พบผลลัพธ์ทั้งหมด 110 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2758/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับหนี้ตามสัญญาจำนองและการสมัครใจใช้หนี้แทนลูกหนี้อื่น จำเลยมีสิทธิยึดถือโฉนดได้
โจทก์ทำสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ของโจทก์ที่มีต่อจำเลยเมื่อโจทก์ได้ใช้เงินแก่จำเลยครบถ้วนตามสัญญาจำนองแล้วหนี้ตามสัญญาจำนองที่โจทก์มีต่อจำเลยจึงเป็นอันระงับสิ้นไปสัญญาจำนองที่โจทก์ทำไว้แก่จำเลยย่อมระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา744(1)จำเลยจึงมีหน้าที่ไปขอจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินดังกล่าว โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยขอมอบที่ดินให้จำเลยทำการแทนในการซื้อขายและโอนกรรมสิทธิ์เพื่อเป็นการชำระหนี้บางส่วนของพ. จึงเป็นกรณีที่โจทก์สมัครใจเข้ามาใช้หนี้ของพ.ลูกหนี้โจทก์แทนพ. โดยยอมให้จำเลยขายที่ดินของโจทก์นำเงินมาชำระหนี้ย่อมก่อให้เกิดผลผูกพันโจทก์จำเลยจึงมีสิทธิยึดถือโฉนดที่ดินตามฟ้องไว้จนกว่าความรับผิดในหนี้ของพ. จะสิ้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2624/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ครบถ้วนตามสัญญา การหักชำระหนี้ที่คำนวณผิดพลาด และการระงับหนี้
จำเลยเจตนาจะชำระหนี้ทั้งหมดตามสัญญากู้เงินและสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่มีอยู่แก่โจทก์และจำเลยได้ชำระหนี้แก่โจทก์เกินกว่าจำนวนเงินที่โจทก์แจ้งยอดค้างชำระหนี้ให้จำเลยทราบกรณีเช่นนี้จึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยต้องชำระหนี้โจทก์โดยมูลหนี้หลายรายแล้วชำระหนี้ไม่เพียงพอจะเปลื้องหนี้สินได้หมดทุกรายอันจะนำไปสู่การพิจารณาว่าการชำระหนี้ของจำเลยจะเป็นการเปลื้องหนี้รายใดก่อนหลังตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา328เมื่อปรากฎว่าโจทก์คำนวณยอดหนี้ตามสัญญากู้เงินผิดพลาดส่วนยอดหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีถูกต้องอีกทั้งจำนวนเงินที่จำเลยชำระก็เพียงพอและถูกต้องตามยอดหนี้ในสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจึงถือได้ว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีครบถ้วนและหนี้ดังกล่าวระงับไปแล้วโจทก์จะนำเงินที่จำเลยชำระไปหักชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินที่โจทก์คำนวณยอดหนี้ผิดพลาดก่อนโดยพลการไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 879/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความระงับหนี้เช็คสำเร็จเมื่อเงื่อนไขการขายทรัพย์มรดกเป็นไปตามตกลง
โจทก์จำเลยทำ ข้อตกลงกันแม้จะเรียกว่าเป็น หนังสือรับสภาพหนี้ แต่มีข้อสาระสำคัญว่าจำเลยยอมรับว่าได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้โจทก์และจะชำระหนี้ให้โจทก์เมื่อศาลตั้งผู้จัดการมรดกของ ถ. และผู้จัดการมรดกได้จำหน่ายทรัพย์มรดกแล้วโดยโจทก์ยอมถอนคำร้องทุกข์ในคดีเช็คพิพาทที่โจทก์ร้องทุกข์ไว้ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเป็นกรณีที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต้องการระงับข้อพิพาทที่มีอยู่ให้เสร็จไปด้วยต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันจึงเข้าลักษณะสัญญา ประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา850จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามเช็คพิพาทแก่โจทก์ ส่วนข้อตกลงระบุว่าจำเลยจะชำระหนี้แก่โจทก์เมื่อผู้จัดการมรดกได้จำหน่ายที่ดินทรัพย์มรดกเป็น เงื่อนไขบังคับก่อน แต่เงื่อนไขดังกล่าวจะสำเร็จหรือไม่มิใช่ขึ้นอยู่กับจำเลยหรือสุดแล้วแต่ใจจำเลยหากแต่ขึ้นอยู่กับ ผู้จัดการมรดก ข้อตกลงดังกล่าวไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนเป็นเรื่องวิธีการชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ข้อตกลงดังกล่าวหาตกเป็น โมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา152(เดิม)ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7026/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความระงับมูลหนี้ละเมิด นายจ้างหลุดพ้นความรับผิด
จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของโจทก์ โจทก์จำเลยที่ 1 ได้ตกลง กันซึ่งพนักงานสอบสวนได้บันทึกไว้มีใจความว่า จำเลยที่ 1ยอมรับผิดและยินยอมชดใช้ค่าเสียหาย โดยจะนำรถของโจทก์ไป ซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเดิมและใช้การได้ โดยจะนำไปซ่อมที่ อู่ ช. คู่กรณีตกลงและไม่ติดใจค่าเสียหายอื่นอีก โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน ข้อตกลง ดังกล่าวเป็นสัญญาซึ่งโจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงระงับข้อพิพาท ที่โจทก์จะเรียกค่าเสียหายในการซ่อมรถยนต์ของโจทก์ ค่าเสียหายอื่นอันเกิดจากการกระทำละเมิดซึ่งมีอยู่ในขณะนั้น จากจำเลยที่ 1 ให้เสร็จไปด้วยการผ่อนผันให้แก่กัน โดยโจทก์ ให้จำเลยที่ 1 นำรถไปซ่อมแซมที่อู่ ช. ให้อยู่ในสภาพเดิมแทนการเรียกค่าเสียหายเป็นตัวเงินและจำเลยที่ 1 ตกลงซ่อมแซม ให้ จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 มีผลให้มูลหนี้ละเมิดระงับสิ้นไป ทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญาตามมาตรา 852 จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อโจทก์ และเมื่อมูลหนี้ละเมิดระงับ จำเลยที่ 2 ผู้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จึงหลุดพ้นความรับผิดไปด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6029/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้เช็คและการผ่อนชำระหนี้ตามข้อตกลงในคดีอาญา ไม่ถือเป็นการระงับหนี้สัญญา
จำเลยที่1สั่งจ่ายเช็คให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมต่อมาโจทก์นำเช็คฉบับดังกล่าวมาฟ้องจำเลยที่2เป็นคดีอาญาการที่โจทก์จำเลยที่1ตกลงกันในคดีดังกล่าวว่าจำเลยที่1ยอมชำระหนี้แก่โจทก์เป็นงวดๆและเมื่อจำเลยที่1ชำระหนี้ครบถ้วนแล้วโจทก์จะถอนฟ้องนั้นข้อตกลงดังกล่าวหาได้ระงับข้อพิพาทที่เกิดให้เสร็จสิ้นไปทีเดียวยังมีเงื่อนไขว่าให้จำเลยที่1ชำระหนี้จนครบถ้วนเสียก่อนโจทก์จึงจะถอนฟ้องให้ข้อตกลงหาใช่สัญญาประนีประนอมยอมความอันจะเป็นเหตุให้หนี้ตามสัญญากู้ระงับไม่ จำเลยที่1ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์2ฉบับแต่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์เพียงบางส่วนเมื่อไม่ปรากฎว่าเป็นการชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับใดต้องถือว่าจำเลยที่1ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับแรกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4946/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับหนี้จากการยอมรับชำระหนี้เป็นเงินแทนการโอนทรัพย์สินตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
ว.เป็นสามี ธ.และเป็นบุตรของจำเลย ว.และ ธ.ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ 2 จำนวน คือหนี้เกิดจากการซื้อหุ้นและออกเช็คกับหนี้เงินกู้รวมเป็นเงิน 24,128,385 บาท โดยยอมรับผิดร่วมกัน จำเลยยินยอมให้ ว.นำที่ดินของจำเลยตามโฉนดที่พิพาทโอนชำระหนี้แก่โจทก์ต่อมาโจทก์แจ้งให้ ว.จัดการโอนทรัพย์สินตามสัญญาประนีประนอมยอมความแก่โจทก์ภายใน 15 วัน มิฉะนั้นจะใช้สิทธิดำเนินคดีตามกฎหมาย และ/หรือใช้สิทธิตามสัญญาประนีประนอมยอมความหักทรัพย์สินที่ไม่ชำระหนี้ออกไป และหาก ว.ไม่ดำเนินการโจทก์ขอถือหนังสือฉบับดังกล่าวเป็นการแจ้งว่าโจทก์ขอตั้งผู้ตีราคาทรัพย์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ช.เป็นผู้ตีราคาและผู้ตีราคาได้ตีราคาทรัพย์ที่นำมาชำระหนี้ไม่ได้เป็นเงิน 2,930,000 บาท ต่อมาโจทก์มีหนังสือแจ้งให้ ว.ดำเนินการดังที่แจ้งไว้อีกครั้ง แต่ ว.มิได้ดำเนินการแต่อย่างใด โจทก์จึงยื่นฟ้อง ว.และ ธ.เป็นคดีล้มละลาย โดยนำราคาทรัพย์สินตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์ตีราคาเป็นเงิน 2,930,000 บาท เพราะไม่สามารถนำมาชำระหนี้ได้หักออกจากการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ นำไปเป็นทุนทรัพย์ในการฟ้องและขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย ซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ในส่วนนี้ไปแล้วดังนี้ เมื่อทรัพย์สินที่ ว.และ ธ.นำมาทำสัญญาเพื่อโอนชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งได้แก่ที่ดินและบ้าน ที่ดินและที่พิพาทกับรถยนต์นั้น เมื่อสัญญาประนีประนอมระหว่างโจทก์และ ว.กับ ส.ลูกหนี้ระบุไว้ว่า หากทรัพย์สินดังกล่าวรายใดไม่สามารถนำมาชำระหนี้ได้ก็ต้องหักออกไปตามราคาที่ตกลงกัน หากตกลงกันไม่ได้ก็ให้ผู้ตีราคาซึ่งโจทก์เป็นผู้ตั้งขึ้นมาตีราคา คำวินิจฉัยของผู้ตีราคาดังกล่าวให้เป็นที่สุด ซึ่งหมายความว่า เมื่อมีการตกลงราคาหรือตีราคาทรัพย์สินแล้ว ก็จะต้องนำไปหักออกจากยอดเงินที่ระบุไว้ในสัญญา และถือว่า ว.และ ธ.ยังค้างชำระหนี้โจทก์อยู่เป็นหนี้เงินตามจำนวนเงินที่มีการตกลงหรือตีราคาทรัพย์สินนั้น เมื่อปรากฏว่า หลังจากจำเลยปฏิเสธไม่ยอมโอนที่พิพาทแก่โจทก์แล้ว โจทก์มีหนังสือถึง ว.และ ธ.ขอให้ตีราคาที่พิพาท จนต่อมาได้มีการตั้งผู้ตีราคาและตีราคาที่พิพาท แล้วโจทก์นำราคาทรัพย์สินตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์ตีราคา เพราะไม่สามารถนำมาชำระหนี้ได้ไปรวมกับยอดเงินที่โจทก์ฟ้อง ว.และ ธ.เป็นคดีล้มละลาย และศาลมีคำสั่งให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ในส่วนนี้ไปแล้ว ถือว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ได้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นจากลูกหนี้แทนการชำระหนี้โดยการรับโอนที่พิพาทตามที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญาประนีประนอม-ยอมความ ย่อมทำให้หนี้ของลูกหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่จะต้องโอนที่พิพาทแก่โจทก์เป็นอันระงับสิ้นไปตาม ป.พ.พ.มาตรา 321 วรรคแรก จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องโอนที่พิพาทชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความอีก
การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์สละสิทธิเรียกร้องให้มีการโอนที่พิพาทชำระหนี้ต่อไป และยก ป.พ.พ.มาตรา 198 และมาตรา 199ขึ้นอ้างและปรับบทก็เพื่อวินิจฉัยให้เห็นว่าเมื่อโจทก์เลือกให้ ว.และ ธ.ลูกหนี้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความชำระหนี้เป็นเงินแทนการโอนที่พิพาทแก่โจทก์เข้าข้อยกเว้นของ ป.พ.พ.มาตรา 198 แสดงว่าโจทก์สละสิทธิเรียกร้องให้โอนที่พิพาทแล้ว ย่อมถือได้ว่าการชำระหนี้เป็นเงินแก่โจทก์เพียงอย่างเดียวเป็นการชำระหนี้อันกำหนดให้กระทำแต่ต้นมาตาม ป.พ.พ.มาตรา 199 โจทก์จึงไม่อาจใช้สิทธิฟ้องให้จำเลยโอนที่พิพาทชำระหนี้แก่โจทก์อีก อันอยู่ในประเด็นที่ว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องโอนที่พิพาทตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้แก่โจทก์หรือไม่
การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์สละสิทธิเรียกร้องให้มีการโอนที่พิพาทชำระหนี้ต่อไป และยก ป.พ.พ.มาตรา 198 และมาตรา 199ขึ้นอ้างและปรับบทก็เพื่อวินิจฉัยให้เห็นว่าเมื่อโจทก์เลือกให้ ว.และ ธ.ลูกหนี้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความชำระหนี้เป็นเงินแทนการโอนที่พิพาทแก่โจทก์เข้าข้อยกเว้นของ ป.พ.พ.มาตรา 198 แสดงว่าโจทก์สละสิทธิเรียกร้องให้โอนที่พิพาทแล้ว ย่อมถือได้ว่าการชำระหนี้เป็นเงินแก่โจทก์เพียงอย่างเดียวเป็นการชำระหนี้อันกำหนดให้กระทำแต่ต้นมาตาม ป.พ.พ.มาตรา 199 โจทก์จึงไม่อาจใช้สิทธิฟ้องให้จำเลยโอนที่พิพาทชำระหนี้แก่โจทก์อีก อันอยู่ในประเด็นที่ว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องโอนที่พิพาทตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้แก่โจทก์หรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2809/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้สั่งจ่ายเช็คมีหน้าที่นำสืบข้ออ้างการระงับหนี้ หากไม่สามารถทำได้ ต้องรับผิดตามเช็ค
จำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท ส่วนจำเลยที่ 2เป็นผู้สลักหลัง จำเลยทั้งสองต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 จำเลยที่ 1 มีหน้าที่นำสืบให้ได้ความตามข้ออ้างที่ว่า จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้บริษัท ส.เพื่อเป็นการค้ำประกันการเช่าซื้อรถยนต์จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อครบแล้ว มูลหนี้ตามเช็คพิพาทระงับไป เมื่อนำสืบไม่ได้ ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์เกี่ยวกับมูลหนี้ตามเช็คพิพาทอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 174/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: ผลระงับหนี้เดิมและสิทธิใหม่ตามสัญญา
เดิมโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ให้โจทก์จากมูลหนี้ตามสัญญากู้เงินและสัญญากู้เงินโดยวิธีขายลดเช็ค ต่อมา ว.ซึ่งเป็นจำเลยที่ 4 ในคดีนั้นได้ทำหนังสือรับใช้หนี้ในหนี้ทุกประเภทของจำเลยที่ 1 ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยโดย ว.ยอมรับภาระเป็นลูกหนี้ชำระหนี้รายนี้แทนจำเลยที่ 1 นอกเหนือจากความรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกัน และโจทก์ยินยอมให้ ว.ชำระหนี้ในวันทำสัญญาเท่ากับหนี้ที่ ว.เป็นผู้ค้ำประกัน ส่วนที่เหลือยอมให้ ว.