พบผลลัพธ์ทั้งหมด 55 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์สินต่างประเทศ: อำนาจตามกฎหมายไทยและหลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต้องมีกฎหมายรองรับ
ผู้ใดจะยึดทรัพย์สินของบุคคลอื่นในประเทศไทยได้โดยชอบนั้น จะต้องเป็นการกระทำที่อาศัยอำนาจของกฎหมายไทยหรือคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลไทย
หลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติตอบแทนกันระหว่างประเทศ ถ้าจะให้มีผลบังคับได้จะต้องมีกฎหมายไทยรับรองไว้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85 เป็นเรื่องอำนาจของเจ้าพนักงานเกี่ยวกับการที่จะดำเนินคดีในศาลไทยเจ้าพนักงานหาอาจอาศัยอำนาจตามมาตรานี้ยึดทรัพย์ของผู้ใดเพื่อส่งไปให้รัฐบาลต่างประเทศสำหรับใช้เป็นหลักฐานดำเนินคดีในศาลต่างประเทศไม่
โจทก์เป็นชาวต่างประเทศถูกคนร้ายชิงทรัพย์ เจ้าพนักงานตำรวจจับคนร้ายได้พร้อมด้วยเงินตราต่างประเทศที่ถูกชิงทรัพย์ไปเป็นของกลาง ศาลพิพากษาคดีอาญาให้คืนเงินของกลางแก่โจทก์แล้ว จำเลยคือกรมตำรวจและเจ้าพนักงานตำรวจย่อมมีหน้าที่ต้องคืนเงินของกลางให้โจทก์ การที่โจทก์ถูกศาลสั่งให้ส่งตัวข้ามแดนไปตามพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2472 นั้น พระราชบัญญัติดังกล่าวหาได้บัญญัติเกี่ยวกับการส่งพยานหลักฐานไปให้ศาลต่างประเทศด้วยไม่ ทั้งคำพิพากษาของศาลที่ให้ส่งตัวโจทก์ไปให้รัฐบาลต่างประเทศก็มิได้สั่งให้ส่งพยานหลักฐานใด ๆ ไปด้วย เมื่อจำเลยไม่สามารถอ้างและนำสืบให้เห็นว่ามีอำนาจตามกฎหมายใดที่จะยึดเงินของกลางไว้ เพื่อส่งให้รัฐบาลต่างประเทศตามที่รัฐบาลต่างประเทศขอมา ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยคืนเงินของกลางแก่โจทก์
หลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติตอบแทนกันระหว่างประเทศ ถ้าจะให้มีผลบังคับได้จะต้องมีกฎหมายไทยรับรองไว้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85 เป็นเรื่องอำนาจของเจ้าพนักงานเกี่ยวกับการที่จะดำเนินคดีในศาลไทยเจ้าพนักงานหาอาจอาศัยอำนาจตามมาตรานี้ยึดทรัพย์ของผู้ใดเพื่อส่งไปให้รัฐบาลต่างประเทศสำหรับใช้เป็นหลักฐานดำเนินคดีในศาลต่างประเทศไม่
โจทก์เป็นชาวต่างประเทศถูกคนร้ายชิงทรัพย์ เจ้าพนักงานตำรวจจับคนร้ายได้พร้อมด้วยเงินตราต่างประเทศที่ถูกชิงทรัพย์ไปเป็นของกลาง ศาลพิพากษาคดีอาญาให้คืนเงินของกลางแก่โจทก์แล้ว จำเลยคือกรมตำรวจและเจ้าพนักงานตำรวจย่อมมีหน้าที่ต้องคืนเงินของกลางให้โจทก์ การที่โจทก์ถูกศาลสั่งให้ส่งตัวข้ามแดนไปตามพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2472 นั้น พระราชบัญญัติดังกล่าวหาได้บัญญัติเกี่ยวกับการส่งพยานหลักฐานไปให้ศาลต่างประเทศด้วยไม่ ทั้งคำพิพากษาของศาลที่ให้ส่งตัวโจทก์ไปให้รัฐบาลต่างประเทศก็มิได้สั่งให้ส่งพยานหลักฐานใด ๆ ไปด้วย เมื่อจำเลยไม่สามารถอ้างและนำสืบให้เห็นว่ามีอำนาจตามกฎหมายใดที่จะยึดเงินของกลางไว้ เพื่อส่งให้รัฐบาลต่างประเทศตามที่รัฐบาลต่างประเทศขอมา ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยคืนเงินของกลางแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 943/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์สินมรดกโดยผู้ไม่มีอำนาจ และผลของการไม่ปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของโจทก์
โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยานน้อยกว่าสามวันโดยมิได้ทำคำร้องแสดงว่าเหตุใดจึงยื่นภายในกำหนดเวลาไม่ได้เพื่อให้ศาลได้มีโอกาสพิจารณาเหตุผลของโจทก์ว่าสมควรจะรับบัญชีระบุพยานไว้หรือไม่ดังนี้ ศาลจะสั่งรับบัญชีระบุพยานของโจทก์โดยเหตุผลเพียงว่าโจทก์ไม่มีเจตนาจงใจ และไม่ทำให้คู่ความอีกฝ่ายเสียเปรียบหาได้ไม่ เพราะข้อได้เปรียบเสียเปรียบในเชิงคดีมีอยู่อย่างชัดแจ้ง
ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่า รถยนต์ที่โจทก์นำยึดเป็นสินบริคณห์ระหว่างผู้ร้องกับเจ้ามรดกขณะโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลได้ถอดถอนจำเลยแล้ว จำเลยไม่มีอำนาจทำนิติกรรมใดๆ ในฐานะผู้จัดการมรดกได้ต่อไป สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยไม่ผูกพันกองมรดก โจทก์มิได้กล่าวแก้ข้ออ้างของผู้ร้องดังกล่าวแต่ประการใด เมื่อโจทก์ไม่ปฏิเสธย่อมถือได้ว่าโจทก์ยอมรับ จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์เข้าทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 831,1720 หรือไม่
ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่า รถยนต์ที่โจทก์นำยึดเป็นสินบริคณห์ระหว่างผู้ร้องกับเจ้ามรดกขณะโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลได้ถอดถอนจำเลยแล้ว จำเลยไม่มีอำนาจทำนิติกรรมใดๆ ในฐานะผู้จัดการมรดกได้ต่อไป สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยไม่ผูกพันกองมรดก โจทก์มิได้กล่าวแก้ข้ออ้างของผู้ร้องดังกล่าวแต่ประการใด เมื่อโจทก์ไม่ปฏิเสธย่อมถือได้ว่าโจทก์ยอมรับ จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์เข้าทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 831,1720 หรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 312/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอายัดเงินจากตัวแทนของวัด และการยึดทรัพย์สินที่เป็นของวัด: วิธีการอายัดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายทำให้การยึดทรัพย์สินเป็นโมฆะ
การที่ศาลชั้นต้นออกคำสั่งห้ามจำเลยถอนเงินจากกรมการศาสนา ในฐานะที่กรมการศาสนาเป็นผู้จัดการผลประโยชน์ของวัดจันทรสโมสรผู้ร้อง จนกว่าคดีจะถึงที่สุด และมีหมายแจ้งคำสั่งที่ห้ามจำเลยไปให้กรมการศาสนาทราบนั้น มิใช่วิธีการอายัดสิทธิเรียกร้องของจำเลยต่อกรมการศาสนาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 311 จึงต้องถือว่าไม่มีการอายัดสิทธิเรียกร้อง เมื่อไม่มีการอายัดก็จะนำมาตรา 312 วรรคสอง มาใช้บังคับไม่ได้
เงินที่จำเลยจ่ายให้กรมการศาสนาเป็นเงินบำรุงวัดจันทรสโมสรผู้ร้อง กรมการศาสนาได้นำฝากเข้าบัญชีวัดจันทรสโมสรแล้ว จึงเป็นทรัพย์สินของวัดจันทรสโมสรไม่ใช่ทรัพย์สินของจำเลย โจทก์ขอให้ยึดเงินจำนวนนี้มิได้
เงินที่จำเลยจ่ายให้กรมการศาสนาเป็นเงินบำรุงวัดจันทรสโมสรผู้ร้อง กรมการศาสนาได้นำฝากเข้าบัญชีวัดจันทรสโมสรแล้ว จึงเป็นทรัพย์สินของวัดจันทรสโมสรไม่ใช่ทรัพย์สินของจำเลย โจทก์ขอให้ยึดเงินจำนวนนี้มิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 528/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์สินซ้ำซ้อน: ศาลมีอำนาจยึดทรัพย์ที่ดินแม้มีการอายัดไว้แล้ว การใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริตไม่เป็นละเมิด
การที่เจ้าพนักงานที่ดินรับอายัดที่ดินไว้ก็ไม่มีกฎหมายห้ามศาลมิให้ยึดหรืออายัดที่ดินนั้นซ้ำอีก
การที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาขอให้ศาลยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริตตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ จึงไม่เป็นการทำละเมิด
การที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาขอให้ศาลยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริตตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ จึงไม่เป็นการทำละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 742/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์สินของคู่สมรสเพื่อชำระหนี้ของอีกฝ่าย คู่สมรสไม่มีสิทธิร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีที่ตนเองไม่ได้เป็นจำเลย
โจทก์ยึดโฉนดที่ดินมีชื่อภริยาจำเลยเป็นเจ้าของอ้างว่าเป็นของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอื่นที่ภริยาจำเลยเป็นจำเลยจะร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เข้ามาในคดีนี้ไม่ได้เพราะภริยาของจำเลยไม่ได้เป็นจำเลยในคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1606/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอายัดและยึดทรัพย์สิน: การยกเหตุทรัพย์สินของแผ่นดินต้องยกขึ้นโต้แย้งตั้งแต่ศาลชั้นต้น
