พบผลลัพธ์ทั้งหมด 102 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3169/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชี้สองสถาน, ประเด็นข้อพิพาท, การซื้อขายทอดตลาด, สิทธิในทรัพย์สิน, การวินิจฉัยนอกประเด็น
ผู้ร้องสอดร้องเข้ามาเป็นจำเลยร่วม จึงมีฐานะเช่นเดียวกับจำเลยดังนั้นเมื่อผู้ร้องสอดยื่นคำให้การแล้ว โจทก์จึงไม่จำต้องยื่นคำคัดค้านคำให้การของผู้ร้องสอดอีกกรณีย่อมถือได้ว่าคำฟ้องของโจทก์คือคำคัดค้านคำให้การของผู้ร้องสอดอยู่ในตัว
เอกสารท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องศาลย่อมหยิบยกเอาเอกสารท้ายฟ้องมาวินิจฉัยคดีโดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องได้
ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานในวันที่ 3 ตุลาคม 2522 และกำหนดประเด็นพิพาท 3 ข้อคือ ข้อแรก จำเลยอยู่ในตึกและที่ดินที่เป็นของโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ข้อสองโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่พิพาทแล้วหรือไม่ ข้อสามโจทก์เสียหายเพียงใดหรือไม่ หลังจากนั้นผู้ร้องสอดจึงยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นจำเลยร่วมเมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตแล้ว ผู้ร้องสอดจึงได้ยื่นคำให้การ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2522 ต่อมาวันที่ 4 ธันวาคม 2522 อันเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า'ศาลได้พิเคราะห์คำให้การจำเลยร่วมแล้วเห็นว่าจำเลยร่วมต่อสู้ในประเด็นที่ว่าตึกและที่ดินรายพิพาทมิได้เป็นของโจทก์ทำนองเดียวกับที่จำเลยได้ต่อสู้ไว้แล้วเป็นแต่จำเลยร่วมยกข้อต่อสู้เพิ่มขึ้นอีกข้อหนึ่งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมจึงให้เพิ่มประเด็นข้อพิพาทขึ้นอีกข้อหนึ่งเป็นข้อที่สี่ว่าฟ้องโจทก์'เคลือบคลุมหรือไม่'การดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวของศาลชั้นต้นมิใช่เป็นการชี้สองสถานดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 เพราะศาลกำหนดเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ มิใช่วันนัดชี้สองสถานทั้งไม่ปรากฏว่าศาลได้ตรวจคำฟ้องของโจทก์เทียบกับคำให้การของผู้ร้องสอดหรือไม่ประเด็นเรื่องสิทธิของโจทก์ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดเสียไปหรือไม่จึงยังคงมีอยู่ทั้งการที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่าประเด็นข้อนี้เป็นประเด็นเดียวกับประเด็นที่ว่าตึกและที่ดินพิพาทมิได้เป็นของโจทก์ทำนองเดียวกับที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้นั้นก็ไม่ถูกต้อง เพราะจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าตึกและที่ดินพิพาทมิใช่ของโจทก์ระหว่างโจทก์จำเลยจึงไม่มีประเด็นพิพาทว่าตึกและที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ดังนั้นศาลชั้นต้นจึงกำหนดประเด็นพิพาทระหว่างโจทก์และผู้ร้องสอดไม่ตรงตามคำฟ้องและคำให้การแต่ปรากฏว่าโจทก์และผู้ร้องสอดได้นำสืบในประเด็นข้อนี้ครบถ้วนและศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้แล้วที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยข้อนี้จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
เอกสารท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องศาลย่อมหยิบยกเอาเอกสารท้ายฟ้องมาวินิจฉัยคดีโดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องได้
ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานในวันที่ 3 ตุลาคม 2522 และกำหนดประเด็นพิพาท 3 ข้อคือ ข้อแรก จำเลยอยู่ในตึกและที่ดินที่เป็นของโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ข้อสองโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่พิพาทแล้วหรือไม่ ข้อสามโจทก์เสียหายเพียงใดหรือไม่ หลังจากนั้นผู้ร้องสอดจึงยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นจำเลยร่วมเมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตแล้ว ผู้ร้องสอดจึงได้ยื่นคำให้การ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2522 ต่อมาวันที่ 4 ธันวาคม 2522 อันเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า'ศาลได้พิเคราะห์คำให้การจำเลยร่วมแล้วเห็นว่าจำเลยร่วมต่อสู้ในประเด็นที่ว่าตึกและที่ดินรายพิพาทมิได้เป็นของโจทก์ทำนองเดียวกับที่จำเลยได้ต่อสู้ไว้แล้วเป็นแต่จำเลยร่วมยกข้อต่อสู้เพิ่มขึ้นอีกข้อหนึ่งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมจึงให้เพิ่มประเด็นข้อพิพาทขึ้นอีกข้อหนึ่งเป็นข้อที่สี่ว่าฟ้องโจทก์'เคลือบคลุมหรือไม่'การดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวของศาลชั้นต้นมิใช่เป็นการชี้สองสถานดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 เพราะศาลกำหนดเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ มิใช่วันนัดชี้สองสถานทั้งไม่ปรากฏว่าศาลได้ตรวจคำฟ้องของโจทก์เทียบกับคำให้การของผู้ร้องสอดหรือไม่ประเด็นเรื่องสิทธิของโจทก์ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดเสียไปหรือไม่จึงยังคงมีอยู่ทั้งการที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่าประเด็นข้อนี้เป็นประเด็นเดียวกับประเด็นที่ว่าตึกและที่ดินพิพาทมิได้เป็นของโจทก์ทำนองเดียวกับที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้นั้นก็ไม่ถูกต้อง เพราะจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าตึกและที่ดินพิพาทมิใช่ของโจทก์ระหว่างโจทก์จำเลยจึงไม่มีประเด็นพิพาทว่าตึกและที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ดังนั้นศาลชั้นต้นจึงกำหนดประเด็นพิพาทระหว่างโจทก์และผู้ร้องสอดไม่ตรงตามคำฟ้องและคำให้การแต่ปรากฏว่าโจทก์และผู้ร้องสอดได้นำสืบในประเด็นข้อนี้ครบถ้วนและศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้แล้วที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยข้อนี้จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2954/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในทรัพย์สินของวัดร้าง: การยกฐานะวัดร้างเป็นวัดมีพระสงฆ์ทำให้วัดสืบทอดสิทธิเดิมได้
แม้จะยกฐานะวัดโจทก์จากวัดร้างข้นเป็นวันที่มีพระสงฆ์ในปี พ.ศ. 2518 ตามประกาศของกระทรวงศึกษาธิการก็ตาม แต่พระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มิได้บัญญัติถึงวัดร้าง ฉะนั้นวัดร้างจึงมิได้เสียสภาพจากการเป็นวัด เพราะยังมิได้มีการยุบเลิกวัดร้าง และยังมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและทรัพย์สินที่เป็นของวัดได้อยู่ โดยให้พนักงานฝ่ายพระราชอาณาจักรเป็นผู้ปกครองรักษาไว้แทน ต่อมาวัดโจทก์ได้รับการยกฐานะจากวัดร้างขั้นเป็นวัดที่มีพระสงฆ์ จึงมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 72 และเป็นผู้สืบทอดสิทธิต่าง ๆ ของวัดร้างนั้นมา จึงมีอำนาจเป็นโจทก์และมีสิทธิติดตามเอาคืน ซึ่งทรัพย์สินของวัดร้างนั้นจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336
จำเลยยกข้อต่อสู้ เรื่องการครอบครองปรปักษ์ไว้ในคำให้การ แต่เมื่อศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถาน มิได้กำหนดปัญหาดังกล่าวไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท โจทก์จำเลยมิได้โต้แย้งหรือคัดค้านแต่ประการใด จึงถือว่าคู่ความได้สละเกี่ยวกับปัญหาข้อนี้แล้ว ศาลจะหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยอีกไม่ได้ เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทไม่ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณา
จำเลยยกข้อต่อสู้ เรื่องการครอบครองปรปักษ์ไว้ในคำให้การ แต่เมื่อศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถาน มิได้กำหนดปัญหาดังกล่าวไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท โจทก์จำเลยมิได้โต้แย้งหรือคัดค้านแต่ประการใด จึงถือว่าคู่ความได้สละเกี่ยวกับปัญหาข้อนี้แล้ว ศาลจะหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยอีกไม่ได้ เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทไม่ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2954/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในทรัพย์สินของวัดร้าง: การยกฐานะวัดร้างเป็นวัดมีพระสงฆ์ทำให้สิทธิในทรัพย์สินยังคงอยู่และสืบทอดไปยังวัดใหม่
