดชอบ จึงเป็นผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 75 หรือที่แก้ไขใหม่ มาตรา 70 การที่กองบัญชาการควบคุม กองพลทหารราบที่ 4 ส่วนราชการของโจทก์มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการการสอบสวนเพื่อทราบข้อเท็จจริงและมีการรายงานเหตุการเสียชีวิตของนายทหารชั้นสัญญาบัตรให้โจทก์ทราบ ตลอดจนมีการทำบันทึกเรื่องค่าเสียหาย จะถือว่าโจทก์ทราบไม่ได้ กรณีต้องถือว่าโจทก์เพิ่งทราบเหตุและตัวผู้ต้องรับผิดเมื่อผู้บัญชาการทหารบกได้ทราบรายงานและลงนามอนุมัติให้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสามเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2531 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2532 ยังไม่พ้นกำหนด 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา448 ฟ้องโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
การที่โจทก์ซื้อรถมาโดยได้รับยกเว้นภาษีอากรนั้น ราคาที่โจทก์ซื้อย่อมมิใช่ราคาที่แท้จริงในท้องตลาด เพราะราคาในท้องตลาดต้องเป็นราคาที่รวมค่าภาษีอากรเข้าด้วยแล้ว ดังนี้ราคารถที่จะให้ชดใช้ต้องถือตามราคาปกติในท้องตลาด อันเป็นมูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สิน
การที่โจทก์ซื้อรถมาโดยได้รับยกเว้นภาษีอากรนั้น ราคาที่โจทก์ซื้อย่อมมิใช่ราคาที่แท้จริงในท้องตลาด เพราะราคาในท้องตลาดต้องเป็นราคาที่รวมค่าภาษีอากรเข้าด้วยแล้ว ดังนี้ราคารถที่จะให้ชดใช้ต้องถือตามราคาปกติในท้องตลาด อันเป็นมูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สิน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 217/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกเว้นภาษีสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปบรรจุหีบห่อ: การพิจารณาตามบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกา
สินค้าที่จะได้รับยกเว้นภาษีการค้าตามมาตรา5(8)แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า(ฉบับที่54)พ.ศ.2517ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมนั้นลำดับแรกจะต้องเป็นสินค้าที่มิได้ระบุในบัญชีที่1ที่2และที่3ท้ายพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเสียก่อนหากเป็นสินค้าที่ได้ระบุจะถือว่าเป็นสินค้าที่มิได้ระบุในบัญชีที่1ที่2และที่3หาได้ไม่และแม้จะเป็นสินค้าที่มิได้ระบุในบัญชีดังกล่าวรายการหนึ่งรายการใดหรือบัญชีหนึ่งบัญชีใดแล้วยังต้องเป็นสินค้าตามรายการ(ก)ถึง(ฌ)รายการหนึ่งรายการใดเท่านั้นจึงจะได้รับการยกเว้นภาษีการค้า สินค้าที่โจทก์ผลิตจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตจากแป้งหรือถั่วที่ผลิตในราชอาณาจักรแม้จะมิใช่ผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าในราชอาณาจักรแต่เมื่อเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่บรรจุหีบห่อผนึกที่มีเครื่องหมายการค้าปรากฏอยู่บนหีบห่อซึ่งสามารถมองเห็นได้จากภายนอกอันเป็นสินค้าตามบัญชีที่1หมวด1(4)ท้ายพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า(ฉบับที่54)พ.ศ.2517ย่อมเป็น สินค้าที่ได้ระบุในบัญชีที่1ท้ายพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวจึง ไม่ได้รับยกเว้น ภาษีการค้าสำหรับการขายสินค้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1603/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกเว้นภาษีเงินได้จากการขายอ้อย และการจ่ายดอกเบี้ยคืนภาษีอากร
กฎกระทรวงฉบับที่ 173 (พ.ศ.2530) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ให้กำหนดเงินได้ของชาวไร่อ้อยตามกฎหมายว่าด้วยอ้อยและน้ำตาลทรายที่ได้รับจากการขายอ้อยอันเกิดจากกสิกรรมที่ตนเองและหรือครอบครัวได้ทำเอง เป็นเงินได้ตาม (17) ของมาตรา42 แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่ขายให้แก่โรงงานตามกฎหมายว่าด้วยอ้อยและน้ำตาลทราย ระหว่างวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2529 ถึงวันที่ 30 กันยายนพ.ศ. 2530 ซึ่งมีผลให้จำนวนเงินที่ได้จากการขายอ้อยดังกล่าวได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นั้นเอง
