พบผลลัพธ์ทั้งหมด 408 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 542/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนการกระทำผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อขาย โดยการตัดหลอดกาแฟเพื่อใช้บรรจุยาเสพติด
ลักษณะของหลอดกาแฟที่จำเลยที่ 2 ตัดแล้วจำนวน350 หลอด และกำลังตัดขณะเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมยาวประมาณ 1 เซนติเมตร เท่ากับความยาวของหลอดกาแฟที่ใช้บรรจุเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ด ที่สายลับล่อซื้อมาได้จากห้องพักที่จำเลยทั้งสองอยู่ด้วยกัน ลักษณะของหลอดกาแฟที่ตัดไม่สามารถนำไปใช้ทำประโยชน์อื่นใดได้นอกจากใช้บรรจุเมทแอมเฟตามีนแบ่งขายให้แก่ผู้ซื้อเท่านั้นเมื่อจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายการที่จำเลยที่ 2 ตัดหลอดกาแฟเพื่อให้จำเลยที่ 1 ไว้ใช้บรรจุเมทแอมเฟตามีนขายแก่ผู้ซื้อ จึงเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ขณะกระทำความผิดแล้วแม้ไม่เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1ในการขายเมทแอมเฟตามีน แต่หลอดกาแฟที่จำเลยที่ 2ตัดไว้สามารถนำไปใช้บรรจุเมทแอมเฟตามีนเพื่อขายการกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการสนับสนุนการมีไว้เพื่อขายของจำเลยที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5286/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีอาญา: การสนับสนุนการกระทำผิดเจ้าพนักงานและโทษจำกัด
จำเลยเป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 161 อัตราโทษสูงสุดที่จะลงโทษจำเลยได้เพียงจำคุก 6 ปี 8 เดือน ส่วนมาตรา 162อัตราโทษสูงสุดที่จะลงโทษจำเลยได้เพียงจำคุก 4 ปี 8 เดือน อายุความฟ้องคดีอาญาดังกล่าวจึงมีกำหนด 10 ปี ตามมาตรา 95(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4344/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย: พฤติการณ์ของผู้ต้องหาต้องแสดงเจตนาหรือการสนับสนุนการกระทำความผิด
ย. แต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ใช้มีดฟันผู้เสียหาย โดยจำเลยแม้จะถือมีดอยู่ในมือก็ไม่ได้ใช้มีดฟันผู้เสียหายด้วย ทั้งการที่ ย. ใช้มีดฟันผู้เสียหายก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันทีทันใด จำเลยมิได้เตรียมมีดติดตัวมาเพื่อใช้เป็นอาวุธ และ ย. ส่งมีดให้จำเลยภายหลังที่จำเลยชก ส. ล้มลงและผู้เสียหายเข้าห้ามแล้วเท่านั้น พฤติการณ์เช่นนี้เห็นได้ว่า จำเลยมิได้ร่วมเป็นตัวการกับ ย. ใช้มีดฟันทำร้ายผู้เสียหาย
พยานโจทก์ทั้งสามเป็นประจักษ์พยานซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยกันเบิกความแตกต่างกันในสาระสำคัญย่อมไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง
พยานโจทก์ทั้งสามเป็นประจักษ์พยานซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยกันเบิกความแตกต่างกันในสาระสำคัญย่อมไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานลักทรัพย์-สนับสนุนการกระทำผิด, การใช้ยานพาหนะ, และการชดใช้ค่าเสียหายจากการกระทำผิด
จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำสายไฟฟ้าเก่าของผู้เสียหายที่วางอยู่ตามพื้นในโรงงานมาวางบนเหล็กร้อน ทำให้เปลือกสายไฟฟ้าไหม้ละลายหมดเหลือแต่ลวดทองแดงที่เป็นซากของสายไฟฟ้าเพื่อความสะดวกในการเอาทรัพย์นั้นไปขายก็มิใช่แปรสภาพไปเป็นของอื่น ถือว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 เริ่มลงมือกระทำความผิดฐานลักทรัพย์นับแต่ที่นำสายไฟฟ้าไปวางบนเหล็กร้อนและเป็นความผิดต่อเนื่องกันมาจนกระทั่งขนย้ายลวดทองแดงออกจากโรงงานไปขึ้นรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 1 ที่นอกรั้วโรงงาน แต่จำเลยที่ 1 รออยู่ห่างจากจุดที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โยนทรัพย์ออกมาประมาณ 100 เมตร ไม่อาจช่วยเหลือกันได้ทันท่วงที ไม่ใช่แบ่งหน้าที่กันทำในส่วนที่เป็นการกระทำความผิด จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการ คงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เท่านั้น
