พบผลลัพธ์ทั้งหมด 48 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1107/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแต่งตั้งทนายและการแจ้งความเท็จ: ใบแต่งทนายไม่ใช่เอกสารสิทธิ การยื่นคำร้องไม่ใช่ความผิดฐานแจ้งความเท็จ
เมื่อใบแต่งทนายตามฟ้องมีข้อความตามแบบพิมพ์ใบแต่งทนาย โดยไม่ปรากฏข้อความนอกเหนือไปจากข้อความตามแบบพิมพ์ จึงเป็นเรื่องการแต่งตั้งทนายให้มีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาแทนคู่ความ มิใช่เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการ ก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ จึงไม่เป็นเอกสารสิทธิตามมาตรา 1(9)
การที่ให้มีการรับรองในใบแต่งทนายว่าผู้แต่งทนายได้เซ็นใบแต่งทนายต่อหน้า ก็เป็นเพียงวิธีการอันหนึ่งที่จะให้เป็นหลักฐานว่าผู้แต่งทนายได้ลงชื่อเป็นผู้แต่งทนายตามนั้นจริง และเมื่อผู้แต่งทนายได้เซ็นใบแต่งทนายให้ไปจริง คำรับรองดังกล่าวไม่เป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย ไม่อาจเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ
การยื่นคำร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมเป็นการยื่นคำคู่ความเข้าเป็นจำเลยในการดำเนินการพิจารณาคดีของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มิใช่เป็นการแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ไม่เป็นผิดตามมาตรา 137
ฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานจึงไม่เป็นผิดตามมาตรา 162
ฟ้องไม่ได้บรรยายให้เห็นได้เลยว่าจำเลยเป็นทนายความ อันจะถือได้ว่าเป็นผู้ประกอบการงานในวิชากฎหมาย จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 269.
(เฉพาะปัญหาที่ 1 พิจารณาโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 22/2509).
การที่ให้มีการรับรองในใบแต่งทนายว่าผู้แต่งทนายได้เซ็นใบแต่งทนายต่อหน้า ก็เป็นเพียงวิธีการอันหนึ่งที่จะให้เป็นหลักฐานว่าผู้แต่งทนายได้ลงชื่อเป็นผู้แต่งทนายตามนั้นจริง และเมื่อผู้แต่งทนายได้เซ็นใบแต่งทนายให้ไปจริง คำรับรองดังกล่าวไม่เป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย ไม่อาจเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ
การยื่นคำร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมเป็นการยื่นคำคู่ความเข้าเป็นจำเลยในการดำเนินการพิจารณาคดีของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มิใช่เป็นการแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ไม่เป็นผิดตามมาตรา 137
ฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานจึงไม่เป็นผิดตามมาตรา 162
ฟ้องไม่ได้บรรยายให้เห็นได้เลยว่าจำเลยเป็นทนายความ อันจะถือได้ว่าเป็นผู้ประกอบการงานในวิชากฎหมาย จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 269.
(เฉพาะปัญหาที่ 1 พิจารณาโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 22/2509).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 692/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตบุริมสิทธิ์ภาษีอากร: ระยะเวลาค้างชำระและปีที่ยื่นคำร้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 256. บัญญัติว่าบุริมสิทธิ์ในมูลค่าภาษีอากรนั้น ใช้สำหรับเอาบรรดาค่าภาษีอากรในที่ดินทรัพย์สินหรือค่าภาษีอากรอย่างอื่นที่ลูกหนี้ยังค้างชำระอยู่ในปีปัจจุบัน และก่อนนั้นขึ้นไปอีกปีหนึ่งนั้น ต้องเข้าใจว่าเป็นปีที่ยื่นคำร้องและปีนั้นมีการค้างชำระค่าภาษีอากรอยู่ด้วยถ้าปีถัดขึ้นไปอีกปีหนึ่งยังมีการค้างชำระอยู่อีกรัฐบาลก็มีบุริมสิทธิเพียง 2 ปีดังกล่าวเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 706/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเรียกบุคคลภายนอกเข้าเป็นจำเลยร่วมต้องยื่นคำร้องพร้อมฟ้อง/ให้การ หรือแสดงเหตุผลที่ไม่อาจยื่นก่อนได้
การที่คู่ความขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดีนั้น ต้องยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องคำให้การ หรือในเวลาใด ๆ ก่อนมีคำพิพากษาโดยได้รับอนุญาตจากศาลเมื่อศาลเป็นที่พอใจว่า คำร้องไม่อาจยื่นก่อนนั้นได้ ฉะนั้น เมื่อจำเลยเพิ่งมายื่นคำร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้าเป็นจำเลยร่วมเมื่อจำเลยให้การแล้วถึง 4 เดือน โดยไม่แสดงเหตุที่ไม่อาจ ร้องก่อนได้ ศาลจึงไม่อาจจัดการให้ตามคำร้องนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1059/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขออนุญาตฎีกาต้องยื่นภายในกำหนดอายุฎีกา หากยื่นหลังกำหนด แม้ได้รับอนุญาต ศาลฎีกาก็รับไว้วินิจฉัยไม่ได้