การที่จะพิจารณาว่าเงินได้ของชาวไร่อ้อยจะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาถึงแหล่งที่มาของรายได้เป็นสำคัญ กล่าวคือถ้าเป็นเงินได้ที่ได้จากการขายอ้อยให้แก่โรงงานตามวันเวลาที่กำหนดในกฎกระทรวงแล้ว ก็ย่อมได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าชาวไร่อ้อยจะได้รับเงินดังกล่าวมาในเวลาใด
การคืนเงินภาษีอากร มาตรา 4 ทศ แห่งประมวลรัษฎากรกำหนดให้ผู้ที่ได้รับคืนเงินภาษีอากรได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีอากรที่ได้รับคืนโดยไม่คิดทบต้น ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง แต่มิให้เกินกว่าจำนวนเงินภาษีอากรที่ได้รับคืน ซึ่งตามกฎกระทรวงฉบับที่ 161 (พ.ศ.2526) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากร ข้อ 1 (3) ก็มีข้อความชัดเจนว่า กรณีคืนเงินภาษีอากรที่ชำระตามการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินหรือตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือคืนเงินภาษีการค้าที่ชำระสำหรับสินค้าที่นำเข้าในหรือส่งออกนอกราชอาณาจักร ให้เริ่มคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันชำระภาษีอากร การที่ศาลภาษี-อากรกลางให้จำเลยที่ 1 รับผิดชำระดอกเบี้ยจากจำนวนเงินภาษีที่จะต้องคืนให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จโดยโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้าน จึงนับว่าเป็นผลดีแก่จำเลยที่ 1 มากแล้ว
การที่จะพิจารณาว่าเงินได้ของชาวไร่อ้อยจะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาถึงแหล่งที่มาของรายได้เป็นสำคัญ กล่าวคือถ้าเป็นเงินได้ที่ได้จากการขายอ้อยให้แก่โรงงานตามวันเวลาที่กำหนดในกฎกระทรวงแล้ว ก็ย่อมได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าชาวไร่อ้อยจะได้รับเงินดังกล่าวมาในเวลาใด
การคืนเงินภาษีอากร มาตรา 4 ทศ แห่งประมวลรัษฎากรกำหนดให้ผู้ที่ได้รับคืนเงินภาษีอากรได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีอากรที่ได้รับคืนโดยไม่คิดทบต้น ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง แต่มิให้เกินกว่าจำนวนเงินภาษีอากรที่ได้รับคืน ซึ่งตามกฎกระทรวงฉบับที่ 161 (พ.ศ.2526) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากร ข้อ 1 (3) ก็มีข้อความชัดเจนว่า กรณีคืนเงินภาษีอากรที่ชำระตามการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินหรือตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือคืนเงินภาษีการค้าที่ชำระสำหรับสินค้าที่นำเข้าในหรือส่งออกนอกราชอาณาจักร ให้เริ่มคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันชำระภาษีอากร การที่ศาลภาษี-อากรกลางให้จำเลยที่ 1 รับผิดชำระดอกเบี้ยจากจำนวนเงินภาษีที่จะต้องคืนให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จโดยโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้าน จึงนับว่าเป็นผลดีแก่จำเลยที่ 1 มากแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1603/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกเว้นภาษีเงินได้ชาวไร่อ้อย: พิจารณาจากช่วงเวลาขายอ้อย ไม่ใช่ช่วงเวลาได้รับเงิน
