พบผลลัพธ์ทั้งหมด 213 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5220/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตระเบียบการลาศึกษาต่อ: การฝึกอบรมหลักสูตรเทคนิคอลไม่ผูกพันการชดใช้
ระเบียบของโจทก์ที่กำหนดว่า พนักงานที่ลาไปศึกษาเมื่อได้ศึกษาสำเร็จแล้วจะต้องกลับมาปฏิบัติงานกับโจทก์เป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าเท่าของเวลาที่ได้ลาไป มิฉะนั้นต้องชดใช้เงินที่โจทก์ได้จ่ายให้และค่าความเสียหายในระหว่างหรือเนื่องจากการลานั้น หมายถึง กรณีที่พนักงานลาไปศึกษาเพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้วยการเรียนต่อให้ได้ปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพซึ่งสูงกว่าขั้นปริญญาตรีเท่านั้นแต่กรณีจำเลยเป็นการไปรับการฝึกอบรมในหลักสูตรเทคนิคอล เพาเวอร์ดิสตริบิวชั่น ออฟ อีเลคทริค เพาเวอร์ เนทเวิร์ค ที่ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐ-เยอรมัน โดยได้รับทุนจากรัฐบาลประเทศดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายบางส่วนและโจทก์จ่ายสมทบให้อีกบางส่วน โดยจำเลยไม่ได้ทำสัญญาผูกพันกับโจทก์ว่าจำเลยจะกลับมาปฏิบัติงานกับโจทก์หรือชดใช้เงินจำนวนใด ๆ ให้แก่โจทก์ การไปฝึกอบรมของจำเลยจึงไม่ใช่เพื่อให้ได้ปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพซึ่งสูงกว่าขั้นปริญญาตรี อันจะเป็นเหตุให้จำเลยมีความผูกพันต้องกลับมาปฏิบัติงานกับโจทก์หรือชดใช้เงินหรือค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามระเบียบดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5220/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตระเบียบการลาศึกษาและการชดใช้เงิน กรณีการฝึกอบรมที่ไม่ใช่การศึกษาเพื่อปริญญาที่สูงขึ้น
ระเบียบของโจทก์ที่กำหนดว่าพนักงานที่ลาไปศึกษาเมื่อได้ศึกษาสำเร็จแล้วจะต้องกลับมาปฏิบัติงานกับโจทก์เป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าเท่าของเวลาที่ได้ลาไปมิฉะนั้นต้องชดใช้เงินที่โจทก์ได้จ่ายให้และค่าความเสียหายในระหว่างหรือเนื่องจากการลานั้นหมายถึงกรณีที่พนักงานลาไปศึกษาเพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้วยการเรียนต่อให้ได้ปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพซึ่งสูงกว่าขั้นปริญญาตรีเท่านั้นแต่กรณีจำเลยเป็นการไปรับฝึกอบรมในหลักสูตรเทคนิคอลเพาเวอร์ดิสตริบิวชั่นออฟอีเลคทริคเพาเวอร์เนทเวิร์คที่ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน โดยได้รับทุนจากรัฐบาลประเทศดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายบางส่วนและโจทก์จ่ายสมทบให้อีกบางส่วนโดยจำเลยไม่ได้ทำสัญญาผูกพันกับโจทก์ว่าจำเลยจะกลับมาปฏิบัติงานกับโจทก์หรือชดใช้เงินจำนวนใดๆให้แก่โจทก์การไปฝึกอบรมของจำเลยจึงไม่ใช่เพื่อให้ได้ปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพซึ่งสูงกว่าขั้นปริญญาตรีอันจะเป็นเหตุให้จำเลยมีความผูกพันต้องกลับมาปฏิบัติงานกับโจทก์หรือชดใช้เงินหรือค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามระเบียบดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4728/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาทุนการศึกษา: การชดใช้คืนทุนและเบี้ยปรับ, สัญญาเหนือกว่าระเบียบ