แม้จะยกฐานะวัดโจทก์จากวัดร้างขึ้นเป็นวัดที่มีพระสงฆ์ในปี พ.ศ. 2518 ตามประกาศของกระทรวงศึกษาธิการก็ตามแต่พระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มิได้บัญญัติถึงวัดร้าง ฉะนั้นวัดร้างจึงมิได้เสียสภาพจากการเป็นวัดเพราะยังมิได้มีการยุบเลิกวัดร้าง และยังมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและทรัพย์สินที่เป็นของวัดได้อยู่ โดยให้พนักงานฝ่ายพระราชอาณาจักรเป็น ผู้ปกครองรักษาไว้แทน ต่อมาวัดโจทก์ได้รับการยกฐานะจากวัดร้าง ขึ้นเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จึงมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 72 และเป็นผู้สืบทอดสิทธิต่างๆ ของวัดร้างนั้นมาจึงมีอำนาจเป็นโจทก์และมีสิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของวัดร้างนั้นจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336
จำเลยยกข้อต่อสู้ เรื่องการครอบครองปรปักษ์ไว้ในคำให้การแต่เมื่อศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถาน มิได้กำหนดปัญหาดังกล่าวไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท โจทก์จำเลยมิได้โต้แย้งหรือคัดค้านแต่ ประการใด จึงถือว่าคู่ความได้สละเกี่ยวกับปัญหาข้อนี้แล้ว ศาล จะหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยอีกไม่ได้เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทไม่ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณา
จำเลยยกข้อต่อสู้ เรื่องการครอบครองปรปักษ์ไว้ในคำให้การแต่เมื่อศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถาน มิได้กำหนดปัญหาดังกล่าวไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท โจทก์จำเลยมิได้โต้แย้งหรือคัดค้านแต่ ประการใด จึงถือว่าคู่ความได้สละเกี่ยวกับปัญหาข้อนี้แล้ว ศาล จะหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยอีกไม่ได้เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทไม่ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 704/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการร้องขัดทรัพย์ต้องมีสิทธิในทรัพย์สินที่ถูกยึด สัญญาจะซื้อขายยังไม่ทำให้เกิดสิทธิครอบครอง
แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 จะมิได้บังคับว่าผู้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินจะต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สิน แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับ มาตรา 55 คือผู้ยื่นคำร้องจะต้องแสดงว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของตนตามกฎหมายแพ่ง
ทรัพย์ที่ยึดไม่ได้เป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องเพียงแต่มีสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขายอันเป็นบุคคลสิทธิระหว่างผู้ร้องกับเจ้าของทรัพย์ที่ถูกยึด ยังไม่มีสิทธิในทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานยึดไว้ ยังถือไม่ได้ว่าผู้ร้องถูกโต้แย้งสิทธิในทรัพย์สินนั้น ไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์นั้นได้
บันทึกมีข้อความว่า ป.ตกลงให้ผู้ร้องกับพวกซื้อทรัพย์สินที่ขายฝากคืน โดยชำระเงินแล้วส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือจะนำมาชำระภายใน 15 วัน แล้ว ป.จะคืน น.ส.3 สำหรับที่ดินพร้อมทั้งหนังสือมอบอำนาจให้ผู้ร้องกับพวกไปทำการจดทะเบียนทางอำเภอต่อไป.ข้อความดังกล่าวยังมีการที่ผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องปฏิบัติกันอีกอันจะให้สำเร็จผลเป็นการซื้อขายบันทึกดังกล่าวจึงเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขาย ไม่ใช่สัญญาซื้อขายจะถือว่าขณะทำบันทึกผู้ขายสละสิทธิครอบครองให้ผู้ซื้อแล้วหาได้ไม่ ผู้ร้องยังไม่ได้สิทธิครอบครอง
ทรัพย์ที่ยึดไม่ได้เป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องเพียงแต่มีสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขายอันเป็นบุคคลสิทธิระหว่างผู้ร้องกับเจ้าของทรัพย์ที่ถูกยึด ยังไม่มีสิทธิในทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานยึดไว้ ยังถือไม่ได้ว่าผู้ร้องถูกโต้แย้งสิทธิในทรัพย์สินนั้น ไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์นั้นได้
