พบผลลัพธ์ทั้งหมด 159 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 651/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญารับสภาพหนี้เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ, การรับชำระหนี้บางส่วนไม่ตัดสิทธิเรียกเบี้ยปรับ
แม้สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1และที่5ได้เรียกชื่อว่าสัญญารับสภาพหนี้ก็ตามแต่มูลกรณีในสัญญานั้นเป็นเรื่องโจทก์กับจำเลยที่1และที่5ทำความตกลงกันกรณีที่จำเลยที่1และที่5ถูกโจทก์กล่าวหาว่าทำละเมิดต่อโจทก์ข้อความในสัญญาเป็นเรื่องตกลงให้จำเลยที่1และที่5ยอมชดใช้เงินค่าเสียหายในมูลละเมิดกับให้ผ่อนชำระให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาที่ตกลงกันดังนี้เป็นกรณีที่โจทก์กับจำเลยที่1และที่5ตกลงระงับข้อพิพาทมีมีขึ้นจากมูลละเมิดนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา850หาใช่เป็นการรับสภาพหนี้แต่เพียงอย่างเดียวไม่เมื่อจำเลยที่1และที่5ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความระงับข้อพิพาทกับโจทก์แล้วเช่นนี้ความรับผิดของจำเลยที่1และที่5ในมูลละเมิดก็ระงับไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นโจทก์จึงฟ้องจำเลยที่1และที่5ให้รับผิดในมูลละเมิดอีกหาได้ไม่ ในกรณีที่ผู้ขายผิดสัญญาซื้อขายนั้นนอกจากสัญญาข้อ10ได้กำหนดให้ผู้ขายต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาแล้วในข้อ9ของสัญญาดังกล่าวยังได้กำหนดให้ผู้ขายต้องเสียเบี้ยปรับอีกด้วยโดยระบุว่าถ้าผู้ซื้อไม่ใช่สิทธิบอกเลิกสัญญาในกรณีที่เมื่อครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญาแล้วผู้ขายส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวนผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ0.20ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่ผู้ขายได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนถูกต้องครบจำนวนซึ่งในสัญญาซื้อขายก็ไม่ได้มีการตกลงยกเว้นไว้เลยว่าหากผู้ซื้อไม่แจ้งสงวนสิทธิเรียกเบี้ยปรับแก่ผู้ขายแล้วผู้ซื้อจะหมดสิทธิเรียกเบี้ยปรับดังนั้นเมื่อผู้ขายตามสัญญารายนี้ผิดสัญญาโดยส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวนและผู้ซื้อได้รับมอบสิ่งของบางส่วนนั้นไว้ก็ไม่ถือว่าเป็นการรับชำระหนี้อันจะต้องแจ้งสงวนสิทธิเรียกเบี้ยปรับไม่เป็นเหตุให้โจทก์หมดสิทธิเรียกเบี้ยปรับจากผู้ขายตามสัญญาดังกล่าว ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา381วรรคสามที่บัญญัติว่า"ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้แล้วจะเรียกเอาเบี้ยปรับได้ต่อเมื่อได้บอกสงวนสิทธิไว้เช่นนั้น"เจ้าหนี้ต้องบอกกล่าวสงวนสิทธิเรียกเบี้ยปรับเฉพาะกรณีที่ลูกหนี้ยอมชำระหนี้โดยสิ้นเชิงแล้วและเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้ไว้เท่านั้นไม่ได้หมายถึงการชำระหนี้บางส่วนหรือชำระหนี้ไม่ถูกต้องดังนั้นการที่จำเลยที่4และที่6ซึ่งเป็นข้าราชการผู้มีหน้าที่ดำเนินการจัดซื้อของโจทก์รับชำระหนี้ไว้โดยไม่ได้แจ้งสงวนสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับไปยังผู้ขายจึงไม่เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายและถือไม่ได้ว่าจำเลยที่4และที่6กระทำละเมิดแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5530/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำบังคับจำนอง: การฟ้องคดีเดิมซ้ำ โดยอาศัยบุริมสิทธิจำนองที่ศาลเคยมีคำสั่งอนุญาตให้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่น