จำเลยที่ 1 ได้รับทุนมูลนิธิฟุลไบร์ทไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐ-อเมริกาโดยได้ทำสัญญาไว้กับโจทก์ มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ซึ่งตามสัญญา-ดังกล่าวข้อ 4 ระบุว่า "ในกรณีที่ข้าพเจ้า (จำเลยที่ 1) ผิดสัญญา... หรือข้าพเจ้า(จำเลยที่ 1) ไม่กลับมารับราชการด้วยเหตุใด ๆ ก็ดี ข้าพเจ้าจะชดใช้คืนให้แก่ผู้รับสัญญา (โจทก์) ซึ่งทุนหรือเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มและหรือเงินอื่นใดทั้งสิ้นที่ข้าพเจ้าได้รับจากทางราชการในระหว่างที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาหรือฝึกอบรมนอกจากนี้ข้าพเจ้าจะจ่ายเงินเป็นเบี้ยปรับให้แก่ผู้รับสัญญาอีกจำนวนหนึ่งเท่ากับเงินที่ข้าพเจ้าจะต้องชดใช้คืน" ข้อความในสัญญาดังกล่าวหมายความว่า กรณีที่จำเลยที่ 1ผิดสัญญาจะต้องชดใช้ทุนหรือชดใช้เงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มหรือเงินอื่นใดให้แก่โจทก์และเบี้ยปรับอีกหนึ่งเท่าอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น เมื่อจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันชดใช้เงินเดือนที่ได้รับจากโจทก์รวมทั้งเบี้ยปรับอีกหนึ่งเท่าให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยที่ 1ย่อมไม่มีหน้าที่ที่จะต้องชดใช้คืนทุนที่ได้ใช้จ่ายในการศึกษาให้แก่โจทก์อีก และแม้ตามระเบียบว่าด้วยการให้ข้าราชการไปศึกษาดูงานในต่างประเทศจะระบุว่าจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชดใช้ทั้งเงินทุนและเงินเดือนและเงินอื่นใดที่ทางราชการจ่ายให้พร้อมทั้งเบี้ยปรับแก่โจทก์ มิใช่ชดใช้แต่เพียงอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม แต่เมื่อมิได้ระบุความดังกล่าวไว้ในสัญญา โจทก์จะอ้างระเบียบมาบังคับให้จำเลยที่ 1ต้องรับผิดหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2299/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิด: การฟ้องเรียกคืนเงินที่ถูกละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบ
โจทก์มิได้ บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ยึดถือทรัพย์สินของโจทก์ไว้โดยไม่มีสิทธิอันจะเป็นเหตุให้โจทก์สามารถใช้ สิทธิติดตามและเอาคืนทรัพย์สินของโจทก์จากจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา438วรรคสอง,1336แต่กลับบรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบแบบแผนที่ราชการกำหนดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำนวน310,670.20บาทและจำเลยต้องรับผิดคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์จึงไม่ใช่การฟ้องคดีเพื่อติดตามเอาทรัพย์สินของโจทก์คืนซึ่งไม่มีกำหนดเวลาเว้นแต่จะถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิแต่เป็นการฟ้องให้จำเลยรับผิดในการ ละเมิดตามมาตรา420ซึ่งอยู่ในบังคับ อายุความ1ปีตามมาตรา448วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1369/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอนุมัติสินเชื่อเกินอำนาจโดยจงใจเลี่ยงระเบียบ และการกระทำโดยทุจริตเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ลูกหนี้ ถือเป็นความผิด
