คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ยานพาหนะ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 202 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5999/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีความคำฟ้องความผิดฐานชิงทรัพย์ และการใช้ยานพาหนะเป็นองค์ประกอบความผิด
++ เรื่อง ชิงทรัพย์ ++
โจทก์บรรยายคำฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้รถจักรยานยนต์ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การเดินทางมาทำการชิงทรัพย์ยังไม่สามารถแปลความหมายว่า จำเลยทั้งสองใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะในการกระทำความผิดชิงทรัพย์เพราะตามคำฟ้องได้ความเพียงว่า ก่อนชิงทรัพย์ผู้เสียหายจำเลยทั้งสองใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การเดินทางมาทำการชิงทรัพย์เท่านั้น จำเลยทั้งสองอาจเพียงแต่ใช้รถจักรยานยนต์เดินทางมาและจอดรถไว้แล้วเดินไปยังที่เกิดเหตุซึ่งอยู่อีกแห่งหนึ่งแล้วทำการชิงทรัพย์โดยไม่ได้ใช้รถจักรยานยนต์คันนี้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลยก็ได้ คำฟ้องโจทก์จึงไม่อาจแปลหรือเข้าใจได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเพื่อกระทำผิดฐานชิงทรัพย์ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 340 ตรี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5999/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีความคำฟ้องเกี่ยวกับยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำความผิดชิงทรัพย์ และการพิสูจน์เจตนาของผู้กระทำผิด
คำฟ้องของโจทก์ระบุเพียงว่า ก่อนชิงทรัพย์จำเลยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกในการเดินทางมาทำการชิงทรัพย์ จะแปลข้อความไปในทางที่เป็นผลร้ายว่า จำเลยใช้รถจักรยานยนต์เพื่อกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ไม่ได้ เพราะจำเลยอาจเพียงแต่ใช้รถจักรยานยนต์เดินทางมาและจอดรถไว้แล้วเดินไปยังที่เกิดเหตุซึ่งอยู่อีกแห่งหนึ่งแล้วทำการชิงทรัพย์โดยไม่ใช้รถจักรยานยนต์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลยก็ได้ คำฟ้องโจทก์จึงไม่อาจแปลได้ว่าจำเลยใช้รถจักรยานยนต์เพื่อกระทำผิดฐานชิงทรัพย์ที่จะต้องรับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4298/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบของกลางที่เป็นยานพาหนะใช้ในการกระทำผิดยาเสพติด ไม่จำเป็นต้องมีคำร้องเฉพาะตาม พ.ร.บ. มาตรการปราบปรามยาเสพติด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยใช้รถยนต์ขนส่งและซุกซ่อนยาเสพติดให้โทษ อันเป็นยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำความผิดและมีคำขอให้ริบของกลางตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32,33ซึ่งคำขอในลักษณะเช่นนี้ ไม่มีกฎหมายกำหนดให้พนักงานอัยการต้องยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีนั้นให้สั่งริบทรัพย์สิน ต่างจากพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30 ซึ่งกำหนดให้พนักงานอัยการต้องยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีนั้นให้สั่งริบทรัพย์สินฉะนั้น เมื่อโจทก์มิได้ขอให้ศาลสั่งริบของกลางตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30 จึงไม่จำต้องยื่นคำร้องต่อศาล และศาลมีอำนาจสั่งริบของกลางได้ตามที่โจทก์ขอมาในคำขอท้ายคำฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 396/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชนท้ายรถยนต์หลายคัน ผู้เสียหายต้องพิสูจน์ความประมาทของจำเลยเมื่อไม่ใช่ผู้ครอบครอง/ควบคุมยานพาหนะ
โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 ก็ต่อเมื่อโจทก์มิใช่เป็นผู้ที่ครอบครองหรือควบคุมยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล เมื่อเหตุเกิดขึ้นจากรถยนต์ของโจทก์และจำเลยซึ่งกำลังแล่นชนกัน เป็นยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลทั้งสองฝ่าย จึงมิใช่กรณีตามมาตรา 437 โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบว่าจำเลย เป็นฝ่ายประมาท เพราะโจทก์เป็นผู้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานลักทรัพย์-สนับสนุนการกระทำผิด, การใช้ยานพาหนะ, และการชดใช้ค่าเสียหายจากการกระทำผิด
จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำสายไฟฟ้าเก่าของผู้เสียหายที่วางอยู่ตามพื้นในโรงงานมาวางบนเหล็กร้อน ทำให้เปลือกสายไฟฟ้าไหม้ละลายหมดเหลือแต่ลวดทองแดงที่เป็นซากของสายไฟฟ้าเพื่อความสะดวกในการเอาทรัพย์นั้นไปขายก็มิใช่แปรสภาพไปเป็นของอื่น ถือว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 เริ่มลงมือกระทำความผิดฐานลักทรัพย์นับแต่ที่นำสายไฟฟ้าไปวางบนเหล็กร้อนและเป็นความผิดต่อเนื่องกันมาจนกระทั่งขนย้ายลวดทองแดงออกจากโรงงานไปขึ้นรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 1 ที่นอกรั้วโรงงาน แต่จำเลยที่ 1 รออยู่ห่างจากจุดที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โยนทรัพย์ออกมาประมาณ 100 เมตร ไม่อาจช่วยเหลือกันได้ทันท่วงที ไม่ใช่แบ่งหน้าที่กันทำในส่วนที่เป็นการกระทำความผิด จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการ คงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เท่านั้น
การที่จำเลยทั้งสามคบคิดกันลักลวดทองแดงของผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างโดยให้จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้โรงงานเพื่อบรรทุกทรัพย์ไปย่อมเล็งเห็นเจตนาได้ว่า ประสงค์จะใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อการพาทรัพย์นั้นไป จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะตาม ป.อ. มาตรา 336 ทวิ ส่วนจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการลักทรัพย์ดังกล่าว
สายไฟฟ้าของผู้เสียหายที่ถูกจำเลยลักนำไปเผาลอกเอาเปลือกออกยังคงเหลือซากที่เป็นลวดทองแดงอยู่ มิได้ถูกทำลายสูญหายไปทั้งหมดหรือแปรสภาพไปเป็นของอื่น เมื่อผู้เสียหายได้รับลวดทองแดงคืนแล้ว พนักงานอัยการโจทก์จะขอให้คืนหรือใช้ราคาเต็มของสายไฟฟ้าแก่ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 อีกไม่ได้ แม้ผู้เสียหายจะได้รับความเสียหายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยเนื่องจากนำสายไฟฟ้าไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์เดิมไม่ได้ ก็เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายจะต้องไปว่ากล่าวเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเอาเองเป็นคดีใหม่
จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเพื่อจะใช้เป็นพาหนะบรรทุกลวดทองแดงที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ลักไป จำเลยที่ 1 ไม่ได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นเครื่องมือหรือส่วนหนึ่งในการลักทรัพย์โดยตรง จึงถือไม่ได้ว่ารถจักรยานยนต์เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบ ตาม ป.อ. มาตรา 33 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลักทรัพย์ต่อเนื่อง-สนับสนุน-ใช้ยานพาหนะ-ริบของกลาง-คำขอค่าเสียหาย-ความผิดฐานลักทรัพย์
จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำสายไฟฟ้าเก่าของผู้เสียหายที่วางอยู่ตามพื้นโรงงานมาวางบนเหล็กร้อน ทำให้เปลือกสายไฟฟ้าไหม้ ละลายหมดเหลือแต่ลวดทองแดงที่เป็นซากของสายไฟฟ้าเพื่อความสะดวกในการเอาทรัพย์นั้นไปขาย แต่ก็มิใช่แปรสภาพไปเป็นของอื่น ถือว่า เริ่มลงมือกระทำความผิดฐานลักทรัพย์นับแต่ที่นำสายไฟฟ้าไปวางบนเหล็กร้อนแล้ว และเป็นความผิดต่อเนื่องกันมาจนกระทั่งขนย้ายลวดทองแดงออกจากโรงงานไปขึ้นรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 1 ที่นอกรั้วโรงงาน แต่จำเลยที่ 1 รออยู่ห่างจากจุดที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โยนทรัพย์ออกมาประมาณ 100 เมตร ไม่อาจช่วยเหลือกันได้ทันท่วงที ไม่ใช่แบ่งหน้าที่กันทำในส่วนที่เป็นการกระทำความผิด จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการคงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เท่านั้น