การที่จำเลยทั้งสามคบคิดกันลักลวดทองแดงของผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างโดยให้จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้โรงงานเพื่อบรรทุกทรัพย์ไปย่อมเล็งเห็นเจตนาได้ว่า ประสงค์จะใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อการพาทรัพย์นั้นไป จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะตาม ป.อ. มาตรา 336 ทวิ ส่วนจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการลักทรัพย์ดังกล่าว
สายไฟฟ้าของผู้เสียหายที่ถูกจำเลยลักนำไปเผาลอกเอาเปลือกออกยังคงเหลือซากที่เป็นลวดทองแดงอยู่ มิได้ถูกทำลายสูญหายไปทั้งหมดหรือแปรสภาพไปเป็นของอื่น เมื่อผู้เสียหายได้รับลวดทองแดงคืนแล้ว พนักงานอัยการโจทก์จะขอให้คืนหรือใช้ราคาเต็มของสายไฟฟ้าแก่ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 อีกไม่ได้ แม้ผู้เสียหายจะได้รับความเสียหายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยเนื่องจากนำสายไฟฟ้าไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์เดิมไม่ได้ ก็เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายจะต้องไปว่ากล่าวเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเอาเองเป็นคดีใหม่
จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเพื่อจะใช้เป็นพาหนะบรรทุกลวดทองแดงที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ลักไป จำเลยที่ 1 ไม่ได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นเครื่องมือหรือส่วนหนึ่งในการลักทรัพย์โดยตรง จึงถือไม่ได้ว่ารถจักรยานยนต์เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบ ตาม ป.อ. มาตรา 33 (1)
การที่จำเลยทั้งสามคบคิดกันลักลวดทองแดงของผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างโดยให้จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้โรงงานเพื่อบรรทุกทรัพย์ไปย่อมเล็งเห็นเจตนาได้ว่า ประสงค์จะใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อการพาทรัพย์นั้นไป จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะตาม ป.อ. มาตรา 336 ทวิ ส่วนจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการลักทรัพย์ดังกล่าว
สายไฟฟ้าของผู้เสียหายที่ถูกจำเลยลักนำไปเผาลอกเอาเปลือกออกยังคงเหลือซากที่เป็นลวดทองแดงอยู่ มิได้ถูกทำลายสูญหายไปทั้งหมดหรือแปรสภาพไปเป็นของอื่น เมื่อผู้เสียหายได้รับลวดทองแดงคืนแล้ว พนักงานอัยการโจทก์จะขอให้คืนหรือใช้ราคาเต็มของสายไฟฟ้าแก่ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 อีกไม่ได้ แม้ผู้เสียหายจะได้รับความเสียหายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยเนื่องจากนำสายไฟฟ้าไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์เดิมไม่ได้ ก็เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายจะต้องไปว่ากล่าวเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเอาเองเป็นคดีใหม่
จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเพื่อจะใช้เป็นพาหนะบรรทุกลวดทองแดงที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ลักไป จำเลยที่ 1 ไม่ได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นเครื่องมือหรือส่วนหนึ่งในการลักทรัพย์โดยตรง จึงถือไม่ได้ว่ารถจักรยานยนต์เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบ ตาม ป.อ. มาตรา 33 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลักทรัพย์ต่อเนื่อง-สนับสนุน-ใช้ยานพาหนะ-ริบของกลาง-คำขอค่าเสียหาย-ความผิดฐานลักทรัพย์
จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำสายไฟฟ้าเก่าของผู้เสียหายที่วางอยู่ตามพื้นโรงงานมาวางบนเหล็กร้อน ทำให้เปลือกสายไฟฟ้าไหม้ ละลายหมดเหลือแต่ลวดทองแดงที่เป็นซากของสายไฟฟ้าเพื่อความสะดวกในการเอาทรัพย์นั้นไปขาย แต่ก็มิใช่แปรสภาพไปเป็นของอื่น ถือว่า เริ่มลงมือกระทำความผิดฐานลักทรัพย์นับแต่ที่นำสายไฟฟ้าไปวางบนเหล็กร้อนแล้ว และเป็นความผิดต่อเนื่องกันมาจนกระทั่งขนย้ายลวดทองแดงออกจากโรงงานไปขึ้นรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 1 ที่นอกรั้วโรงงาน แต่จำเลยที่ 1 รออยู่ห่างจากจุดที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โยนทรัพย์ออกมาประมาณ 100 เมตร ไม่อาจช่วยเหลือกันได้ทันท่วงที ไม่ใช่แบ่งหน้าที่กันทำในส่วนที่เป็นการกระทำความผิด จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการคงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เท่านั้น
การที่จำเลยทั้งสามคบคิดกันลักลวดทองแดงของผู้เสียหายโดยให้จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้โรงงาน เพื่อบรรทุกทรัพย์ไป ย่อมเล็งเห็นเจตนาได้ว่า ประสงค์จะใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อการพาทรัพย์นั้นไป จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ ส่วนจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการลักทรัพย์ดังกล่าว
สายไฟฟ้าของผู้เสียหายที่ถูกจำเลยลักนำไปเผาลอกเอาเปลือกออกยังคงเหลือซากที่เป็นลวดทองแดงอยู่ มิได้ถูกทำลายสูญหายไปทั้งหมดหรือแปรสภาพไปเป็นของอื่นแล้ว เมื่อผู้เสียหายได้รับลวดทองแดงคืนแล้ว พนักงานอัยการโจทก์จะขอให้คืนหรือใช้ราคาเต็มของสายไฟฟ้าแก่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43อีกไม่ได้ แม้ผู้เสียหายจะได้รับความเสียหายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยเนื่องจากนำสายไฟฟ้าไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์เดิมไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายจะต้องไปว่ากล่าวเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเอาเองเป็นคดีใหม่
จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเพื่อจะใช้ เป็นพาหนะบรรทุกลวดทองแดงที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ลักไปไม่ได้ใช้ เป็น เครื่องมือหรือส่วนหนึ่งในการลักทรัพย์โดยตรงจึงถือไม่ได้ว่ารถจักรยานยนต์ เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบได้ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)
การที่จำเลยทั้งสามคบคิดกันลักลวดทองแดงของผู้เสียหายโดยให้จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้โรงงาน เพื่อบรรทุกทรัพย์ไป ย่อมเล็งเห็นเจตนาได้ว่า ประสงค์จะใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อการพาทรัพย์นั้นไป จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ ส่วนจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการลักทรัพย์ดังกล่าว
สายไฟฟ้าของผู้เสียหายที่ถูกจำเลยลักนำไปเผาลอกเอาเปลือกออกยังคงเหลือซากที่เป็นลวดทองแดงอยู่ มิได้ถูกทำลายสูญหายไปทั้งหมดหรือแปรสภาพไปเป็นของอื่นแล้ว เมื่อผู้เสียหายได้รับลวดทองแดงคืนแล้ว พนักงานอัยการโจทก์จะขอให้คืนหรือใช้ราคาเต็มของสายไฟฟ้าแก่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43อีกไม่ได้ แม้ผู้เสียหายจะได้รับความเสียหายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยเนื่องจากนำสายไฟฟ้าไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์เดิมไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายจะต้องไปว่ากล่าวเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเอาเองเป็นคดีใหม่
จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเพื่อจะใช้ เป็นพาหนะบรรทุกลวดทองแดงที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ลักไปไม่ได้ใช้ เป็น เครื่องมือหรือส่วนหนึ่งในการลักทรัพย์โดยตรงจึงถือไม่ได้ว่ารถจักรยานยนต์ เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบได้ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 129/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย พยายามจำหน่าย และความผิดฐานสนับสนุนการกระทำผิด