ขณะเกิดเหตุโจทก์เป็นรัฐวิสาหกิจและจำเลยเป็นพนักงานของโจทก์จึงมีฐานะเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงฐานะของโจทก์ภายหลังหรือไม่ก็หาเป็นเหตุให้มีผลลบล้างฐานะโจทก์และฐานะความรับผิดของจำเลยในขณะเกิดเหตุไม่จึงไม่มีผลกระทบถึงอำนาจฟ้องของโจทก์และไม่เป็นสาระหรือประโยชน์แก่คดีที่พึงพิจารณาวินิจฉัย หนังสือมอบอำนาจเป็นหนังสือยืนยันขอบเขตอำนาจในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นพนักงานของจำเลยและรับรองอำนาจหน้าที่ของจำเลยในฐานะเป็นผู้แทนนิติบุคคลของโจทก์ต่อบุคคลภายนอกเป็นการทั่วไปส่วนมติกำหนดขอบเขตการใช้อำนาจของผู้แทนดังกล่าวอีกชั้นหนึ่งเป็นข้อจำกัดอำนาจเป็นการภายในหนังสือมอบอำนาจจึงไม่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงหน้าที่และฐานะของจำเลยหรือเป็นการเพิกถอนยกเลิกมติดังกล่าวไม่ ลูกหนี้ยื่นขอสินเชื่อในรูปแบบของการกู้เบิกเงินเกินบัญชีซึ่งเกินอำนาจอนุมัติของจำเลยแทนที่จำเลยจะเสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการธนาคารโจทก์ตามระเบียบกลับอนุมัติในรูป เพลซเมนท์/โลนหรือเงินฝากเป็นการจงใจหาวิธีการหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามระเบียบและวัตถุประสงค์ในรูปสินเชื่อที่แท้จริงโดยทุจริตเมื่อเจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้ตรวจสอบแล้วทักท้วงว่ารูปแบบสินเชื่อดังกล่าวเป็นการให้กู้และให้แก้ไขแทนที่จำเลยจะแก้ไขปฏิบัติเป็นรูปเงินกู้ตามข้อทักท้วงและขออนุมัติตามระเบียบให้ถูกต้องตามความจริงจำเลยกลับเปลี่ยนแปลงเป็นรูปตั๋วสัญญาใช้เงินอันเป็นวิธีการเลี่ยงไม่ยอมปฏิบัติตามที่ทักท้วงและไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่กำหนดไว้ให้ถูกต้องอีกทั้งยังมีการเพิ่มจำนวนสินเชื่อที่เกินอำนาจหลายครั้งหลายหนชี้ชัดว่าเพื่อเอื้อประโยชน์กันแก่ลูกหนี้เป็นเจตนาทุจริต จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่เสียหายโดยอ้างว่ามีการเปลี่ยนตัวลูกหนี้และได้มีการชำระหนี้ทั้งหมดแล้วโดยได้ยกขึ้นอ้างตั้งแต่ชั้นอุทธรณ์ตลอดมาและมีพยานเอกสารประกอบซึ่งโจทก์มิได้โต้แย้งพอรับฟังเป็นคุณแก่จำเลยได้ว่าเป็นความจริงแต่เมื่อตั้งแต่จำเลยให้ลูกหนี้กู้ยืมไปลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดเวลาตลอดมาจนกระทั่งจำเลยพ้นจากตำแหน่งแล้วตลอดถึงขณะที่โจทก์ฟ้องคดีความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ย่อมมีอยู่จริงก่อนแล้วตั้งแต่จำเลยกระทำผิดการเปลี่ยนตัวลูกหนี้และมีการชำระหนี้แล้วภายหลังเป็นเพียงการชำระหนี้ที่ล่าช้าและมิได้เกิดจากการดำเนินการของจำเลยไม่อาจรับฟังเป็นข้อลบล้างความเสียหายและไม่ช่วยให้จำเลยพ้นจากการกระทำผิดนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5959/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงเวลาทำงานไม่ตรงกับความเป็นจริง ไม่ถือเป็นการทุจริตหรือฝ่าฝืนระเบียบร้ายแรง หากนายจ้างไม่ถือเป็นสาระสำคัญ
ตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ลูกจ้างจะต้องมาทำงานระหว่าง 8 นาฬิกา ถึง 17 นาฬิกา การที่ลูกจ้างลงเวลาทำงานไว้ว่าได้มาทำงานและเลิกงานตามเวลาดังกล่าว โดยมีลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ควบคุมการทำงานลงชื่อกำกับความถูกต้องในช่องหมายเหตุทุกวัน แสดงว่านายจ้างไม่ได้ถือว่าการลงเวลามาทำงานและเลิกงานเป็นสาระสำคัญ แม้จะลงเวลาไม่ตรงกับความเป็นจริงผู้ควบคุมการทำงานลูกจ้างก็ลงชื่อกำกับความถูกต้องให้ ไม่ปรากฏว่า ลูกจ้างถูกหักค่าจ้างจากการมาทำงานสายและเลิกงานก่อนเวลา จึงมิใช่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีที่ร้ายแรง และการกระทำดังกล่าวก็ไม่ถือว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2703/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทของผู้ขับขบวนรถไฟ การไม่ปฏิบัติตามระเบียบความปลอดภัย ส่งผลให้เกิดการชนและเสียชีวิต