การที่คู่ความจะขอรับคำอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม วิ.อาญา ม.221 นั้น จะต้องยื่นคำขอเสียก่อนที่จะพ้นกำหนดอายุฎีกา ถ้าหากยื่นคำร้องขอภายหลังแม้จะได้รับอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ศาลฎีกาก็รับไว้วินิจฉัยไม่ได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2499)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2499)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 967/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นอุทธรณ์นอกสถานที่: การยื่นคำร้องขอต่อศาลภูมิลำเนาเมื่อมีเหตุสุดวิสัย
การยื่นฟ้องอุทธรณ์นั้นเป็นกระบวนพิจารณาที่ผู้อุทธรณ์จะต้องดำเนินต่อศาลอย่างหนึ่งตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(3) และ (7)ฉะนั้นจึงนำเอาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 10มาใช้บังคับได้
ผู้อุทธรณ์ไม่สามารถไปยื่นฟ้องอุทธรณ์ต่อศาลที่พิพากษาคดีได้โดยเหตุสุดวิสัย ย่อมยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องขอยื่นอุทธรณ์ ต่อศาลซึ่งตนมีภูมิลำเนาหรืออยู่ในเขตศาลในขณะนั้นได้ และในกรณีเช่นนี้ถือว่าได้ยื่นอุทธรณ์แล้วแต่วันนั้น ไม่ใช่นับแต่วันที่อุทธรณ์ส่งไปถึงศาลที่พิพากษาคดี
ผู้อุทธรณ์ไม่สามารถไปยื่นฟ้องอุทธรณ์ต่อศาลที่พิพากษาคดีได้โดยเหตุสุดวิสัย ย่อมยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องขอยื่นอุทธรณ์ ต่อศาลซึ่งตนมีภูมิลำเนาหรืออยู่ในเขตศาลในขณะนั้นได้ และในกรณีเช่นนี้ถือว่าได้ยื่นอุทธรณ์แล้วแต่วันนั้น ไม่ใช่นับแต่วันที่อุทธรณ์ส่งไปถึงศาลที่พิพากษาคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 459/2485
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องขอว่าความอนาถาหลังศาลตัดสิน และการชำระค่าธรรมเนียมภายในกำหนด
จำเลยแพ้คดีโจทก์ได้ฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นวันที่ 26กุมภาพันธ์. จำเลยยื่นอุทธรณ์ขอว่าความอย่างคนอนาถาในวันที่24 มีนาคม. ศาลสั่งยกคำร้องอนาถาวันที่ 31 มีนาคม.จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมมาเสียในวันที่ 1 เมษายน.ไม่ขาดอายุความ. อ้างคำสั่งคำร้องที่ 38/2478.และฎีกาที่1033/2482.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 307/2475
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอให้นับโทษต่อเนื่องต้องยื่นก่อนศาลตัดสิน หากมิได้ยื่นก่อน ศาลไม่นับโทษ
นับโทษติดต่อ ถ้าโจทย์มิได้ขอในฟ้องหรือยื่นคำร้องก่อนศาลตัดสิน ศาลไม่นับโทษจำเลย ติดต่อกับโทษในคดีก่อน พ.ร.บ. ฎีกาอุทธรณ์ปัญหากฎหมาย ประเด็นไม่ได้เถียงชั้นศาลล่างจะมาเถียงชั้นฎีกาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8460/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกไม่มีอายุความ แม้พ้น 34 ปี ก็ยังทำได้
คดีนี้เป็นคดีจัดการมรดกซึ่งไม่มีบทบัญญัติกำหนดอายุความการยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก ผู้ร้องจะยื่นคำร้องขอภายหลังเจ้ามรดกถึงแก่ความตายแล้วกี่ปีก็ได้ ดังนั้น แม้ผู้ร้องจะยื่นคำร้องขอเป็นคดีนี้เกินกว่า 34 ปี นับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายแล้วก็ตาม ผู้ร้องก็ยังมีสิทธิที่ยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกได้ หาจำต้องยื่นภายในกำหนดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 อันเป็นบทบัญญัติเรื่องการฟ้องคดีมรดกไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6295/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนล่าช้า ศาลอนุญาตขยายเวลาได้ หากโจทก์ยื่นภายในกำหนดที่ศาลอนุญาต
