พบผลลัพธ์ทั้งหมด 40 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 706/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชี้ขาดคดีตามประเด็นที่ท้ากัน หากผลการตรวจสอบไม่ชัดเจน ศาลต้องพิจารณาตามรูปคดี
เมื่อคู่ความตกลงท้ากันเป็นข้อแพ้ชนะในข้อที่ว่าเมื่อตรวจสอบเขตที่ดินแล้ว ถ้าที่ดินพิพาทตกอยู่ในเขตโฉนดของฝ่ายใด อีกฝ่ายหนึ่งยอมยกให้แก่ฝ่ายนั้น เช่นนี้ศาลต้องวินิจฉัยไปตามประเด็นที่ท้ากันเท่านั้น แต่ถ้าการตรวจสอบเขตที่ดินยังไม่พอจะให้ชี้ขาดไปตามที่คู่ความท้ากันแล้วศาลจะต้องดำเนินการพิจารณาพิพากษาไปตาม ประเด็นในคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 569/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพาทเรื่องการอาศัยและการเช่าตึก แม้เคยเป็นสามีภริยากัน แต่รูปคดีไม่ได้เกี่ยวกับสิทธิครอบครัว ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณา
โจทย์ฟ้องขับไล่จำเลย โดยอ้างว่าจำเลยอาศัยโจทก์อยู่ คดีจึงพิพาทกันเพียงว่าจำเลยอาศัยโจทก์จริงหรือไม่ แม้จำเลยจะอ้างว่าเป็นสามีโจทก์ ก็ไม่ทำให้รูปคดีเปลี่ยนไป ไม่ใช่คดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้
โจทก์จำเลยมิได้เป็นสามีภริยากันโดยชอบ โจทก์เช่าตึกพิพาทโดยลำพัง มิได้เป็นตัวแทนจำเลย และจำเลยเคยรับว่าอาศัยโจทก์อยู่จำเลยจึงไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของร่วมในสิทธิการเช่ารายนี้
โจทก์จำเลยมิได้เป็นสามีภริยากันโดยชอบ โจทก์เช่าตึกพิพาทโดยลำพัง มิได้เป็นตัวแทนจำเลย และจำเลยเคยรับว่าอาศัยโจทก์อยู่จำเลยจึงไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของร่วมในสิทธิการเช่ารายนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 134/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย่งกรรมสิทธิ์ในสินสมรสที่กลายเป็นมรดก: รูปคดีไม่ชัดเจน ศาลต้องยกฟ้องแต่ไม่ตัดสิทธิ
โจทก์ฟ้องกล่าวว่าที่สวนพิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ทั้งหมด มิได้ตั้งรูปคดีมาว่าเป็นมฤดก แต่ปรากฎว่าสวนนั้นเป็นมฤดกซึ่งโจทก์มีส่วนได้ไม่ทั้งหมดมีส่วนจะต้องแบ่งในระหว่างทายาท ดังนี้ ศาลยกฟ้องแต่ไม่ตัดสิทธิที่จะฟ้องขอแบ่งกันต่อไป
สวนพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับสามี สามีโจทก์ตาย มารดาของสามีได้คัดค้านว่ามีส่วนในทางมฤดก เมื่อโจทก์ประกาศขายและมารดาของสามีได้เข้ากรีดยางในสวนพิพาท ดังนี้แสดงว่า มารดาของสามีไม่ได้ละทิ้งมฤดกเกิน 1 ปี
สวนพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับสามี สามีโจทก์ตาย มารดาของสามีได้คัดค้านว่ามีส่วนในทางมฤดก เมื่อโจทก์ประกาศขายและมารดาของสามีได้เข้ากรีดยางในสวนพิพาท ดังนี้แสดงว่า มารดาของสามีไม่ได้ละทิ้งมฤดกเกิน 1 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1068/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดิน vs. การรุกแพร่ง - ศาลไม่รับวินิจฉัยเรื่องกีดขวาง หากมิได้ตั้งรูปคดีไว้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีที่ดิน 1 แปลงไม่มีโฉนด ได้ให้จำเลยอาศัยปลูกเรือน บัดนี้ โจทก์ต้องการใช้ที่ดิน จึงขอให้จำเลยรื้อเรือน โจทก์จำเลยรับกันว่าที่พิพาทเดิมเป็นคลองติดอยู่กับที่ดินของโจทก์ แล้วตื้นเขินขึ้น จำเลยไม่ได้อาศัยโจทก์ รูปคดีเช่นนี้ไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ ศาลจะไปวินิจฉัยชี้ขาดขับไล่จำเลย โดยอ้างว่าจำเลยปลูกสร้างกีดขวางหน้าที่ดินของโจทก์หาได้ไม่ เพราะโจทก์มิได้ฟ้องตั้งรูปคดีมาเช่นนั้น
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ ศาลจะไปวินิจฉัยชี้ขาดขับไล่จำเลย โดยอ้างว่าจำเลยปลูกสร้างกีดขวางหน้าที่ดินของโจทก์หาได้ไม่ เพราะโจทก์มิได้ฟ้องตั้งรูปคดีมาเช่นนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 798/2485
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ถูกต้องตามกฎหมายเนื่องจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยเหตุผล
ในฎีกากล่าวแต่เพียงว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยรูปคดีแห่งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย. จะได้แถลงฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษรโดยพิสดารนั้น. เป็นฎีกาที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 381/2483
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์ในการพิพากษาปล่อยตัวจำเลยที่ไม่เคยอุทธรณ์คดี กรณีรูปคดีเปลี่ยนแปลง
ศาลชั้นต้น ลงโทษ จำเลยที่ 1 - 2 ฐานลักทรัพย์จำเลยที่ 2 ฝ่ายเดียวอุทธรณ์เมื่อศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยว่ารูปคดีไม่เป็นผิดฐานลักทรัพย์ดังนี้ ถือว่าเป็นเหตุในลักษณะคดีศาลอุทธรณ์พิพากษาปล่อยจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1020/2481
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เนื่องจากไม่วินิจฉัยประเด็นอุทธรณ์โจทก์ครบถ้วน ให้พิจารณาใหม่ทั้งรูปคดี
คดีที่โจทก์จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาฉะเพาะอุทธรณ์ของจำเลยเท่านั้น ศาลฎีกา+สำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตั้ง+ธรรมเนียมคดีที่โจทก์จำเลยฎีกาศาลฎีกาพิพากษาให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่และให้ค่าธรรมเนียมในชั้นเป็นพับแต่เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้วคู่ความฝ่ายใดหรือทั้งสอง+ฎีกาให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาใหม่โดยตลอด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 484/2475
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ฟ้องในระหว่างพิจารณาคดี: ศาลอนุญาตแก้ได้หากไม่ทำให้รูปคดีเปลี่ยน
โจทก์ขอแก้ฟ้องบางข้อเพื่อให้ตรงกับคำพะยานระวางพิจารณาศาลอนุญาตให้แก้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10075/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้ดุลพินิจรอการลงโทษ แม้ศาลไม่ได้ระบุชัดเจนในคำพิพากษา ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 335 (1) วรรคแรก ลงโทษจำคุก 4 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลย 4,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 คงปรับ 2,000 บาท ให้คุมความประพฤติจำเลยไว้มีกำหนด 1 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ตามเงื่อนไขและระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนด กับให้จำเลยทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควร มีกำหนด 24 ชั่วโมง ตาม ป.อ. มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ. มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มิได้กล่าวในคำพิพากษาให้รอการลงโทษจำเลยก็ตาม แต่กรณีเป็นที่เห็นได้ชัดว่าศาลอุทธรณ์ภาค 5 ใช้ดุลพินิจให้ความปรานีรอการลงโทษแก่จำเลย เป็นแต่มิได้กล่าวบรรยายในคำพิพากษาให้ครบถ้วน อันนับว่าเป็นการพิพากษาโดยผิดหลง ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจให้แก้ไขให้ถูกต้องตามรูปคดีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 190 ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3560/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์วินิจฉัยทางภาระจำยอม แม้ศาลชั้นต้นพิพากษาเป็นทางจำเป็น และโจทก์มิได้อุทธรณ์
โจทก์ทั้งสองฟ้องตั้งรูปคดีว่าทางพิพาทบนที่ดินของจำเลยเป็นทางภาระจำยอมและเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสอง เป็นคำฟ้องที่ให้ศาลเลือกวินิจฉัยจากข้อเท็จจริงว่าเป็นทางประเภทใด เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าทางพิพาทไม่เป็นทางภาระจำยอมแต่เป็นทางจำเป็น แม้จำเลยอุทธรณ์มาฝ่ายเดียวว่าทางพิพาทมิใช่ทางจำเป็น ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนว่า ทางพิพาทมิใช่ทางจำเป็นแต่เป็นทางภาระจำยอมได้ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น