ตามข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ พ.ศ.2524 ข้อ 260ซึ่งผู้ขับขบวนรถไฟจะต้องปฏิบัติตามกำหนดไว้ว่า ในกรณีที่พนักงานขับรถไม่เห็นสัญญาณอนุญาต ให้พนักงานขับรถหยุดขบวนรถใกล้ถึงถนนผ่านเสมอระดับทาง และดูให้แน่ชัดว่าไม่มีสิ่งใดกีดขวางทางแล้ว ก็ให้นำขบวนรถผ่านไปได้ด้วยความระมัดระวังการที่จำเลยที่ 1 มิได้หยุดรถก่อนถึงถนนคีรีรัฐยา ย่อมเป็นการงดเว้นการปฏิบัติตามข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ พ.ศ.2524 ข้อ 260 ดังกล่าวที่กำหนดขึ้นเพื่อความปลอดภัยในการเดินรถไฟผ่านถนนที่ตัดกับรางรถไฟโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งผู้ขับขบวนรถไฟผ่านถนนเสมอระดับทางจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์จำเลยที่ 1 อาจใช้ความระมัดระวังโดยหยุดขบวนรถเสียก่อนจะถึงถนนคีรีรัฐยาแล้วนำขบวนรถผ่านถนนดังกล่าวไปด้วยความระมัดระวัง แต่จำเลยที่ 1 ก็หาได้กระทำเช่นนั้นไม่ จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ขับขบวนรถไฟโดยประมาท และการที่จำเลยที่ 1 ขับขบวนรถไฟผ่านถนนคีรีรัฐยาแล้วเกิดชนกับรถยนต์กระบะที่จำเลยที่ 2ขับมาเป็นเหตุให้ผู้ที่นั่งมาในกระบะหลังของรถยนต์ถึงแก่ความตาย 2 คน ความตายของบุคคลทั้งสองจึงเป็นผลโดยตรงจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ด้วยเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2211/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดี: การไม่ปฏิบัติตามระเบียบการขานราคาไม่ทำให้ผู้สู้ราคาเสียโอกาส หากผู้สู้ราคาทราบราคาอยู่แล้ว
ระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดี พ.ศ. 2522 ข้อ 83 ที่กำหนดให้ผู้ขายทอดตลาดร้องขานจำนวนเงินที่มีผู้สู้ราคาระหว่างการนับนั้นนอกจากเพื่อให้เป็นที่ชัดเจนแก่ผู้เข้าสู้ราคาคนอื่นเพื่อไตร่ตรองก่อนตัดสินใจว่าจะสู้ราคาขึ้นไปอีกหรือไม่แล้วยังมีเจตนารมณ์เพื่อให้โอกาสแก่ผู้เข้าสู้ราคารายอื่นซึ่งมิได้อยู่ร่วมในการประมูลสู้ราคามาแต่ต้นแต่เพิ่งมาถึงได้ทราบราคาที่มีผู้สู้ราคาไว้แล้ว เพื่อจะได้ประกอบการตัดสินใจว่าสมควรสู้ราคาขึ้นไปอีกหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้ร้องอยู่ร่วมเข้าสู้ราคามาแต่ต้น ผู้ร้องย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าผู้คัดค้านได้เสนอราคามาถึงเท่าใดและอาจตัดสินใจได้ว่าจะสู้ราคาขึ้นไปอีกหรือไม่ ดังนั้นแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าระหว่างการนับ 1 ถึง 3 แต่ละช่วงเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ขานจำนวนเงินที่มีผู้สู้ราคาครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง 3-4 คน ตามนัยแห่งระเบียบดังกล่าวก็หามีผลทำให้ผู้ร้องไม่มีโอกาสเสนอราคาเพิ่มสูงขึ้นดังที่ผู้ร้องอ้าง พฤติการณ์ฟังไม่ได้ว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสองที่จะขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 924/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถาบันการเงินต้องรับผิดต่อการรับฝากเงิน แม้กรรมการกระทำผิดระเบียบภายใน