การที่โจทก์เคยยื่นคำร้องขอต่อศาลในคดีก่อนให้เอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยซึ่งจดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์มาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ก่อนเจ้าหนี้อื่นๆนั้นย่อมเป็นคำฟ้องที่ขอให้บังคับจำนองโดยอาศัยบุริมสิทธิของเจ้าหนี้ผู้รับจำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา289เมื่อโจทก์มาฟ้องบังคับจำนองเอาแก่จำเลยเป็นคดีนี้คู่ความในคดีก่อนกับคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันคำสั่งที่อนุญาตให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ในคดีก่อนถึงที่สุดแล้วมูลหนี้กับหลักประกันคือสัญญาจำนองที่โจทก์นำมาฟ้องคดีนี้ก็เป็นประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคำร้องขอของโจทก์ในคดีก่อนฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5530/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำกรณีบังคับจำนอง: คำร้องรับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่น ถือเป็นการฟ้องบังคับจำนองแล้ว
การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอต่อศาลในคดีแพ่งเรื่องอื่นให้เอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยซึ่งจดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์มาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ก่อนเจ้าหนี้อื่นๆย่อมเป็นคำฟ้องที่ขอให้บังคับจำนองโดยอาศัยบุริมสิทธิของเจ้าหนี้ผู้รับจำนองด้วยวิธีการเป็นพิเศษตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา289ดังนั้นคู่ความในคดีดังกล่าวกับคดีนี้จึงเป็นคู่ความรายเดียวกันและเมื่อคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ในคดีดังกล่าวก่อนเจ้าหนี้อื่นนั้นถึงที่สุดแล้วและมูลหนี้กับหลักประกันคือสัญญาจำนองที่โจทก์นำมาฟ้องคดีนี้ก็เป็นประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคำร้องขอของโจทก์ในคดีดังกล่าวฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามมาตรา148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4816/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการรับชำระหนี้ดอกเบี้ยในคดีล้มละลาย: ขอบเขตการคุ้มครองจนถึงวันที่ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้ไม่มีประกัน ต่อมาได้ขอแก้ไขข้อความในรายการแห่งคำขอรับชำระหนี้จากเจ้าหนี้ไม่มีประกันเป็นเจ้าหนี้มีประกัน ศาลอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกัน กรณีจึงต้องด้วยพ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตาา 100 ที่บัญญัติไม่ให้ถือว่าดอกเบี้ยภายหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เป็นหนี้ที่จะขอรับชำระหนี้ได้ เจ้าหนี้จึงมีสิทธิขอรับชำระหนี้ในดอกเบี้ยได้จนถึงวันที่ลูกหนี้ที่ 1 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2477/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งผู้คัดค้านเกี่ยวกับการรับชำระหนี้จากทรัพย์จำนองถึงที่สุด ผู้ร้องมิอาจโต้แย้งได้อีก
ตามคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านแม้จะกล่าวถึงมูลหนี้ว่าลูกหนี้ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับผู้ร้องในวงเงิน300,000บาทโดยยอมเสียดอกเบี้ยทบต้นในอัตราสูงสุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและจดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันในวงเงินดังกล่าวหลังจากนั้นมีการเดินสะพัดทางบัญชีและต่อมาผู้ร้องได้บอกกล่าวให้ลูกหนี้ชำระหนี้ซึ่งณวันที่14มกราคม2534ลูกหนี้เป็นหนี้ผู้ร้องจำนวน546,895.54บาทผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้มีประกันมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์จำนองหลักประกันตามสัญญาจำนองพร้อมดอกเบี้ยก่อนเจ้าหนี้อื่นและวินิจฉัยว่าผู้ร้องมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราต่างๆนับตั้งแต่วันที่2กันยายน2531เป็นต้นไปก็ตามแต่เมื่อที่สุดผู้คัดค้านมีคำสั่งให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองภายในต้นเงิน300,000บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยนับแต่วันที่2กันยายน2531จนถึงวันขายทอดตลาดทรัพย์จำนองซึ่งไม่ได้ระบุให้ผู้ร้องมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นก็จะแปลว่าคำสั่งของผู้คัดค้านมีความหมายให้ผู้ร้องมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นหาได้ไม่หากคำสั่งของผู้คัดค้านดังกล่าวไม่ถูกต้องอย่างใดชอบที่ผู้ร้องจะใช้สิทธิคัดค้านตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา146เมื่อผู้ร้องไม่ได้ใช้สิทธิคัดค้านภายในกำหนดเวลาตามบทบัญญัติดังกล่าวคำสั่งของผู้คัดค้านย่อมถึงที่สุดผู้ร้องจะคัดค้านอีกหาได้ไม่และเมื่อตามบัญชีแสดงรายการรับ-จ่ายเงินผู้คัดค้านได้คำนวณให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ขายทอดตลาดทรัพย์ตามคำสั่งของผู้คัดค้านบัญชีแสดงรายการรับ-จ่ายเงินของผู้คัดค้านจึงถูกต้องแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 766/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องซ้อนในคดีรับชำระหนี้จากกองมรดก แม้คดีก่อนยังไม่ถึงที่สุด
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในฐานะทายาทโดยธรรมของ ส. ผู้ตายให้ชำระหนี้ให้โจทก์ในจำนวนหนี้ที่ผู้ตายนำไม้ของโจทก์ไปขายแล้วไม่นำเงินส่งมอบให้โจทก์กับหนี้อื่นที่ผู้ตายเป็นหนี้โจทก์ โดยจำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 3 ในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตายได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ของผู้ตายให้โจทก์ไว้เป็นหลักฐาน เป็นการฟ้องขอรับชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกของผู้ตาย โดยมีประเด็นข้อพิพาทที่จะต้องวินิจฉัยว่าผู้ตายเป็นหนี้โจทก์ค่านำไม้ของโจทก์ไปขายแล้วไม่นำเงินส่งมอบให้โจทก์กับหนี้อื่นดังฟ้องของโจทก์เพียงใดหรือไม่ซึ่งคดีนั้นศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตายชำระหนี้ของผู้ตายให้แก่โจทก์ และคดีถึงที่สุดแล้ว การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้ขอให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตาย กับจำเลยที่ 4ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายรับผิดชำระหนี้ที่ผู้ตายนำไม้รายเดียวกับในคดีก่อนไปขายแล้วไม่นำเงินส่งมอบให้โจทก์ โดยอ้างว่าหนี้ดังกล่าวมีจำนวนเงินมากกว่าที่โจทก์ฟ้องในคดีก่อน โจทก์จึงนำหนี้ที่เหลือมาฟ้องคดีนี้นั้น เป็นการฟ้องขอรับชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกของผู้ตายเช่นเดียวกับการฟ้องคดีก่อน และคดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทที่จะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับคดีก่อนในส่วนที่ว่าผู้ตายเป็นหนี้โจทก์ค่านำไม้ของโจทก์ไปขายแล้วไม่นำเงินส่งมอบให้โจทก์เพียงใดหรือไม่ แม้จะได้ความดังกล่าว กรณีก็มิใช่เป็นการฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมาย-วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 เพราะขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ คดีก่อนอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ยังมิได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด แต่อย่างไรก็ดีการที่โจทก์ได้ยื่นคำฟ้องคดีก่อนต่อศาลชั้นต้นและคดีก่อนอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ได้นำคดีนี้ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันนั้นมายื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นอีก จึงเป็นการฟ้องซ้อนกับคดีก่อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 688/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับจำนองและสิทธิในการรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ในคดีล้มละลาย