การที่จำเลยทั้งสามคบคิดกันลักลวดทองแดงของผู้เสียหายโดยให้จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้โรงงาน เพื่อบรรทุกทรัพย์ไป ย่อมเล็งเห็นเจตนาได้ว่า ประสงค์จะใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อการพาทรัพย์นั้นไป จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ ส่วนจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการลักทรัพย์ดังกล่าว
สายไฟฟ้าของผู้เสียหายที่ถูกจำเลยลักนำไปเผาลอกเอาเปลือกออกยังคงเหลือซากที่เป็นลวดทองแดงอยู่ มิได้ถูกทำลายสูญหายไปทั้งหมดหรือแปรสภาพไปเป็นของอื่นแล้ว เมื่อผู้เสียหายได้รับลวดทองแดงคืนแล้ว พนักงานอัยการโจทก์จะขอให้คืนหรือใช้ราคาเต็มของสายไฟฟ้าแก่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43อีกไม่ได้ แม้ผู้เสียหายจะได้รับความเสียหายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยเนื่องจากนำสายไฟฟ้าไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์เดิมไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายจะต้องไปว่ากล่าวเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเอาเองเป็นคดีใหม่
จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเพื่อจะใช้ เป็นพาหนะบรรทุกลวดทองแดงที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ลักไปไม่ได้ใช้ เป็น เครื่องมือหรือส่วนหนึ่งในการลักทรัพย์โดยตรงจึงถือไม่ได้ว่ารถจักรยานยนต์ เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบได้ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1291/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานชิงทรัพย์และการริบของกลาง: การประเมินความร้ายแรงของบาดแผลและการใช้ยานพาหนะ
ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บเพียงเป็นบาดแผลฟกช้ำบริเวณหน้าผากด้านขวาและคอด้านข้างแถบขวาชัดเจน ใช้เวลารักษาประมาณ 3 วันหาย จึงยังถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย
พฤติการณ์ของจำเลยกับพวกที่เพียงขับรถจักรยานยนต์ไปจอดรอจำเลยชิงทรัพย์ผู้เสียหายบริเวณริมถนนฝั่งตรงข้ามกับที่เกิดเหตุ เป็นเพียงการใช้รถจักรยานยนต์ไปและกลับจากการกระทำความผิด เพื่อให้พ้นจากการจับกุมโดยสะดวกและรวดเร็วเท่านั้น เมื่อรถจักรยานยนต์ไม่ใช่ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำความผิดอันพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) แล้ว จึงไม่อาจริบกุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางได้เช่นกัน ปัญหาดังกล่าวทั้งหมดเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7007/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์ทางอาญา: การ 'เอาทรัพย์ไป' สำเร็จเมื่อเคลื่อนย้ายออกจากที่จอด แม้จะเพียงเล็กน้อย และการใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกในการกระทำความผิด
จำเลยนำรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายเคลื่อนออกมาจากคอกเก็บรถในระยะห่างประมาณ 3 เมตร หลังจากตัดต่อสายไฟสายตรงของสวิตช์กุญแจเปิดปิดเครื่องยนต์เข้าองค์ประกอบคำว่า "เอาทรัพย์ไป" แล้ว การกระทำของจำเลยจึงครบองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์