จำเลยที่ 1 มี เมทแอมเฟตามีน คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์150 กรัมเศษไว้ในครอบครอง ต้องถือว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 15 วรรคสอง และเป็นการกระทำความผิดสำเร็จ
ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุม จำเลยที่ 2 กำลังนับเงินอยู่โดยนับไปได้เพียง 30,000 บาท จากจำนวนเงิน 174,000 บาทและ เมทแอมเฟตามีน ที่จะซื้อขายก็ยังวางกองรอการส่งมอบอยู่การจำหน่ายยาเสพติดของจำเลยที่ 1 จึงยังไม่บรรลุผล จำเลยที่ 1คงมีความผิดฐานพยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1เมื่อจำเลยที่ 1 มี เมทแอมเฟตามีน ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย4,029 เม็ด แต่จำเลยที่ 1 พยายามจำหน่ายบางส่วนจำนวน 4,000เม็ด การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดสองกรรมต่างวาระกัน
จำเลยที่ 2 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 และอาศัยอยู่ในบ้านเกิดเหตุด้วยกัน การที่จำเลยที่ 1 ให้นั่งนับเงินจำนวนมากเป็นแสนบาทต่อหน้าคนแปลกหน้าและในบริเวณนั้นมี เมทแอมเฟตามีน 4,000 เม็ดบรรจุถุงพลาสติกจำนวนถึง 20 ถุงวางให้เห็นอยู่เช่นนี้ จำเลยที่ 2น่าจะเข้าใจได้ว่าเป็นการนับเงินที่จำเลยที่ 1 จะได้จากการจำหน่ายยาเสพติดซึ่งเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ทั้งเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2ได้ในขณะที่กำลังนับเงินของกลางโดยจำเลยที่ 2 ให้การรับว่าช่วยนับเงินที่ผู้ซื้อ เมทแอมเฟตามีน ส่งมอบให้ จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการพยายามกระทำความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติด
ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุม จำเลยที่ 2 กำลังนับเงินอยู่โดยนับไปได้เพียง 30,000 บาท จากจำนวนเงิน 174,000 บาทและ เมทแอมเฟตามีน ที่จะซื้อขายก็ยังวางกองรอการส่งมอบอยู่การจำหน่ายยาเสพติดของจำเลยที่ 1 จึงยังไม่บรรลุผล จำเลยที่ 1คงมีความผิดฐานพยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1เมื่อจำเลยที่ 1 มี เมทแอมเฟตามีน ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย4,029 เม็ด แต่จำเลยที่ 1 พยายามจำหน่ายบางส่วนจำนวน 4,000เม็ด การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดสองกรรมต่างวาระกัน
จำเลยที่ 2 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 และอาศัยอยู่ในบ้านเกิดเหตุด้วยกัน การที่จำเลยที่ 1 ให้นั่งนับเงินจำนวนมากเป็นแสนบาทต่อหน้าคนแปลกหน้าและในบริเวณนั้นมี เมทแอมเฟตามีน 4,000 เม็ดบรรจุถุงพลาสติกจำนวนถึง 20 ถุงวางให้เห็นอยู่เช่นนี้ จำเลยที่ 2น่าจะเข้าใจได้ว่าเป็นการนับเงินที่จำเลยที่ 1 จะได้จากการจำหน่ายยาเสพติดซึ่งเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ทั้งเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2ได้ในขณะที่กำลังนับเงินของกลางโดยจำเลยที่ 2 ให้การรับว่าช่วยนับเงินที่ผู้ซื้อ เมทแอมเฟตามีน ส่งมอบให้ จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการพยายามกระทำความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7140/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนการกระทำผิดฐานจำหน่ายยาเสพติด: ผู้ขับรถรับจ้างมีเจตนาช่วยเหลือแต่ไม่ถือเป็นตัวการร่วม