ออกเช็คล่วงหน้าผ่อนชำระหนี้6 งวด โดยโจทก์ให้ความเชื่อถือ ว. และยอมคืนโฉนดที่ดินที่ ว. จำนองเป็นประกันหนี้จำเลยที่ 1 ให้ไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองด้วย โจทก์จะเรียกดอกเบี้ยต่อเมื่อเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ในอัตราร้อยละ 20 ต่อปี ตามสัญญารับใช้หนี้ข้อ 3 เท่านั้น เป็นการที่โจทก์และ ว. ทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทที่มีขึ้นตามมูลหนี้เดิมให้เสร็จสิ้นไป ด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 เป็นผลทำให้มูลหนี้เดิมซึ่งมีอยู่ระงับสิ้นไปและทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความตามป.พ.พ. มาตรา 852 โจทก์จะมาฟ้องจำเลยทั้งสามในมูลหนี้เดิมที่ระงับสิ้นไปแล้วหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 174/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญารับใช้หนี้และการระงับหนี้เดิมด้วยสัญญาประนีประนอมยอมความ
เดิมโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ให้โจทก์จากมูลหนี้ตามสัญญากู้เงินและสัญญากู้เงินโดยวิธีขายลดเช็คต่อมา ว.ซึ่งเป็นจำเลยที่4ในคดีนั้นได้ทำหนังสือรับใช้หนี้ในหนี้ทุกประเภทของจำเลยที่1ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยโดย ว.ยอมรับภาระเป็นลูกหนี้ชำระหนี้รายนี้แทนจำเลยที่1นอกเหนือจากความรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันและโจทก์ยินยอมให้ ว. ชำระหนี้ในวันทำสัญญาเท่ากับหนี้ที่ ว. เป็นผู้ค้ำประกันส่วนที่เหลือยอมให้ ว.ออกเช็คล่วงหน้าผ่อนชำระหนี้6งวดโดยโจทก์ให้ความเชื่อถือ ว.และยอมคืนโฉนดที่ดินที่ ว. จำนองเป็นประกันหนี้จำเลยที่1ให้ไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองด้วยโจทก์จะเรียกดอกเบี้ยต่อเมื่อเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ในอัตราร้อยละ20ต่อปีตามสัญญารับใช้หนี้ข้อ3เท่านั้นเป็นการที่โจทก์และ ว. ทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทที่มีขึ้นตามมูลหนี้เดิมให้เสร็จสิ้นไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา850เป็นผลทำให้มูลหนี้เดิมซึ่งมีอยู่ระงับสิ้นไปและทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา852โจทก์จะมาฟ้องจำเลยทั้งสามในมูลหนี้เดิมที่ระงับสิ้นไปแล้วหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7559/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละสิทธิเรียกร้องหนี้และการระงับหนี้จากการตกลงรับชำระหนี้บางส่วน
ตามคำแถลงที่ผู้ร้องยื่นต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีที่ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานั้นผู้ร้องแถลงว่าผู้ร้องตกลงกับจำเลยแล้วโดยจำเลยยอมชำระเงินให้ผู้ร้อง 100,000 บาท ผู้ร้องจึงไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยอีกต่อไป และขอถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยโดยจำเลยได้นำค่าธรรมเนียมการถอนการยึดทรัพย์มาชำระแล้วจึงถือได้ว่าผู้ร้องได้ตกลงรับชำระหนี้จากจำเลยเพียงจำนวน100,000 บาท และสละสิทธิการบังคับคดีในคดีที่ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว อันมีผลทำให้หนี้ตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวระงับแล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธินำหนี้ในคดีดังกล่าวมาขอเฉลี่ยจากทรัพย์สินของจำเลยในคดีอีก ที่ผู้ร้องฎีกาว่า ความจริงผู้ร้องตกลงและขอถอนการยึดทรัพย์ในคดีอื่น ไม่ใช่คดีที่ผู้ร้องอ้างตามคำร้องขอเฉลี่ยนั้น เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้