ขณะที่โจทก์นำเงินไปฝากที่บริษัทจำเลยมี อ.ช. และ ก.เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อร่วมกันกระทำการแทนจำเลยได้ กรรมการทั้งสามคนได้รับฝากเงินและออกเช็คตามฟ้องให้โจทก์ อันเป็นการกระทำในเวลาทำการตามปกติของจำเลย แสดงว่าจำเลยเป็นผู้รับฝากเงินเอง ที่จำเลยอ้างว่ากรรมการของจำเลยทั้งสามคนมิได้นำเงินที่รับฝากเข้าบัญชีจำเลยก็ดี กฎหมายบังคับว่าหลักฐานการรับฝากเงินต้องออกเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินก็ดี การรับฝากเงินโจทก์กรรมการอื่นไม่ทราบเรื่อง และโจทก์ได้รับดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ก็ดีล้วนเป็นเรื่องที่กรรมการของจำเลยทั้งสามคนกระทำผิดระเบียบและกฎหมายเองทั้งสิ้น จำเลยจะนำมาเป็นเหตุอ้างให้พ้นจากความรับผิดต่อลูกค้าไม่ได้ เมื่อเช็คที่โจทก์ได้รับจากจำเลยเรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยย่อมต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5635/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของกรรมการในการรับพนักงานโดยมิได้ทำสัญญา/เรียกหลักประกัน และผลของการเพิกเฉยต่อระเบียบ
โจทก์มีมติให้รับซื้อข้างเปลือกจากสมาชิกที่ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์โดยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับผิดชอบ เช่นนี้จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้แทนโจทก์ การที่ ศ.ออกไปรับซื้อข้าวเปลือกจากสมาชิกแล้วนำมาเก็บไว้ที่ฉางข้าวของโจทก์แม้โจทก์จะมิได้มอบหมายให้ ศ. ออกไปรับซื้อข้าวเปลือกตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง แต่การที่ ศ. นำข้าวเปลือกจำนวนมากมาเก็บไว้ในฉางข้าวของโจทก์ และจำเลยที่ 1ได้รู้เห็นในการกระทำของ ศ. ด้วยแล้วนั้น ตามพฤติการณ์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับ ศ. แสดงว่าโจทก์ได้เชิดหรือรู้แล้วยอมให้ ศ. เชิดตนเองเป็นตัวแทนของโจทก์ในการออกไปซื้อรับซื้อข้าวเปลือกจากสมาชิก เมื่อสมาชิกที่นำข้าวเปลือกมาขายได้รับเงินไม่ครบถ้วน โจทก์ในฐานะตัวการย่อมต้องรับผิดในอันที่จะต้องชดใช้เงินค่าข้าวเปลือกต่อสมาชิกดังกล่าวซึ่งเป็นบุคคลภายนอก การที่ ศ. เบียดบังนำข้าวเปลือกบางส่วนออกขายแล้วนำทรายมาเจือปนทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ย่อมเรียกร้องค่าเสียหายจาก ศ.ซึ่งเป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์ได้ หากจำเลยได้เรียกหลักประกันจาก ศ. ขณะที่รับศ. เข้าทำงานตามระเบียบของโจทก์ โจทก์ย่อมบังคับเอาจากหลักประกันดังกล่าวได้ การที่จำเลยทั้งสิบห้าไม่เรียกหลักประกันไว้เช่นนี้ จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยทั้งสิบห้าจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าฟ้องโจทก์ในส่วนที่ให้จำเลยทั้งสิบห้ารับผิดเนื่องจากไม่เรียกหลักประกันขาดอายุความแล้วโจทก์อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยก็มิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนที่ให้จำเลยทั้งสิบห้ารับผิดเนื่องจากไม่เรียกหลักประกันขาดอายุความ ดังนี้คดีนี้ เป็นอันยุติแล้วว่าฟ้องโจทก์ในส่วนนี้ไม่ขาดอายุความการที่จำเลยทั้งสิบห้าฎีกาในข้อนี้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความอีก ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย