คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
รายละเอียด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 343 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 365/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกค่าเบี้ยประกันภัย: รายละเอียดไม่จำเป็นต้องระบุในฟ้อง, ประเด็นข้อหาต่างกันไม่เป็นฟ้องซ้อน, การยกข้อต่อสู้ในชั้นฎีกา
ในการฟ้องเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระเบี้ยประกันภัยที่จะต้องส่งมอบแก่โจทก์ตามสัญญาตัวแทน และให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันนั้น โจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายฟ้องว่า รถยนต์ที่รับประกันภัยแต่ละคันราคาเท่าใด จำนวนเบี้ยประกันภัยแต่ละคันเป็นเงินเท่าใด เพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์ต้องนำสืบในชั้นพิจารณา ไม่ทำให้ฟ้องเคลือบคลุม
คดีแรกโจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายมอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าเบี้ยประกันภัยที่จำเลยที่ 1 เก็บมาจากลูกค้าของโจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ใช้เงินตามเช็ค ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนเรียกเก็บเบี้ยประกันภัยจากลูกค้าของโจทก์แล้วไม่นำส่งให้โจทก์ เป็นการฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาตัวแทนไม่นำส่งเบี้ยประกันภัยที่เรียกเก็บจากลูกค้าให้โจทก์ สภาพแห่งข้อหาของทั้งสองคดีต่างกัน แม้มูลหนี้จะสืบเนื่องมาจากเบี้ยประกันภัยเช่นเดียวกันก็ตาม ฟ้องโจทก์คดีนี้ก็ไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อน
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้นำสืบต้นฉบับเอกสาร ต้องห้ามมิให้รับฟัง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยค้างส่งเบี้ยประกันภัยนั้น ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยมิได้ค้างส่งเบี้ยประกันภัยแก่โจทก์ตามฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ข้อนี้จำเลยมิได้อุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ประเด็นข้อนี้จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยไม่มีสิทธิยกขึ้นในชั้นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2329/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์: คำให้การและฟ้องแย้งไม่เคลือบคลุม แม้รายละเอียดไม่ชัดเจนในเบื้องต้น
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทมาเป็นเวลาหลายสิบปีแม้ไม่ได้บรรยายว่าครอบครองมาตั้งแต่เมื่อใดปีไหนและครบกำหนดเวลาสิบปีเมื่อใดก็ตามก็เป็นรายละเอียดที่จำเลยอาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณาคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เคลือบคลุม แม้จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าพื้นที่ในเส้นสีแดงตามแผนที่ท้ายฟ้องน่าเชื่อว่าอยู่ในแนวที่ดินของจำเลยหรือแม้จะอยู่ในที่ดินของโจทก์ทั้งสองก็ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมายก็ไม่เป็นคำให้การฟ้องแย้งที่ขัดกันเองเพราะที่จำเลยให้การและฟ้องแย้งเช่นนั้นเนื่องจากที่ดินของโจทก์และของจำเลยเป็นโฉนดรุ่นเก่าสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่มีหลักเขตแน่นอนเจ้าของเดิมและจำเลยได้ครอบครองกันเป็นส่วนสัดอย่างเป็นเจ้าของมานานย่อมทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นของจำเลยแต่หากเป็นของโจทก์ทั้งสองจำเลยก็ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ซึ่งเป็นคำให้การและฟ้องแย้งที่บรรยายให้เข้าใจสภาพที่ดินพิพาทว่ามีอยู่อย่างไรเป็นกรรมสิทธิ์ของใครอย่างไรคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1985/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องความผิดฐานขู่เข็ญ: โจทก์ต้องระบุรายละเอียดการกระทำที่ทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือตกใจ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยจ้องปืนเล็งจะยิงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า มิได้บรรยายว่าจำเลยใช้อาวุธปืนจ้องเล็งยิงผู้เสียหายจนทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวหรือตกใจในการขู่เข็ญอีกทั้งคำขอท้ายฟ้องก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 292 ไว้ด้วย จึงถือว่าโจทก์ไม่มีความประสงค์ให้ลงโทษ ศาลจะลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1351/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานที่เป็นญาติ และการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดอาวุธทำร้าย ไม่ถือเป็นข้อแตกต่างสาระสำคัญ