จำเลยที่ 1 เป็นผู้ติดต่อจากการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางกับจ่าสิบตำรวจ ส. กับพวก จำเลยที่ 2 มิได้ร่วมในการเจรจาซื้อขายเมทแอมเฟตามีนของกลางระหว่างจำเลยที่ 1 ข. และเจ้าพนักงานตำรวจผู้ล่อซื้อ การเจรจาซื้อขายตกลงกันเรียบร้อยก่อนที่จำเลยที่ 2 จะเข้ามายังที่เกิดเหตุ การที่จำเลยที่ 2เข้าไปดูเงินที่ใช้ล่อซื้อที่ท้ายรถยนต์ของจ่าสิบตำรวจ ส. ก็เพราะ ข. ให้จำเลยที่ 2ไปดูเพื่อให้แน่ใจว่าเงินยังอยู่ หลังจากที่ ข. ไปตรวจนับมาแล้วครั้งหนึ่ง ส่วนการที่จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ออกไปเอาเมทแอมเฟตามีนของกลางก็เพราะข. ใช้ให้ไปเอา ซึ่งต้องถือว่าการครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลาง ข. ยังเป็นผู้ครอบครองอยู่จำเลยที่ 2 นำเมทแอมเฟตามีนมายังที่เกิดเหตุเป็นเพียงการนำมาแทน ข. โดยจำเลยที่ 2 ทำตามที่ ข. สั่ง มิได้มีเจตนายึดถือเพื่อตนการกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นเพียงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 และ ข. กระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 625/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนความผิดพยายามฆ่า: ผู้ส่งอาวุธไม่ถือเป็นตัวการร่วม หากไม่มีเจตนาในการกระทำผิดร่วมกัน
จำเลยที่ 2 เป็นคนส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ 1 ฟันทำร้ายพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งหลังจากจำเลยที่ 2 ส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ 1 แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรอีกเลยแม้ว่าตอนที่จำเลยที่ 1 วิ่งตามผู้เสียหายที่ 2 ไปนั้นจำเลยที่ 2 ได้วิ่งตามไปด้วยก็ดี หรือขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 จะเข้าช่วยเหลือผู้เสียหายที่ 2 จำเลยที่ 2 ก็ได้พูดห้ามปรามว่า อย่ารุมก็ดี ยังไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ตั้งใจจะร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 เนื่องจากขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 ใช้ไม้ตีมือจำเลยที่ 1 จนอาวุธปืนสั้นหลุดจากมือ จำเลยที่ 2 ก็มิได้ใช้มีดพร้าฟันผู้เสียหายที่ 1 หรือผู้เสียหายที่ 2 เสียเอง อันพอจะเป็นการแสดงให้เห็นได้ว่าตั้งใจจะเข้าช่วยเหลือในลักษณะเข้ารุมทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 ตามสภาพอาวุธของตนที่มีอยู่ ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 2 เพียงแต่ส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ 1 โดยมิได้เข้าร่วมใช้มีดพร้าฟันทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 เสียเอง จึงถือไม่ได้ว่ามีเจตนา เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดดังกล่าว แต่มีลักษณะเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 2 ในการกระทำผิดก่อนกระทำความผิด อีกทั้งการที่จำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ในตอนแรก จำเลยที่ 2 ยังมิได้ดำเนินการอะไรให้เห็นว่ามีเจตนาที่จะร่วมทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ถืออาวุธปืนสั้นมายังที่ เกิดเหตุโดยจำเลยที่ 2 ถือมีดพร้ามาด้วยนั้น พฤติการณ์พอถือได้ว่าต่างคนต่างเจตนาจะครอบครองอาวุธของตนเอง โดยลำพัง เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนาจะร่วมกันกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงมิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีและ พาอาวุธปืนดังกล่าวทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 และพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นเพียงผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 625/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนการกระทำความผิดพยายามฆ่า: เจตนาในการส่งมีดพร้าไม่ถึงขั้นเป็นตัวการร่วม
จำเลยที่ 2 เป็นคนส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ 1 ฟันทำร้ายพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งหลังจากที่จำเลยที่ 2 ส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ 1 แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรอีกเลยแม้ว่าตอนที่จำเลยที่ 1 วิ่งตามผู้เสียหายที่ 2 ไปนั้น จำเลยที่ 2 ได้วิ่งตามไปด้วยก็ดี หรือขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 จะเข้าช่วยเหลือผู้เสียหายที่ 2 จำเลยที่ 2 ก็ได้พูดห้ามปรามว่าอย่ารุมก็ดี ยังไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ตั้งใจจะร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 เนื่องจากขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 ใช้ไม้ตีมือจำเลยที่ 1 จนอาวุธปืนสั้นหลุดจากมือ จำเลยที่ 2 ก็มิได้ใช้มีดพร้าฟันผู้เสียหายที่ 1 หรือผู้เสียหายที่ 2 เสียเอง อันพอจะเป็นการแสดงให้เห็นได้ว่าตั้งใจจะเข้าช่วยเหลือในลักษณะเข้ารุมทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 ตามสภาพอาวุธของตนที่มีอยู่ ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 2 เพียงแต่ส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ 1 โดยมิได้เข้าร่วมใช้มีดพร้าฟันทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 เสียเอง จึงถือไม่ได้ว่ามีเจตนาเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดดังกล่าว แต่มีลักษณะเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 2 ในการกระทำผิดก่อนกระทำความผิดอีกทั้งการที่จำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ในตอนแรก จำเลยที่ 2 ยังมิได้ดำเนินการอะไรให้เห็นว่ามีเจตนาที่จะร่วมทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ถืออาวุธปืนสั้นมายังที่เกิดเหตุโดยจำเลยที่ 2 ถือมีดพร้ามาด้วยนั้น พฤติการณ์พอถือได้ว่า ต่างคนต่างเจตนาจะครอบครองอาวุธของตนเองตามลำพัง เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนาจะร่วมกันกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงมิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีและพาอาวุธปืนดังกล่าวทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 และพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นเพียงผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3516/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้สนับสนุนการครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย: ความผิดฐานสนับสนุน vs. ตัวการร่วม
การที่จำเลยที่ 1 ขนเมทแอมเฟตามีนจำนวนมากมาจากจังหวัดอื่นแล้วมาหาจำเลยที่ 2 ซึ่งรู้จักกัน จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 นำถุงพลาสติกขนาดใหญ่บรรจุเมทแอมเฟตามีนไปวางหลบสายตาคน ที่อาจเข้ามาในบ้าน เป็นพฤติการณ์ที่รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ทราบว่า สิ่งของในถุงพลาสติกนั้นคือสิ่งใด แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าจะมีคน มารับเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 ต่อไป ไม่ใช่กรณีที่จำเลยที่ 1 นำเมทแอมเฟตามีนมาส่งมอบให้จำเลยที่ 2 โดยตรง เมื่อพิจารณา สภาพบ้านของจำเลยที่ 2 ประกอบ ซึ่งเป็นกระต๊อบใช้พื้นดินเป็น พื้นบ้านภายในบ้านไม่กั้นห้องและไม่ปรากฏว่าพบเงินสดในบ้าน จำนวนมากเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนร่วมในการจำหน่าย คงเพียงแต่ ให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ในการกระทำผิด จำเลยที่ 2 คงมี ความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการมีเมทแอมเฟตามีน ไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่าย
แม้พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิด เกี่ยวกับยาเสพติดฯ มาตรา 6(1) จะบัญญัติว่า ผู้ใดสนับสนุนผู้กระทำ ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการ แต่ บทกฎหมายดังกล่าวเป็นบทกำหนดโทษให้หนักขึ้น โจทก์ไม่ได้ ขอมาในฟ้อง จึงไม่อาจนำมาปรับแก่คดีได้
แม้พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิด เกี่ยวกับยาเสพติดฯ มาตรา 6(1) จะบัญญัติว่า ผู้ใดสนับสนุนผู้กระทำ ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการ แต่ บทกฎหมายดังกล่าวเป็นบทกำหนดโทษให้หนักขึ้น โจทก์ไม่ได้ ขอมาในฟ้อง จึงไม่อาจนำมาปรับแก่คดีได้