บันทึกมีข้อความว่า ป.ตกลงให้ผู้ร้องกับพวกซื้อทรัพย์สินที่ขายฝากคืน โดยชำระเงินแล้วส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือจะนำมาชำระภายใน 15 วัน แล้ว ป.จะคืน น.ส.3 สำหรับที่ดินพร้อมทั้งหนังสือมอบอำนาจให้ผู้ร้องกับพวกไปทำการจดทะเบียนทางอำเภอต่อไป.ข้อความดังกล่าวยังมีการที่ผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องปฏิบัติกันอีกอันจะให้สำเร็จผลเป็นการซื้อขายบันทึกดังกล่าวจึงเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขาย ไม่ใช่สัญญาซื้อขายจะถือว่าขณะทำบันทึกผู้ขายสละสิทธิครอบครองให้ผู้ซื้อแล้วหาได้ไม่ ผู้ร้องยังไม่ได้สิทธิครอบครอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 421/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์โดยสุจริตของผู้บังคับคดี แม้ผู้ถูกยึดมีสิทธิในทรัพย์สินร่วม ศาลฎีกาตัดสินไม่เป็นการละเมิด
ที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกของบิดามารดาโจทก์และภริยาของลูกหนี้จำเลย ลูกหนี้จำเลยเป็นผู้ทำนาในที่พิพาทตลอดมาขณะที่จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดที่พิพาทโจทก์ก็อยู่ด้วย โจทก์มิได้คัดค้านว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แต่ผู้เดียวและมิได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์มาแสดงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุให้จำเลยไม่อาจทราบได้ว่าที่พิพาทไม่ใช่เป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา การที่จำเลยนำยึดที่พิพาทจึงเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริต มิได้มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหายจึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2587/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในทรัพย์สิน - การใช้คูน้ำร่วมกัน - ไม่เป็นละเมิด - ป้องกันทรัพย์สิน
จำเลยขุดคูเพื่อชักน้ำจากคลองใช้ทำสวน โจทก์ทำสวนในที่ดินแม่ยายและได้ขุดคูชักน้ำใช้ทำสวนต่อจากคูที่จำเลยขุดไว้ แล้วโจทก์ถือวิสาสะใช้เรือยนต์บรรทุกอุปกรณ์ในการทำสวนมีเครื่องสูบน้ำเป็นต้นผ่านคูที่จำเลยขุดเข้าไปในที่ดินที่โจทก์ทำสวนโดยไม่ขออนุญาตจากจำเลย ในหน้าน้ำจำเลยปักไม้ไผ่ขวางคูนั้นเป็นป้องกันคนร้ายนำเรือยนต์ผ่านคูที่จำเลยขุดมาขโมยผลไม้ในสวนของ จำเลย โจทก์นำเรือยนต์บรรทุกเครื่องยนต์เข้าไปสูบน้ำที่ท่วมในสวนของโจทก์ไม่ได้ ทำให้สวนของโจทก์ถูกน้ำท่วมเสียหายการกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิในทรัพย์สินของจำเลยไม่ได้มีเจตนา กลั่นแกล้งจึงไม่เป็นการละเมิด และไม่ใช่กรณีที่จำเลยใช้สิทธิไม่สุจริตในอสังหาริมทรัพย์ทำให้โจทก์เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 262/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเพิกถอนการซื้อขาย: ทรัพย์สินต้องเป็นของโจทก์จริง หากไม่มีสิทธิในทรัพย์สิน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องคดี อ้างว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เอาโรงงานและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ไปขายให้แก่จำเลยที่ 3 ขอให้พิพากษาว่าหนังสือสัญญาซื้อขายดังกล่าวเป็นโมฆะ ให้เพิกถอนเสีย จำเลยทั้งสามให้การและแถลงว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไม่ได้เอาโรงงานและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ไปขาย จำเลยที่ 3 แถลงว่าไม่เคยโต้แย้งว่าทรัพย์สินตามฟ้องไม่ใช่ทรัพย์สินของโจทก์ ทั้งปรากฏว่าจำเลยเคยรับอยู่ตั้งแต่ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้วว่า ทรัพย์สินตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องไม่ใช่ทรัพย์สินของจำเลย ดังนี้ถือได้ว่าไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับโรงงานและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องโจทก์ว่าเป็นทรัพย์สินของฝ่ายใด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยสำหรับทรัพย์สินที่กล่าวในฟ้อง และไม่มีอำนาจขอให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอื่น ซึ่งไม่ใช่ทรัพย์สินของโจทก์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1782/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนที่ดินโดยหลอกลวงและสิทธิในทรัพย์สินร่วม กรณีทายาทรับมรดกและเจ้าของร่วม
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยโดยบรรยายข้อเท็จจริงมาในฟ้องเกี่ยวกับเจตนาในการทำนิติกรรมรายนี้ว่า โจทก์ที่ 1 ถูกจำเลยหลอกลวงว่าให้ทำนิติกรรมเสียทีหนึ่งก่อน แล้วค่อยโอนให้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4ในภายหลัง โจทก์ที่ 1 จึงโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยโดยไม่รู้เท่าทันถึงเหตุการณ์ โจทก์ที่ 1 ไม่มีเจตนายกที่ดินพิพาทให้จำเลยแต่เพียงผู้เดียวเป็นฟ้องที่กล่าวโดยชัดแจ้งพอให้จำเลยเข้าใจสภาพแห่งข้อหาของโจทก์แล้ว แม้โจทก์จะระบุด้วยว่าการกระทำดังกล่าวเป็นกลฉ้อฉลและเป็นการแสดงเจตนาลวงอันเป็นการขัดกันก็เป็นการยกเอากฎหมายมาปรับกับข้อเท็จจริงตามความเข้าใจของโจทก์ หาเป็นเหตุที่จะถือว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมไม่
โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทจากจำเลยทั้งหมด แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 ได้ยกส่วนของตนให้จำเลยไปแล้ว และโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทในฐานะทายาทผู้รับมรดกของ ส. บิดา ซึ่งยังมีทายาทอื่นอีก เช่น จำเลย อีกด้วย. เฉพาะส่วนของ โจทก์ที่ 1ในฐานะภริยาของ ส. ซึ่งยกให้จำเลยนั้น ข้อเท็จจริงก็ยังฟังเป็นยุติไม่ได้ว่ามีอยู่ครึ่งหนึ่งหรือ 1 ใน 3 ดังนี้ ยังไม่สมควรที่ศาลจะพิพากษาให้แบ่งส่วนในที่ดินพิพาทไปเลย ควรให้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในโฉนดที่ดินรายพิพาทตามคำขอของโจทก์เท่านั้นฝ่ายใดจะมีกรรมสิทธิ์อยู่เป็นส่วนเท่าใด เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวเอาแก่กันเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก
โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทจากจำเลยทั้งหมด แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 ได้ยกส่วนของตนให้จำเลยไปแล้ว และโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทในฐานะทายาทผู้รับมรดกของ ส. บิดา ซึ่งยังมีทายาทอื่นอีก เช่น จำเลย อีกด้วย. เฉพาะส่วนของ โจทก์ที่ 1ในฐานะภริยาของ ส. ซึ่งยกให้จำเลยนั้น ข้อเท็จจริงก็ยังฟังเป็นยุติไม่ได้ว่ามีอยู่ครึ่งหนึ่งหรือ 1 ใน 3 ดังนี้ ยังไม่สมควรที่ศาลจะพิพากษาให้แบ่งส่วนในที่ดินพิพาทไปเลย ควรให้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในโฉนดที่ดินรายพิพาทตามคำขอของโจทก์เท่านั้นฝ่ายใดจะมีกรรมสิทธิ์อยู่เป็นส่วนเท่าใด เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวเอาแก่กันเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2347/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองโดยละเมิดและการมีสิทธิในทรัพย์สิน: การบุกรุกและการทำให้เสียทรัพย์เมื่อผู้ครอบครองไม่มีสิทธิ
ห้องพิพาทและที่ดินเป็นของจำเลยที่ 1 สามีโจทก์ที่1 เป็นแต่เพียงผู้เช่าโดยมีโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นภรรยาและบุตรเป็นบริวาร จำเลยที่ 1 เคยฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 1 และสามีออกจากห้องพิพาท ทนายของสามีโจทก์ที่ 1 แถลงต่อศาลว่าผู้เช่ารับว่าจะไม่ไปเกี่ยวข้องกับห้องพิพาทอีกต่อไป ดังนี้ โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบริวารจึงไม่มีสิทธิอันใดในห้องพิพาท การที่โจทก์ทั้งสองเข้าอยู่ในห้องต่อไปจึงเป็นการเข้าอยู่โดยละเมิด ไม่มีสิทธิครอบครอง และไม่มีการครอบครองตามความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ฉะนั้น ความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ต่อห้องพิพาทจึงไม่อาจเกิดแก่จำเลยซึ่งบุกรุกเข้าไปรื้อห้องพิพาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1856/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมให้ปลูกเรือนบนที่ดินของผู้อื่น และผลกระทบต่อสิทธิในทรัพย์สิน
จำเลยได้บุตรสาวผู้ร้องเป็นภริยา และได้ปลูกเรือนพิพาทบนที่ดินของผู้ร้องใช้เป็นที่อยู่อาศัยของจำเลยและภริยา. แม้เรือนจะมีลักษณะถาวรติดที่ดิน แต่เมื่อตามพฤติการณ์เห็นได้ว่าผู้ร้องกับสามียินยอมให้ปลูกเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย. กรณีจึงเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109 ไม่ถือว่าเรือนพิพาทเป็นส่วนควบกับที่ดินของผู้ร้องและสามี. ผู้ร้องจึงไม่อาจร้องขัดทรัพย์เรือนพิพาทของจำเลยที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดบังคับคดีได้.