ไม่มีบทกฎหมายใดห้ามมิให้รับฟังคำเบิกความของพยานที่เป็นญาติกันหากศาลเห็นว่าพยานเช่นว่านั้นเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและชอบด้วยเหตุผลพอให้รับฟังได้ว่าเป็นความจริงศาลก็มีอำนาจรับฟังคำเบิกความของพยานดังกล่าวนั้นได้ ข้อแตกต่างในข้อสาระสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสองหมายถึงแตกต่างในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดหาใช่แตกต่างเพียงรายละเอียดที่จะต้องกล่าวในฟ้องไม่สำหรับข้อเท็จจริงในเรื่องทำร้ายร่างกายก็คือการทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นดังนั้นที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่4ใช้ไม้ตีโจทก์ทั้งสองแต่ทางพิจารณาโจทก์นำสืบได้ความว่าจำเลยที่4ใช้เหล็กแป๊บตีโจทก์ทั้งสองผลก็คือโจทก์ทั้งสองได้รับอันตรายแก่กายจากการกระทำของจำเลยที่4จึงเป็นการแตกต่างกันมิใช่ข้อสาระสำคัญทั้งจำเลยที่4ให้การต่อสู้อ้างฐานที่อยู่และมิได้หลงข้อต่อสู้แต่ประการใดจึงลงโทษจำเลยที่4ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9347/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเพียงพอของฟ้องคดีประกันภัยรถยนต์: โจทก์ไม่ต้องบรรยายรายละเอียดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขับขี่กับผู้เอาประกันภัย หรือความเร็วของจำเลย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6 ฉ - 6649 กรุงเทพมหานคร ไว้จากห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. พ.ขับรถยนต์คันดังกล่าวโดยได้รับความยินยอมจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ไปตามถนนในช่องเดินรถช่องขวาสุดจากจังหวัดกาญจนบุรี มุ่งหน้าไปกรุงเทพมหานคร เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุบริเวณหน้าโรงงานน้ำตาล จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน น - 8185กาญจนบุรี แล่นออกจากโรงงานน้ำตาลด้วยความประมาทเลินเล่อโดยจะต้องหยุดรถให้รถยนต์ของ พ.แล่นผ่านไปก่อน แต่จำเลยที่ 1 หาได้ปฏิบัติไม่ จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์เข้าสู่ถนนโดยกะทันหันตัดหน้ารถยนต์ที่ พ.ขับ เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกันจึงได้รับความเสียหาย โจทก์ผู้รับประกันภัยได้ชำระค่าเสียหายแล้วจึงสวมสิทธิที่จะเรียกร้องเอาแก่จำเลยได้ เช่นนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายเพียงพอที่จะทำให้จำเลยที่ 1เข้าใจได้ดีแล้ว เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า พ. ขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยโดยได้รับความยินยอมของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ผู้เอาประกันภัยแล้ว โจทก์ก็หาจำต้องบรรยายฟ้องว่า พ. มีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ผู้เอาประกันภัยไม่ เพราะไม่ว่า พ. จะมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยหรือไม่ ก็มิใช่ข้อที่จำเลยที่ 1 จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้ ทั้งโจทก์ได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ขับรถออกจากโรงงานโดยไม่ระมัดระวังไม่หยุดรถก่อนจะออกสู่ถนนและตัดหน้ารถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัย เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกันเช่นนี้ โจทก์จึงหาจำต้องบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความเร็วเท่าใดไม่ ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9347/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่: ความเพียงพอของคำฟ้องในคดีรถชน โดยไม่จำต้องระบุรายละเอียดความสัมพันธ์และพฤติกรรมการขับขี่
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6ฉ-6649 กรุงเทพมหานคร ไว้จากห้างหุ้นส่วนจำกัดส.พ. ขับรถยนต์คันดังกล่าวโดยได้รับความยินยอมจากห้างหุ้นส่วนจำกัดส. ไปตามถนนในช่องเดินรถช่องขวาสุดจากจังหวัดกาญจนบุรี มุ่งหน้าไปกรุงเทพมหานคร เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุบริเวณหน้าโรงงานน้ำตาล จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียนน-8185 กาญจนบุรี แล่นออกจากโรงงานน้ำตาลด้วยความประมาทเลินเล่อโดยจะต้องหยุดรถให้รถยนต์ของ พ.แล่นผ่านไปก่อน แต่จำเลยที่ 1 หาได้ปฏิบัติไม่ จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์เข้าสู่ถนนโดยกะทันหันตัดหน้ารถยนต์ที่ พ. ขับ เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกันจึงได้รับความเสียหาย โจทก์ผู้รับประกันภัยได้ชำระค่าเสียหายแล้วจึงสวมสิทธิที่จะเรียกร้องเอาแก่จำเลยได้ เช่นนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายเพียงพอที่จะทำให้จำเลยที่ 1 เข้าใจได้ดีแล้ว เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า พ. ขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยโดยได้รับความยินยอมของห้างหุ้นส่วนจำกัดส.ผู้เอาประกันภัยแล้ว โจทก์ก็หาจำต้องบรรยายฟ้องว่าพ.มีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับห้างหุ้นส่วนจำกัดส.ผู้เอาประกันภัยไม่ เพราะไม่ว่า พ. จะมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยหรือไม่ ก็มิใช่ข้อที่จำเลยที่ 1จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้ ทั้งโจทก์ได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ขับรถออกจากโรงงานโดยไม่ระมัดระวังไม่หยุดรถก่อนจะออกสู่ถนนและตัดหน้ารถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัย เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกันเช่นนี้ โจทก์จึงหาจำต้องบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความเร็วเท่าใดไม่ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8083/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 158(5) ของฟ้องคดียาเสพติด: การบรรยายรายละเอียดการครอบครองและการขาย
โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 1 (ก) ว่าจำเลยได้บังอาจมีแอมเฟตามีนจำนวน 1 เม็ด น้ำหนัก 0.14 กรัม อันเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อขาย และข้อ 1 (ข) ว่าจำเลยได้บังอาจขายแอมเฟตามีนจำนวน2 เม็ด น้ำหนัก 0.14 กรัม อันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 อันเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองดังกล่าวในฟ้องข้อ 1 (ก) ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ เช่นนี้ ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่า โจทก์ยืนยันว่าจำเลยได้ขายแอมเฟตามีนตามที่จำเลยมีไว้ในครอบครองตามข้อ 1 (ก) นั่นเอง ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำนวน 2 เม็ด และเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีนนั้นเห็นได้ว่าโจทก์พิมพ์ผิดไปฟ้องโจทก์จึงบรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำและสิ่งของที่เกี่ยวข้องพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว เป็นฟ้องที่ชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 158 (5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8083/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของคำฟ้องคดียาเสพติด: การบรรยายรายละเอียดสิ่งของและข้อหาที่ชัดเจน
โจทก์บรรยายฟ้องข้อ1(ก)ว่าจำเลยได้บังอาจมีแอมเฟตามีนจำนวน1เม็ดน้ำหนัก0.14กรัมอันเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ในประเภท2ไว้ในครอบครองเพื่อขายและข้อ1(ข)ว่าจำเลยได้บังอาจขายแอมเฟตามีนจำนวน2เม็ดน้ำหนัก0.14กรัมอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2อันเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองดังกล่าวในฟ้องข้อ1(ก)ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อเช่นนี้ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์ยืนยันว่าจำเลยได้ขายแอมเฟตามีนตามที่จำเลยมีไว้ในครอบครองตามข้อ1(ก)นั่นเองที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำนวน2เม็ดและเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีนนั้นเห็นได้ว่าโจทก์พิมพ์ผิดไปฟ้องโจทก์จึงบรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำและสิ่งของที่เกี่ยวข้องพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 510/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบข้อเท็จจริงต่างจากฟ้องไม่เกินคำขอท้ายฟ้อง หากเป็นรายละเอียดของมูลหนี้เดิม
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่1กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน51,000บาทและรับเงินไปในวันทำสัญญาแล้วการที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่1ไม่ได้รับเงินไปในวันทำสัญญาโดยเดิมภริยาของจำเลยที่1เคยกู้เงินยืมโจทก์ต่อมาโจทก์กับจำเลยที่1ได้ทำความตกลงหนี้ส่วนที่ภริยาของจำเลยที่1กู้ยืมเงินโจทก์ปรากฏว่าภริยาของจำเลยที่1เป็นหนี้โจทก์ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน51,000บาทจำเลยที่1จึงทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้โดยจำเลยที่2เข้าทำสัญญาค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าวเป็นการนำสืบถึงมูลหนี้เดิมก่อนที่จะนำเอามูลหนี้นั้นมาทำเป็นสัญญากู้ซึ่งเป็นรายละเอียดโจทก์ไม่จำต้องบรรยายถึงมูลหนี้เดิมมาในฟ้องก็ได้การนำสืบของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่เป็นการนำสืบแตกต่างกันหรือขัดแย้งกับคำฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4769/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเบิกความเท็จในคดีแพ่ง ไม่ถือเป็นการละเมิด หากรายละเอียดไม่สำคัญต่อผลคดี
โจทก์ฟ้องเรื่องละเมิดว่าจำเลยที่1เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยให้รับผิดชำระหนี้ตามเช็คจำเลยที่2และที่3เบิกความเท็จและจำเลยที่1เป็นผู้ก่อให้จำเลยที่3เบิกความเท็จเป็นเหตุให้ศาลเชื่อว่าโจทก์เป็นผู้สลักหลังเช็คและพิพากษาให้โจทก์รับผิดชำระหนี้ตามเช็คทำให้โจทก์เสียหายจำเลยทั้งสามต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ศาลอุทธรณ์ภาค2วินิจฉัยว่าเมื่อฟังว่าโจทก์เป็นผู้สลักหลังเช็คโจทก์ต้องรับผิดชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา900วรรคแรก,901ส่วนที่จำเลยที่2และที่3เบิกความว่าโจทก์นำเช็คมาให้แก่จำเลยที่1เป็นเพียงรายละเอียดไม่เป็นข้อสำคัญในคดีแม้เป็นความเท็จจำเลยที่1และที่3ก็ไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จอันจะเป็นการละเมิดต่อโจทก์การที่ศาลอุทธรณ์ภาค2หยิบยกมาตรา900วรรคแรก,901ขึ้นมาวินิจฉัยคดีก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าแม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่าที่จำเลยที่2และที่3เบิกความว่าโจทก์นำเช็คพิพาทมาให้แก่จำเลยที่1เป็นความเท็จคำเบิกความดังกล่าวก็เป็นเพียงรายละเอียดไม่เป็นข้อสำคัญในคดีจำเลยที่2และที่3ไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์จำเลยที่1ก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วยเป็นการวินิจฉัยในเรื่องละเมิดตามอุทธรณ์ของโจทก์ไม่ใช่เป็นการนำตัวบทกฎหมายในเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับประเด็นมาวินิจฉัย
of 35