กฎกระทรวงฉบับที่ 173(พ.ศ. 2530) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีข้อความระบุว่า เงินได้ของชาวไร่อ้อยที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษี ต้องเป็นเงินได้ที่เกิดจากการขายอ้อยให้แก่โรงงานในระหว่างวันที่ 22 พฤศจิกายน 2529 ถึงวันที่ 30กันยายน 2530 ไม่ได้ระบุให้ถือเอาวันเวลาที่ได้รับเงินจากการขายอ้อยมาเป็นข้อพิจารณาเพื่อยกเว้นภาษีด้วยดังนั้นจำนวนเงินที่โจทก์จ่ายให้แก่ชาวไร่อ้อยระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม 2530 ซึ่งเป็นค่าอ้อยที่โจทก์ซื้อมาจากชาวไร่อ้อยในระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2530 ถึงวันที่ 3 มีนาคม2530 จึงได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1603/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกเว้นภาษีเงินได้จากการขายอ้อย: พิจารณาตามช่วงเวลาที่ขายอ้อย ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ได้รับเงิน
กฎกระทรวงฉบับที่173(พ.ศ.2530)ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากรมีข้อความระบุว่าเงินได้ของชาวไร่อ้อยที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีต้องเป็นเงินได้ที่เกิดจากการขายอ้อยให้แก่โรงงานในระหว่างวันที่22พฤศจิกายน2529ถึงวันที่30กันยายน2530ไม่ได้ระบุให้ถือเอาวันเวลาที่ได้รับเงินจากการขายอ้อยมาเป็นข้อพิจารณาเพื่อยกเว้นภาษีด้วยดังนั้นจำนวนเงินที่โจทก์จ่ายให้แก่ชาวไร่อ้อยระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม2530ซึ่งเป็นค่าอ้อยที่โจทก์ซื้อมาจากชาวไร่อ้อยในระหว่างวันที่1กุมภาพันธ์2530ถึงวันที่3มีนาคม2530จึงได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5330/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินชดเชยค่าพาหนะส่วนตัวของพนักงานไม่ได้รับยกเว้นภาษี หากไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปโดยสุจริตและเบิกคืนทั้งหมด
เงินชดเชยค่าพาหนะเหมาจ่ายแก่พนักงานที่นำรถยนต์ส่วนตัวมาใช้ในการปฏิบัติการตามหน้าที่ให้แก่โจทก์ ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(1) เพราะมิใช่จำนวนเงินที่พนักงานได้จ่ายเป็นค่าพาหนะไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการปฏิบัติการตามหน้าที่ของตน และได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้นตามความเป็นจริงแล้วเบิกคืนจากโจทก์ตามจำนวนที่ถูกต้องตรงกันไม่เหลือเป็นประโยชน์แก่พนักงาน อย่างไรก็ดี เงินชดเชยค่าพาหนะเหมาจ่ายเฉพาะส่วนที่ไม่เกินกิโลเมตรละ 90 สตางค์ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(2) โจทก์จึงมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา 50 และ 52เฉพาะเงินชดเชยค่าพาหนะเหมาจ่ายส่วนที่เกินกิโลเมตรละ 90 สตางค์เมื่อโจทก์มิได้ปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้ โจทก์จึงต้องร่วมรับผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 54
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3363/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกเว้นภาษีอากรภายใต้เงื่อนไข และการริบเงินประกันเมื่อผิดสัญญา สิทธิเรียกค่าภาษีอากร
จำเลยทั้งสองนำเครื่องฉีดพลาสติกและรถตู้เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อร่วมงานแสดงสินค้า โดยได้รับยกเว้นภาษีอากรภายใต้เงื่อนไขว่าต้องส่งกลับออกนอกราชอาณาจักรภายใน 6 เดือนนับแต่วันนำเข้าและทำทัณฑ์บนวางเงินสด 210,000 บาท พร้อมกับทำสัญญาประกันไว้ต่อโจทก์ที่ 1 โดยสัญญาว่าเงิน 210,000 บาทนี้ หากภายหลังปรากฎว่าไม่คุ้มกับค่าภาษีอากรที่จะพึงชำระยังขาดอีกเท่าใด จำเลยที่ 1 ยินยอมชำระเพิ่มให้ครบถ้วนโดยถือว่าเป็นการชำระเพิ่มเติม เนื่องจากการผิดสัญญาแสดงให้เห็นว่า สัญญาประกันดังกล่าวเป็นประกันค่าภาษีอากรที่โจทก์ที่ 1 ยกเว้นให้จำเลยที่ 1 โดยมีเงื่อนไข เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาประกัน โจทก์ที่ 1 ริบเงินประกันไปจึงเป็นการริบไว้เป็นค่าภาษีอากรที่ยกเว้นให้ เมื่อเงินประกันที่โจทก์ที่ 1 ริบไปคุ้มค่าภาษีอากรที่จำเลยที่ 1ต้องชำระแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าภาษีอากรอีก