ที่ผู้ร้องโต้เถียงว่าเงินที่โจทก์ขออายัดและยึดนี้เป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1307ศาลอายัดและยึดไม่ได้นั้น ศาลจะวินิจฉัยให้ต่อเมื่อปรากฏว่าผู้ร้องได้โต้แย้งมาแต่ศาลชั้นต้น ถ้าหากเพิ่งมายกขึ้นโต้เถียงในชั้นฎีกา ศาลฎีกาย่อมไม่วินิจฉัยให้เพราะถือว่าไม่มีประเด็นโต้เถียงกันมาแต่ต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 241/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์สินโดยไม่ดำเนินการตามกฎหมาย ก่อให้เกิดละเมิดและต้องชดใช้ค่าเสียหาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้สั่งเจ้าหน้าที่ - ฝ่ายทหารเข้ายึดทรัพย์สินและกิจการของบริษัทฯหนึ่ง โดยอาศัยอำนาจกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 มาตรา 12 แล้วให้กองทัพบกจัดการเกณฑ์ทรัยพ์สินของบริษัทนี้ให้มาเป็น - กรรมสิทธิของทางราชการทหารตามพ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 มาตรา 10 ข้อ 2 ประกอบด้วยพ.ร.บ.เกณฑ์พลเมืองอุดหนุนราชการทหาร พ.ศ. 2469 กระทรวงกลาโหมหาได้ดำเนินการเณฑ์ตามพ.ร.บ.เกณฑ์พลเมืองอุดหนุนราชการทหาร พ.ศ. 2464 ไม่ คงยึดแต่ทรัพย์สินของบริษัทไว้เป็นเวลาถึงเกือบ 3 ปี แล้วจึงคืนให้บริษัท ดังนี้ ย่อมเป็นการยึดโดยมิได้มีอำนาจอันชอบด้วยกฎหมาย เพราะพ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 มาตรา 12 ให้อำนาจที่จะทำการยึดไว้ชั่วคราวเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อทางกระทรวงกลาโหมไม่ดำเนินการให้ถูกดต้องดังกล่าวแล้ว ก็ย่อมเป็นการละเมิดสทิธิของบริษัทที่ถูกยึด ตามป.ม.แพ่งฯมาตรา 420 , 421 กระทรวงกลาโหมจึงต้องรับผิดใช่ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 241/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์สินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายจากประกาศกฎอัยการศึก และความรับผิดทางละเมิด
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารเข้ายึดทรัพย์สินและกิจการของบริษัทฯหนึ่ง โดยอาศัยอำนาจกฎอัยการศึกพ.ศ.2457 มาตรา 12 แล้วให้กองทัพบกจัดการเกณฑ์ทรัพย์สินของบริษัทนี้ให้มาเป็นกรรมสิทธิ์ของทางราชการทหารตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457 มาตรา 10 ข้อ 2 ประกอบ ด้วยพระราชบัญญัติเกณฑ์พลเมืองอุดหนุนราชการทหาร พ.ศ.2464 แต่กระทรวงกลาโหมหาได้ดำเนินการเกณฑ์ตาม พระราชบัญญัติเกณฑ์พลเมืองอุดหนุนราชการทหารพ.ศ.2464 ไม่คงยึดแต่ทรัพย์สินของบริษัทไว้เป็นเวลาถึงเกือบ 3 ปี โดยไม่ปรากฏความจำเป็นแล้วจึงคืนให้บริษัท ดังนี้ ย่อมเป็นการยึดโดยมิได้มีอำนาจอันชอบด้วยกฎหมายเพราะพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457 มาตรา 12 ให้อำนาจที่จะทำการยึดไว้ชั่วคราวเท่านั้นฉะนั้นเมื่อทางกระทรวงกลาโหมไม่ดำเนินการให้ถูกต้องดังกล่าวแล้ว ก็ย่อมเป็นการละเมิดสิทธิของบริษัทที่ถูกยึด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420,421 กระทรวงกลาโหมจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3278/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการยึดทรัพย์สินหลังศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา: ผลของฎีกาต่อการคุ้มครองประโยชน์ของเจ้าหนี้