โจทก์ทั้งสี่เป็นเจ้าหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัท ธ. ส่วนจำเลยทั้งสี่จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันเพื่อการชำระหนี้และค่าอุปกรณ์ การที่โจทก์ทั้งสี่ไปยื่นคำขอรับชำระหนี้เอาจากกองทรัพย์สินของบริษัท ธ. ลูกหนี้ผู้ล้มละลายและศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า เมื่อบังคับจำนองได้เงินชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินเพียงใด มูลหนี้ที่โจทก์ทั้งสี่ขอรับชำระในคดีล้มละลายก็ลดลงตามนั้น คำสั่งศาลชั้นต้นที่ได้อนุญาตให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับชำระหนี้ดังกล่าว มีผลเพียงให้โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตามจำนวนที่ยื่นขอเท่านั้นหากไม่ให้โจทก์ทั้งสี่ไปยื่นคำขอรับชำระหนี้แล้ว ก็จะทำให้โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ต้องเสียหายและเป็นการลบล้างอำนาจเจ้าหนี้ที่มีอยู่
การที่โจทก์ทั้งสี่ขอรับชำระหนี้ และศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของบริษัท ธ. ลูกหนี้ผู้ล้มละลาย จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสี่ไม่ประสงค์จะบังคับเอาแก่ที่ดินตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.9 อีกต่อไป แม้โจทก์ทั้งสี่จะได้ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ไถ่ถอนที่ดินที่จำนองคืนไป 1 แปลงแล้วก็ตาม ก็เป็นเพียงการรับชำระหนี้บางส่วนจากจำเลยทั้งสี่เท่านั้น โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นคู่สัญญาจึงต้องผูกพันตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.9เมื่อจำเลยทั้งสี่เพิ่งโอนที่ดินที่จำนองให้แก่โจทก์ทั้งสี่เพียงบางแปลงเท่านั้น จำเลยทั้งสี่จึงต้องรับผิดโอนที่ดินที่จำนองแปลงที่เหลืออีก 6 แปลง ตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.9 แก่โจทก์ทั้งสี
การที่โจทก์ทั้งสี่ขอรับชำระหนี้ และศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของบริษัท ธ. ลูกหนี้ผู้ล้มละลาย จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสี่ไม่ประสงค์จะบังคับเอาแก่ที่ดินตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.9 อีกต่อไป แม้โจทก์ทั้งสี่จะได้ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ไถ่ถอนที่ดินที่จำนองคืนไป 1 แปลงแล้วก็ตาม ก็เป็นเพียงการรับชำระหนี้บางส่วนจากจำเลยทั้งสี่เท่านั้น โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นคู่สัญญาจึงต้องผูกพันตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.9เมื่อจำเลยทั้งสี่เพิ่งโอนที่ดินที่จำนองให้แก่โจทก์ทั้งสี่เพียงบางแปลงเท่านั้น จำเลยทั้งสี่จึงต้องรับผิดโอนที่ดินที่จำนองแปลงที่เหลืออีก 6 แปลง ตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.9 แก่โจทก์ทั้งสี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6848/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันลูกหนี้ร่วม แม้ไม่มีหนี้ส่วนตัว เจ้าหนี้มีสิทธิรับชำระหนี้จากทรัพย์สินลูกหนี้
ลูกหนี้และบริษัทส.ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับเจ้าหนี้โดยยอมรับผิดร่วมกันชำระเงินแก่เจ้าหนี้ไม่ว่าลูกหนี้จะต้องรับผิดตามเช็คมูลหนี้เดิมเป็นส่วนตัวหรือไม่ก็ตามการที่ลูกหนี้ยินยอมระงับข้อพิพาทที่มีอยู่ดังกล่าวรวมทั้งคดีอาญาข้อหาความผิดเกี่ยวกับพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คซึ่งลูกหนี้และบริษัทถูกเจ้าหนี้ฟ้องอยู่ทั้งเพื่อประสงค์ให้เจ้าหนี้ลดยอดหนี้ให้แก่ลูกหนี้และบริษัทส.โดยยอมตนเข้าผูกพันทำสัญญาประนีประนอมยอมความชำระเงินแก่เจ้าหนี้ร่วมกับบริษัทส.เช่นนี้ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไปและทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา852ซึ่งหมายความว่าลูกหนี้กับบริษัทส.