คนที่ขับรถของจำเลยเพียงแต่ขับรถยนต์มาส่งจำเลยกับพวกที่บ้านของผู้เสียหายก่อนเกิดเหตุและหลังจากเกิดเหตุแล้วก็ได้ขับวนเวียนในลักษณะคล้ายกับจะตามหาจำเลยกับพวกเท่านั้น คนที่ขับรถดังกล่าวไม่ได้ร่วมกับจำเลยกับพวกลักทรัพย์ผู้เสียหาย จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยได้ใช้รถยนต์คันดังกล่าวเพื่อสะดวกในการลักทรัพย์หรือพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 336 ทวิ คงมีความผิดตามมาตรา 335 (1) (7) (8) วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4445/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รถเข็นไม่ใช่ 'รถ' ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ หากไม่ได้ใช้เพื่อขนส่งบุคคลหรือทรัพย์สิน
พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 4 (15) บัญญัตินิยามคำว่า "รถ" ไว้ว่า ยานพาหนะทางบกทุกชนิด เว้นแต่รถไฟและรถรางทั้งตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 กำหนดความหมายของคำว่า"ยาน" คือ เครื่องนำไป พาหนะต่าง ๆ เช่น รถ เกวียน เรือ คำว่า "พาหนะ"คือ เครื่องนำไป เครื่องขับขี่ ยานต่าง ๆ มีรถและเรือเป็นต้น เรียกว่ายานพาหนะกับกำหนดความหมายของคำว่า "ขับ" คือ บังคับให้เคลื่อนไป เช่น ขับรถ ขับเรือดังนี้ "รถเข็น" ของจำเลยเป็นเพียงวัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพขายโรตี มิใช่ใช้ด้วยเจตนามุ่งประสงค์ในอันที่จะขนเคลื่อนบุคคลหรือทรัพย์สินใดจากที่แห่งหนึ่งไปยังที่อีกแห่งหนึ่งในลักษณะของยานพาหนะ จึงมิใช่ "รถ" ตามความหมายที่บัญญัตินิยามไว้ดังกล่าว และย่อมไม่อยู่ในบังคับแห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 78

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2498/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชิงทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ พยานหลักฐานเพียงปากเดียวแต่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
แม้โจทก์จะมีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว แต่ผู้เสียหายก็เบิกความได้ข้อเท็จจริงชัดเจนเป็นขั้นเป็นตอนสอดคล้องกันอย่างมีเหตุมีผล ผู้เสียหายกับจำเลยเป็นคนตำบลเดียวกัน เคยเห็นหน้ากันบ่อยครั้งเพียงแต่ไม่เคยพูดคุยกัน สถานที่เกิดเหตุอยู่ริมถนนที่โล่งแจ้งในเวลากลางวัน จำเลยไม่ได้ปกปิดหรืออำพรางใบหน้า ผู้เสียหายมีโอกาสมองเห็นและจดจำรูปร่างหน้าตาจำเลยได้ ที่ผู้เสียหายยืนยันตลอดมาว่าสามารถจดจำจำเลยได้จึงน่าเชื่อ พยานฐานที่อยู่ของจำเลย ไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนร้ายกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์
จำเลยกระทำการชิงทรัพย์โดยจำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ซึ่งพวกของจำเลยเป็นผู้ขับแล่นคู่กับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย จำเลยถีบรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายพร้อมกระตุกสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายทางด้านหลัง ทำให้รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายล้มลง ผู้เสียหายกระเด็นออกไปจากรถและได้รับบาดเจ็บที่แขนทั้งสองข้าง หัวเข่า และใบหน้าถลอกมีโลหิตไหล ถือได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กาย ตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสาม
การที่จำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มากระทำการชิงทรัพย์จนได้ทรัพย์ไป โดยพวกของจำเลยติดเครื่องรถจักรยานยนต์รออยู่ แล้วจำเลยเดินไปขึ้นนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์หลบหนี แสดงว่าจำเลยมีเจตนาที่จะใช้รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวเป็นยานพาหนะในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์เพื่อพาทรัพย์นั้นไปและหลบหนีเพื่อให้พ้นจากการจับกุม การกระทำของจำเลยจึงเป็นการชิงทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ ตาม ป.อ. มาตรา 340 ตรี
of 21