แม้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 วรรคสอง กำหนดว่า การยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนผู้เสียหายต้องยื่นคำร้องก่อนเริ่มสืบพยาน คดีนี้โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหลังจากสืบพยานประเด็นโจทก์ไปแล้วก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 20 สิงหาคม 2555 ว่า ทนายผู้ร้องแถลงต่อศาลชั้นต้นขอยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนภายใน 7 วัน นับแต่วันนี้ เนื่องจากทนายผู้ร้องยังไม่ทำคำร้องดังกล่าว เท่ากับทนายผู้ร้องมีความประสงค์ขอให้ศาลชั้นต้นใช้อำนาจทั่วไปที่มีอยู่กำหนดเวลาให้โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาต เท่ากับศาลชั้นต้นได้กำหนดเวลาให้โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว เมื่อโจทก์ร่วมได้ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาต การที่ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของโจทก์ร่วมไว้พิจารณาและมีคำพิพากษาในคดีส่วนแพ่ง จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14524/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ: ต้องยื่นคำร้องภายใน 90 วันนับแต่วันได้รับแจ้งคำชี้ขาด
ตามคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องมีคำขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ โดยผู้คัดค้าน ระบุว่า ผู้ร้องมีความประสงค์จะร้องขอต่อศาลเพื่อมีคำสั่งเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ เนื่องจากคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการดังกล่าวไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายที่ระบุอยู่ใน พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 กล่าวคือ ข้อ 7.1 ระบุว่า คำชี้ขาดวินิจฉัยข้อพิพาทไม่อยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ หรือเกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการอันเป็นการร้องขอตามมาตรา 40 วรรคสาม (1) (ง) ข้อ 7.2 ระบุว่าองค์ประกอบของคณะอนุญาโตตุลาการไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 อันเป็นการร้องขอตามมาตรา 40 วรรคสาม (1) (จ) และในข้อ 7.3 ระบุว่าการยอมรับหรือบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อันเป็นการร้องขอตามมาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) กรณีตามคำร้องของผู้ร้องดังกล่าว จึงเป็นการดำเนินการคัดค้านคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ โดยขอให้ศาลเพิกถอนคำชี้ขาดตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 40 วรรคหนึ่ง ทั้งนี้จะต้องดำเนินการภายในกำหนดระยะเวลาตามมาตรา 40 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า "คู่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดได้ โดยยื่นคำร้องต่อศาลที่มีอำนาจภายในเก้าสิบวันนับแต่วันได้รับสำเนาคำชี้ขาด" ดังนั้น เมื่ออนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2557 ให้เพิกถอนบรรดาข้อเรียกร้องทั้งหมดของผู้ร้อง โดยแจ้งคำสั่งให้ผู้ร้องทราบเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2557 ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าวในวันที่ 6 สิงหาคม 2557 ซึ่งเกินกำหนดระยะเวลาเก้าสิบวัน นับแต่วันที่ผู้ร้องได้รับสำเนาคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแล้ว แม้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับคำร้อง และมีคำสั่งไม่รับคำร้องเพราะคดีไม่ได้อยู่ในอำนาจ ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต่อศาลชั้นต้นในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2557 ก็ตาม กรณีดังกล่าวจึงเป็นการยื่นคำร้องเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาเก้าสิบวัน นับแต่วันที่ผู้ร้องได้รับสำเนาคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ผู้ร้องย่อมขาดสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 40 วรรคสอง
ข้อคัดค้านของผู้ร้องว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการไต่สวนโดยไม่ชอบนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการวินิจฉัยพยานหลักฐานซึ่งไม่ปรากฏว่ามีการวินิจฉัยผิดจากวิธีพิจารณาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อุทธรณ์ในส่วนนี้จึงต้องห้ามตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 45
ข้อคัดค้านของผู้ร้องว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการไต่สวนโดยไม่ชอบนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการวินิจฉัยพยานหลักฐานซึ่งไม่ปรากฏว่ามีการวินิจฉัยผิดจากวิธีพิจารณาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อุทธรณ์ในส่วนนี้จึงต้องห้ามตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 45