มีหน้าที่ที่จะต้องร่วมกันชำระเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความแก่เจ้าหนี้ถือว่าลูกหนี้มีความผูกพันที่ต้องชำระหนี้ที่มีอยู่จริงแก่เจ้าหนี้หาใช่เป็นหนี้สมยอมโดยปราศจากมูลหนี้ซึ่งต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา94ไม่เจ้าหนี้จึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของลูกหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5944/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายเวลาขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย กรณีผู้ร้องไม่ทราบชื่อจำเลยที่ถูกสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลและหนี้ตามคำพิพากษาที่จำเลยมีต่อผู้ร้องปรากฏว่าเป็นหนี้ที่จำเลยติดต่อกับผู้ร้องในทางธุรกิจโดยใช้ชื่อว่า ป. ตลอดมาเมื่อผู้ร้องยื่นฟ้องจำเลยในชื่อ ป. เป็นคดีล้มละลายต่อศาลจังหวัดตาก โดยยื่นฟ้องหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีนี้แล้ว ปรากฏว่าจำเลยยอมรับหมายเรียกของศาลจังหวัดตากโดยมิได้โต้แย้งว่า จำเลยมิได้ชื่อ ป. กรณีเช่นนี้จึงเป็นการยากที่ผู้ร้องจะรู้ชื่อใหม่ของจำเลยได้ ดังนั้น คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก็ดี การโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก็ดี ที่ได้กระทำในชื่อของจำเลยแต่เพียงชื่อเดียว ผู้ร้องย่อมไม่อาจทราบได้ว่า ป. ได้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้โฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์นั้นแล้ว ถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษที่ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนด 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดได้ และถือว่าเป็นกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำขอขยายระยะเวลาต่อศาลหลังจากสิ้นระยะเวลาแล้วได้ แต่ผู้ร้องจะต้องยื่นคำขอขยายระยะเวลาเสียภายในเวลาอันสมควรที่ผู้ร้องอาจยื่นได้หลังจากที่ทราบเรื่องจำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว
การที่ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้หลังจากทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้วเป็นเวลานานถึงหนึ่งเดือนเศษ โดยมิได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอขยายระยะเวลาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบด้วย พ.ร.บ. ล้มละลายพ.ศ.2483 มาตรา 153 ก่อน แล้วจึงมาขอขยายระยะเวลาตามคำร้องนี้ ผู้ร้องย่อมไม่อาจขอขยายระยะเวลาได้
การที่ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้หลังจากทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้วเป็นเวลานานถึงหนึ่งเดือนเศษ โดยมิได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอขยายระยะเวลาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบด้วย พ.ร.บ. ล้มละลายพ.ศ.2483 มาตรา 153 ก่อน แล้วจึงมาขอขยายระยะเวลาตามคำร้องนี้ ผู้ร้องย่อมไม่อาจขอขยายระยะเวลาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5366/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าหนี้ในการประชุมเจ้าหนี้แม้ยังไม่มีคำสั่งรับชำระหนี้ การดำเนินการประชุมเจ้าหนี้ต้องเป็นไปตามกฎหมาย
เจ้าหนี้รายที่ 4 ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาภายในระยะเวลาตามกฎหมาย ถึงแม้ศาลจะยังไม่ได้มีคำสั่งให้จำเลยรายที่ 4 ได้รับชำระหนี้ ก็ถือได้ว่าจำเลยที่ 4เป็นเจ้าหนี้ในคดี ย่อมมีสิทธิเข้าประชุมเจ้าหนี้และออกเสียงลงคะแนนได้ตามมาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483ส่วนการที่จะมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยแค่ไหนเพียงใดนั้น เป็นดุลพินิจของศาลที่จะมีคำสั่งต่อไปในสำนวนคำขอรับชำระหนี้ การที่ศาลยังมิได้มีคำสั่งให้เจ้าหนี้รายที่ 4 ได้รับชำระหนี้ ไม่เป็นเหตุที่จะต้องเลื่อนการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกซึ่งต้องดำเนินการโดยเร็วที่สุดตามมาตรา 31