โจทก์ที่ 1 และที่ 3 ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดและอายัดทรัพย์สินของจำเลยหลายรายการเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา แม้ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสามอันมีผลให้จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายอุทธรณ์ชนะในข้อสาระสำคัญ ซึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 251 (เดิม) ซึ่งบังคับใช้ในขณะยื่นฟ้อง จำเลยจะยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นให้ถอนการยึดหรืออายัดทรัพย์สินหรือคืนเงินจำนวนที่วางไว้ต่อศาลในข้อนั้น ๆ ก็ได้ แต่เมื่อปรากฏว่าโจทก์ทั้งสามยังฎีกา โดยโจทก์ที่ 1 และที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกากำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ที่ 1 และที่ 3 ด้วยการมีคำสั่งให้การบังคับคดียังคงมีผลต่อไป และศาลฎีกาได้มีคำสั่งคำร้องที่ 1315/2556 ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2556 ว่า แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่ก็มิใช่คำพิพากษาถึงที่สุดที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะถอนการบังคับคดีได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 295 (3) เพราะโจทก์ที่ 1 และที่ 3 ยังฎีกาอยู่ การยึดและอายัดทรัพย์สินจึงยังคงมีผลอยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9897/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำพิพากษาต้องไม่กลับคำวินิจฉัยเดิม การยึดทรัพย์สินบังคับคดีเพิ่มเติมต้องใช้วิธีอุทธรณ์
ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 143 นั้น การที่ศาลจะมีคำสั่งเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแก้ไขข้อผิดพลาดหรือข้อผิดหลงในคำพิพากษาได้จะต้องไม่เป็นการกลับหรือแก้คำวินิจฉัยในคำพิพากษาเดิม เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศได้ตรวจคำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเทียบกับรายการที่ต้องมีในคำพิพากษาตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 141 แล้ว พบว่าคำพิพากษาของศาลดังกล่าวในหน้า 2 ตั้งแต่ข้อความว่า "พิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบแล้ว คดีฟังได้ว่า" ถึงหน้า 7 บรรทัดที่ 7 สิ้นสุดที่ข้อความว่า "และประกาศของโจทก์เอกสารหมาย จ.24 ถึง จ.26" เป็นส่วนของเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบ ส่วนหน้า 7 บรรทัดที่ 7 ตั้งแต่ข้อความว่า "คดีฟังได้ดังกล่าว" จนสิ้นสุดบรรทัดที่ 11 นั้นเป็นส่วนของเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยเกี่ยวกับข้อกฎหมาย หลังจากที่ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามข้อความก่อนหน้านี้ ตามรายการในพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 141 (4) ส่วนข้อความในหน้า 7 ตั้งแต่ข้อความว่า "พิพากษาให้..." เป็นต้นไปจนจบนั้นเป็นส่วนของคำวินิจฉัยของศาลตามรายการในพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 141 (5) ซึ่งเมื่อพิจารณารายละเอียดในส่วนของพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 141 (4) ดังกล่าวแล้ว ไม่ปรากฏว่าศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้กล่าววินิจฉัยไว้โดยชัดแจ้งเป็นการเฉพาะเกี่ยวกับอำนาจของโจทก์ที่จะยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้า หลังจากการบังคับจำนองแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ ว่าจะสามารถยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าเพื่อบังคับคดีได้อีกหรือไม่ และเมื่อพิจารณารายละเอียดต่อไปในส่วนของพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 141 (5) ก็ไม่ปรากฏเช่นกันว่า ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้วินิจฉัยให้โจทก์มีอำนาจยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าเพื่อบังคับคดีได้อีก ดังนั้น คำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางทั้งสองส่วนจึงสอดคล้องกัน ไม่ใช่เรื่องที่คำพิพากษาเกิดข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมในภายหลังโดยอาศัยพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 143 แต่โจทก์ต้องใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมาตรา 38 เมื่อโจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ คำพิพากษาดังกล่าวจึงถึงที่สุดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง