คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
องค์ประกอบ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 63 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2971/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเบิกความเท็จต่อศาล: การครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 177 และการไม่ต้องรอคำพิพากษาในคดีที่เบิกความ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเบิกความเท็จในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 58/2521 ของศาลจังหวัดเพชรบุรีว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ ความจริงจำเลยรู้ว่าที่พิพาทในคดีนั้นไม่ใช่ที่สาธารณะ ซึ่งถ้าศาลเชื่อตามที่จำเลยเบิกความในคดีนั้นแล้ว โจทก์จะเป็นผู้แพ้ ในคดีดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดีดังกล่าว ดังนี้ พอเข้าใจ ได้ว่าคำเบิกความเท็จของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีคือทำให้โจทก์แพ้ในคดีนั้นฟ้องโจทก์จึงครบองค์ประกอบความผิด มาตรา 177 แห่งประมวลกฎหมายอาญาแล้ว
การฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยเบิกความเท็จหาจำต้องรอให้ศาลพิพากษาคดีที่จำเลยเบิกความเท็จเสียก่อนไม่ เพราะความผิดเกิดตั้งแต่จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาลในคดีนั้นแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2621/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลียนเครื่องหมายการค้า: แม้มีรูปภาพคล้ายกัน แต่มีองค์ประกอบอื่นแตกต่างกันชัดเจน ไม่ถือว่าเลียนแบบจนเกิดความเข้าใจผิด
เครื่องหมายการค้าของโจทก์ซึ่งได้จดทะเบียนไว้คือรูปควายไม่มีอักษรประกอบและรูปควายมีอักษรจีนอยู่ข้างล่างจำเลยจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตราพระอาทิตย์กับควายไว้และใช้เครื่องหมายการค้ารูปควายกับพระอาทิตย์พิมพ์ลงในผ้าโดยมีสลากปิดบนผ้ามีอักษรขนาดใหญ่ระบุว่าเป็นผ้าดำตราควายพระอาทิตย์และสถานที่ผลิตแบบหนึ่ง กับพิมพ์อักษรไทยมีข้อความขนาดใหญ่อยู่ด้านบนว่าโรงงานย้อมผ้าเฮ่งจิบฮั่งเชียงผ้าดำครามแท้ตราควายพระอาทิตย์ด้านข้างมีอักษรจีนและมีรูปควายอยู่ด้านล่างอีกแบบหนึ่ง ดังนี้ ถึงแม้เครื่องหมายการค้าที่โจทก์จำเลยจดทะเบียนไว้จะมีรูปควายเช่นเดียวกัน แต่ก็มีตัวอักษรข้อความรูปภาพอย่างอื่นมาประกอบทำให้แตกต่างกัน บุคคลธรรมดาไม่เข้าใจผิดว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์ตามที่จดทะเบียนไว้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 274

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2072/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์ประกอบและอำนาจของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการแรงงานสัมพันธ์ ลงวันที่ 16เมษายน 2515 ข้อ 24 มิได้มีข้อห้ามแต่งตั้งข้าราชการประจำ หรือข้าราชการบำนาญเป็นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ และมิได้กำหนดว่าคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ทั้งหมดจะต้องแต่งตั้งจากฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างแต่ประการใด บัญญัติเพียงว่าคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีจำนวนไม่น้อยกว่าห้าคนและไม่เกินเก้าคน ต้องแต่งตั้งจากฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างอย่างน้อยฝ่ายละหนึ่งคนเท่านั้น ดังนั้นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีเก้าคน ประกอบด้วยกรรมการที่เป็นข้าราชการประจำ ข้าราชการบำนาญด้วย และกรรมการในฐานะผู้แทนนายจ้าง ผู้แทนลูกจ้างฝ่ายละคน จึงเป็นกรรมการที่ถูกต้องตามประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวแล้ว
ประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวข้อ 26 บัญญัติไว้เพียงว่าการประชุมคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุมมติของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก มิได้กำหนดว่าจะต้องมีกรรมการที่เป็นผู้แทนฝ่ายฝ่ายจ้างและฝ่ายลูกจ้างร่วมประชุม หรือลงชื่อในคำชี้ขาดด้วยทุกครั้งไป ดังนั้นการที่ไม่มีกรรมการผู้แทนฝ่ายนายจ้างร่วมลงนามในคำชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน ไม่ทำให้คำชี้ขาดนั้นขัดต่อประกาศกระทรวงมหาดไทยแต่อย่างใด
โจทก์ฎีกาว่า ผู้แต่งตั้งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ใช้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไม่ใช่ตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงไม่มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์นั้น เมื่อไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาย่อมไม่วินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2326-2328/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเบิกความเท็จต่อศาล: การบรรยายฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นพยานในคดีที่โจทก์ถูกฟ้องว่ากีดขวางลำบางทางน้ำสาธารณะ ได้เอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จมาเบิกความเป็นข้อสำคัญในคดี โดยโจทก์บรรยายคำเบิกความของจำเลยอันมีใจความว่า ลำบางนั้นเป็นทางนำสาธารณะ และว่าความจริงเป็นลำบางหรือคูที่โจทก์ขุดขึ้นในที่ดินของโจทก์ บุคคลทั่วไปมิได้ใช้เรือผ่านไปมาดังนี้ ข้อที่ว่าทางน้ำที่โจทก์ถูกฟ้องว่ากระทำการกีดขวางจะเป็นทางน้ำสาธารณะจริงหรือไม่นั้น ย่อมเป็นที่เข้าใจได้แล้วว่าเป็นข้อสำคัญในคดี ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 267/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตเป็นสาระสำคัญในการพิพากษาคดีฉ้อโกง หากไม่มีเจตนาทุจริต แม้จะบรรยายฟ้องครบองค์ประกอบ ก็ไม่มีความผิด
ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงโจทก์ฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาไม่มีทางเอาผิดแก่จำเลยได้แล้วปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ฎีกาขึ้นมา ก็ไม่เป็นสารแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย (อ้างฎีกาที่ 321/2502)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1671/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การช่วยเหลือผู้ถูกจับกุม: การกระทำไม่ครบองค์ประกอบความผิดตาม ม.189
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 บัญญัติถึงการกระทำเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด ไม่ให้ต้องรับโทษหรือไม่ให้ถูกจับกุม. เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าผู้ที่จำเลยได้ช่วยเหลือได้ถูกจับกุมในข้อหานั้นไปก่อนแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่ต้องด้วยความผิดตามมาตรานี้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 587-588/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์ประกอบความผิดฉ้อโกงประชาชน: โฆษณาหลอกลวงถือเป็นความผิดแม้ยังไม่เกิดผล
โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวหาจำเลยกระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343. โดยระบุชื่อผู้เสียหายมาในฟ้อง และราษฎรผู้มีชื่ออีกหลายคน.ถือว่าเข้าองค์ประกอบเป็นฟ้องในข้อหาฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 แล้ว.
ฎีกาจำเลยในปัญหาดุลพินิจของศาลในการชั่งน้ำหนักคำพยานเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.
แม้การหลอกลวงของจำเลยจะเป็นเรื่องที่ยังต้องดำเนินการต่อไปข้างหน้าแต่ก็ได้เริ่มขึ้นแล้วโดยการแสดงโครงการออกโฆษณาต่อประชาชนอันเป็นความเท็จ. ซึ่งเชื่อมโยงต่อขั้นที่จะดำเนินการต่อไป. ดังนี้ การกระทำของจำเลยถือว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 873/2504

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องความผิดฐานรับของโจร ไม่ต้องระบุว่า 'รู้ว่าเป็นของร้าย' หากมีเจตนา
การฟ้องความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ไม่จำต้องบรรยายว่า รับไว้โดยรู้อยู่ว่าเป็นของร้ายอย่างในกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 321 ฉะนั้น เมื่อโจทก์บรรยายเพียงว่าจำเลยบังอาจรับทรัพย์ของผู้เสียหายซึ่งถูกลักไปนั้นไว้จากคนร้ายผู้ได้ทรัพย์นั้นมาในการทำผิดฐานลักทรัพย์ ดังนี้ ก็ครบองค์ความผิดและชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว เพราะการทำความผิดฐานนี้ต้องประกอบด้วยเจตนาตามมาตรา 59อยู่แล้ว (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 20/2504)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 942/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฉ้อค่าภาษีเป็นองค์ประกอบความผิด แม้มาตรา 16 พ.ร.บ.ศุลกากร จะไม่ต้องคำนึงถึงเจตนาในการกระทำ
ตามความในบทบัญญัติของมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 นั้น หาได้ลบล้างองค์ประกอบความผิดที่ต้องกระทำ โดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2482 นั้น ให้สิ้นไปไม่เพราะในมาตรา 16 หมายความถึงแต่เพียงมิให้คำนึงถึงเจตนาแห่งการกระทำหรือความประสงค์ต่อผลนั้น ยังคงต้องเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 27 นั้นอยู่ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2503)
จำเลยนำของเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้เสียภาษี แต่ไม่ได้ความว่าจำเลยมีเจตนาฉ้อค่าภาษีของรัฐบาล จำเลยยังไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 396/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษฐานทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ แม้ไม่มีความผิดฐานกรรโชก
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานกรรโชก ทางพิจารณาได้ความเพียงว่า จำเลยไปพูดขู่เอาเงินผู้เสียหายโดยว่า ถ้าไม่ให้จะทำร้าย แต่ผู้เสียหายไม่ได้ให้เงินไปหรือมิได้ สัญญาว่าจะให้เงิน เพราะได้แจ้งความไว้แล้ว และเจ้าพนักงานตำรวจมารอให้ความอารักขาอยู่แล้ว จึงเข้าจับกุมจำเลย แต่โดยมีความผิดฐานกรรโชค รวมการกระทำฐานทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพอยู่ด้วย ซึ่งเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลจึงย่อมลงโทษฐานทำให้เลื่อมเสียอิสระภาพตามที่พิจารณาได้ความได้ โดยอาศัย ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
(อ้างฎีกาที่ 358/2481)
of 7