พบผลลัพธ์ทั้งหมด 93 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 48/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงสาระสำคัญในฟ้องคดีอาญา ศาลต้องลงโทษตามฟ้องเดิม
ฟ้องว่าจำเลยกับพวกทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ทางพิจารณาได้ความว่าผู้เสียหายถูกทำร้ายเพราะมีการชุลมุนต่อสู้กันระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 299 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 414/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าต้องประจักษ์ การฟันเพียงครั้งเดียวไม่ถือเป็นเจตนาฆ่า ศาลลงโทษฐานพยายามทำร้ายได้
จำเลยใช้ขวานฟันศีรษะผู้เสียหายเพียงครั้งเดียวผู้เสียหายหลบทันจำเลยจึงฟันไม่ถูก จำเลยไม่ได้ฟันผู้เสียหายอีกทั้งๆที่มีโอกาสติดตามฟันซ้ำได้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดเพียงฐานพยายามทำร้าย ศาลลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3611/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีกัญชาในครอบครองเพื่อจำหน่าย แม้ปริมาณน้อยกว่า 10 กิโลกรัม ศาลลงโทษได้จากคำรับสารภาพ
การมียาเสพติดให้โทษในประเภท 4 หรือในประเภท 5 ไว้ในครอบครองมีปริมาณน้อยกว่าสิบกิโลกรัม ก็อาจเป็นความผิดฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายได้ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพว่ามีกัญชาจำนวน 110 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตตามฟ้อง ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามที่ให้การรับสารภาพได้
คดีที่ไม่จำต้องสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลย่อมลงโทษจำเลยได้
คดีที่ไม่จำต้องสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลย่อมลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3611/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีกัญชาครอบครองเพื่อจำหน่าย แม้ปริมาณน้อยกว่า 10 กก. ศาลลงโทษได้จากคำรับสารภาพ
การมียาเสพติดให้โทษในประเภท 4 หรือในประเภท 5 ไว้ในครอบครองมีปริมาณน้อยกว่าสิบกิโลกรัม ก็อาจเป็นความผิดฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายได้ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพว่ามีกัญชาจำนวน 110 กรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตตามฟ้อง ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามที่ให้การ รับสารภาพได้ คดีที่ไม่จำต้องสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลย่อมลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2240/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องความผิดฐานมีเครื่องชั่งผิดอัตราต้องระบุเจตนาใช้เพื่อเอาเปรียบหรือค้า หากขาดองค์ประกอบ ศาลไม่สามารถลงโทษได้
ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยมีเครื่องชั่งไว้ในความครอบครองโดยมีเจตนาอย่างใด จึงขาดองค์ประกอบความผิด แต่โจทก์ได้บรรยายถึงความผิดฐานใช้เครื่องชั่งที่ผิดอัตราและไม่ถูกต้องตามความประสงค์ของกฎหมาย ซึ่งเป็นความผิดต่างกรรมกันการที่จะพิจารณาว่าคำบรรยายฟ้องในความผิดฐานใดครบองค์ประกอบความผิดหรือไม่ต้องพิจารณาเป็นรายกระทง คำบรรยายฟ้องในความผิดฐานมีเครื่องชั่งผิดอัตราและไม่ถูกต้องตามความประสงค์ของกฎหมายจึงไม่สมบูรณ์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) จะลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1033/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อแตกต่างของวันเกิดเหตุในฟ้องและคำเบิกความ ไม่ถือเป็นข้อสาระสำคัญ ศาลลงโทษจำเลยได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราในวันที่ 4 มิถุนายน 2522 แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดวันที่ 14 มิถุนายน 2522 ดังนี้ เป็นเพียงรายละเอียดเกี่ยวกับเวลากระทำความผิด ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2522 มาตรา 5 บัญญัติว่ามิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ เมื่อจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1033/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความแตกต่างของวันกระทำผิดในฟ้อง ไม่ถือเป็นข้อสารสำคัญ ศาลลงโทษได้หากจำเลยไม่หลงข้อต่อสู้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราในวันที่4 มิถุนายน 2522 แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดวันที่ 14 มิถุนายน 2522 ดังนี้ เป็นเพียงรายละเอียดเกี่ยวกับเวลากระทำความผิด ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 10)พ.ศ.2522 มาตรา 5 บัญญัติว่ามิให้ถือว่าต่างกันในข้อสารสำคัญ เมื่อ จำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 881/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร แม้ไม่มีเจตนาชำเรา ศาลลงโทษตาม ม.319 ได้
พาหญิงอายุ 15 ปี ไปโรงแรมอันเป็นสถานที่พักชั่วคราวสำหรับกระทำชำเราหรืออนาจาร ไม่ใช่ที่นั่งคุยกันโดยหญิงเต็มใจ และไม่ได้กระทำชำเรา เป็นการพาไปเพื่อการอนาจารตาม มาตรา 319
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2716/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมเพื่อฉ้อโกง ศาลลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมเพียงกระทงเดียว
จำเลยปลอมเอกสารแล้วนำเอกสารปลอมนั้นมาใช้โดยสุจริตเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินกู้จากผู้อื่นอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตาม มาตรา 341 ด้วยนั้น เป็นความผิดในการกระทำกรรมเดียวต้องลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมตาม มาตรา 268 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดแต่เพียงกระทงเดียวตาม มาตรา 90
จำเลยทำปลอมขึ้นซึ่งคำขอและสัญญากู้เงินจากกรมตำรวจอันประกอบด้วยความเห็นของผู้บังคับบัญชารับรองว่าผู้กู้มีความเดือดร้อนและจำเป็นจริงควรให้กู้ได้เป็นกรณีพิเศษพร้อมด้วยบันทึกของผู้บังคับบัญชาซึ่งยอมเป็นผู้ค้ำประกันในการกู้รายนี้ หนังสือที่จำเลยทำปลอมขึ้นนี้เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อให้เกิดสิทธิแก่ทางราชการกรมตำรวจที่จะเรียกร้องให้ผู้กู้และผู้ค้ำประกันชำระหนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการตาม มาตรา 266(1)
จำเลยทำปลอมขึ้นซึ่งคำขอและสัญญากู้เงินจากกรมตำรวจอันประกอบด้วยความเห็นของผู้บังคับบัญชารับรองว่าผู้กู้มีความเดือดร้อนและจำเป็นจริงควรให้กู้ได้เป็นกรณีพิเศษพร้อมด้วยบันทึกของผู้บังคับบัญชาซึ่งยอมเป็นผู้ค้ำประกันในการกู้รายนี้ หนังสือที่จำเลยทำปลอมขึ้นนี้เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อให้เกิดสิทธิแก่ทางราชการกรมตำรวจที่จะเรียกร้องให้ผู้กู้และผู้ค้ำประกันชำระหนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการตาม มาตรา 266(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2539/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับการกระทำความผิดในคำฟ้องไม่เป็นสาระสำคัญ หากจำเลยไม่หลงข้อต่อสู้ ศาลลงโทษได้ตามความผิดจริง
คำบรรยายฟ้องในเรื่องจำเลยปล้นทรัพย์ผู้เสียหายคนหนึ่งก่อนหรือหลังผู้เสียหายอีกคนหนึ่งในคดีที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นคนร้ายปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายในคืนเดียวกันหลายรายด้วยกัน ย่อมไม่เป็นสารสำคัญของคำฟ้องเป็นแต่เพียงรายละเอียดเพื่อให้จำเลยเข้าใจข้อหาเท่านั้น และเมื่อจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้หากทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามสารสำคัญของคำฟ้องแล้ว ศาลก็ย่อมมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยได้
ฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยร่วมกันปล้นทรัพย์ ด.แล้วจึงไปปล้นทรัพย์ของ ม.ทีหลัง แต่ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยปล้นทรัพย์ ม.ก่อนแล้วจึงไปปล้น ด. ซึ่งทำให้ข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องบ้างก็ตาม ก็หาใช่สารสำคัญไม่
ฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยร่วมกันปล้นทรัพย์ ด.แล้วจึงไปปล้นทรัพย์ของ ม.ทีหลัง แต่ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยปล้นทรัพย์ ม.ก่อนแล้วจึงไปปล้น ด. ซึ่งทำให้ข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องบ้างก็ตาม ก็หาใช่สารสำคัญไม่