พบผลลัพธ์ทั้งหมด 399 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3740/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องค่าเสียหายจากการเช่าซื้อ และการรับฟังสัญญาเช่าซื้อแม้ไม่มีการขีดฆ่าอากรแสตมป์
ฟ้องของโจทก์ที่เรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการขาดประโยชน์ที่ควรจะได้จากการนำรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อไปออกให้ผู้อื่นเช่าและค่าขาดราคาของรถยนต์ที่เช่าซื้อที่ยังขาดไปจากราคาตามสัญญาเช่าซื้อนั้น ไม่มีกฎหมายบัญญัติในเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30
แม้สัญญาเช่าซื้อจะมิได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ให้ถูกต้องครบถ้วนทุกดวงตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ก็ตาม แต่ตามคำให้การของจำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าจำเลยที่ 1มิได้ทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์จึงต้องถือว่าจำเลยทั้งสองให้การยอมรับว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวกับโจทก์จริง กรณีจึงไม่ต้องอาศัยสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวเป็นพยานหลักฐาน ก็สามารถรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ตามฟ้อง
แม้สัญญาเช่าซื้อจะมิได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ให้ถูกต้องครบถ้วนทุกดวงตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ก็ตาม แต่ตามคำให้การของจำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าจำเลยที่ 1มิได้ทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์จึงต้องถือว่าจำเลยทั้งสองให้การยอมรับว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวกับโจทก์จริง กรณีจึงไม่ต้องอาศัยสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวเป็นพยานหลักฐาน ก็สามารถรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1217/2545 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือมอบอำนาจช่วงถูกต้องตามกฎหมายอากรแสตมป์ โจทก์มีอำนาจฟ้องคดี
ตามหนังสือมอบอำนาจระบุข้อความไว้โดยแจ้งชัดว่าเป็นการมอบอำนาจให้นาง ก. หรือนาย ส. คนใดคนหนึ่งกระทำการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสองฐานผิดสัญญาเช่าซื้อและค้ำประกันคดีนี้เท่านั้น ทั้งกิจการที่นาง ก. หรือนาย ส. กระทำเป็นกิจการเดียวกันคือฟ้องจำเลยทั้งสองคดีนี้เพียงครั้งเดียว หาได้กระทำกิจการแยกกันต่างคนต่างฟ้องคดีเรื่องอื่นต่อจำเลยทั้งสองหรือฟ้องบุคคลอื่นอันเป็นการกระทำมากกว่าครั้งเดียวไม่ แม้นาย ส. ผู้รับมอบอำนาจคนหนึ่งเป็นผู้แต่งตั้งทนายความและนาง ก. ผู้รับมอบอำนาจอีกคนหนึ่งเข้าเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีนี้ก็ตาม ก็เป็นที่เห็นได้ว่ากิจการที่ผู้รับมอบอำนาจทั้งสองกระทำเป็นกิจการเดียวกันคือฟ้องร้องดำเนินคดีนี้ต่อจำเลยทั้งสอง จึงเป็นกรณีการมอบอำนาจให้บุคคลคนเดียวหรือหลายคนกระทำการครั้งเดียว ซึ่งต้องปิดอากรแสตมป์เพียง 10 บาท ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากร ข้อ 7 (ก) เมื่อโจทก์ปิดอากรแสตมป์ในหนังสือมอบอำนาจจำนวน 30 บาท จึงสมบูรณ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 104 และบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากร ข้อ 7 (ก) แล้ว หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจึงใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1217/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือมอบอำนาจช่วงฟ้องคดี: การปิดอากรแสตมป์สำหรับมอบอำนาจให้กระทำการครั้งเดียว
หนังสือมอบอำนาจระบุว่า โจทก์ โดย บ. ผู้รับมอบอำนาจขอมอบอำนาจช่วงให้แก่ ก. หรือ ส. เป็นผู้มีอำนาจดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสองฐานผิดสัญญาเช่าซื้อ ค้ำประกัน เป็นการมอบอำนาจให้ ก. หรือ ส. คนใดคนหนึ่งกระทำการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสองเท่านั้น กิจการที่ ก. หรือ ส. กระทำเป็นกิจการเดียวกันคือ ฟ้องจำเลยทั้งสองเพียงครั้งเดียว หาได้กระทำกิจการแยกกันต่างคนต่างฟ้องคดีเรื่องอื่นต่อจำเลยทั้งสองหรือฟ้องบุคคลอื่นอันเป็นการกระทำมากกว่าครั้งเดียวไม่แม้ ส. เป็นผู้แต่งตั้งทนายความและ ก. เข้าเบิกความเป็นพยานโจทก์ ก็เป็นกิจการเดียวกัน จึงเป็นกรณีการมอบอำนาจให้บุคคลคนเดียวหรือหลายคนกระทำการครั้งเดียวซึ่งต้องปิดอากรแสตมป์เพียง 10 บาท ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากรข้อ 7(ก)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1217/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือมอบอำนาจช่วง: การปิดอากรแสตมป์สำหรับฟ้องคดีครั้งเดียว และอำนาจฟ้อง
หนังสือมอบอำนาจระบุไว้แจ้งชัดว่า บริษัทโจทก์โดย บ. ผู้รับมอบอำนาจมอบอำนาจช่วงให้แก่ ณ. หรือ ส. เป็นผู้มีอำนาจดำเนินการฟ้องร้องคดีต่อจำเลยทั้งสองต่อศาลฐานผิดสัญญาเช่าซื้อ ค้ำประกัน กรณีจึงเป็นการมอบอำนาจให้ ณ.หรือ ส. คนใดคนหนึ่งฟ้องร้องดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสองฐานผิดสัญญาเช่าซื้อและค้ำประกันเท่านั้น กิจการที่ ณ. หรือ ส. กระทำเป็นกิจการเดียวกันคือฟ้องจำเลยทั้งสองเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หาได้กระทำแยกกันต่างคนต่างฟ้องคดีเรื่องอื่นต่อจำเลยทั้งสองหรือฟ้องบุคคลอื่นอันมากกว่าครั้งเดียวไม่ แม้ ส. จะเป็นผู้แต่งตั้งทนายความ และ ณ. เข้าเบิกความเป็นพยานโจทก์ก็ตาม ก็เป็นที่เห็นได้ว่ากิจการที่บุคคลทั้งสองกระทำเป็นกิจการเดียวกัน จึงเป็นการมอบอำนาจให้บุคคลคนเดียวหรือหลายคนกระทำการครั้งเดียว ซึ่งต้องปิดอากรแสตมป์เพียง 10 บาทตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากรฯ ข้อ 7(ก) เมื่อโจทก์ปิดอากรแสตมป์ในหนังสือมอบอำนาจ 30 บาท จึงสมบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรฯ มาตรา 104และบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากรฯ ข้อ 7(ก) แล้ว หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจึงใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้ตามประมวลรัษฎากรฯ มาตรา 118
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9223/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยผิดสัญญา, การชำระหนี้, สัญญาค้ำประกัน, การปิดอากรแสตมป์, สัญญาซื้อขายตั๋วสัญญาใช้เงิน
สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีข้อ 2 กำหนดให้จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือนทุกวันที่สิ้นสุดของเดือน หากจำเลยผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยก็มีข้อกำหนดไว้เป็นการเฉพาะในข้อ 3 ให้โจทก์มีสิทธินำดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบเข้ากับต้นเงินเดิมเป็นต้นเงินใหม่ได้ทันที แต่มิได้ให้สิทธิโจทก์ที่จะคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ดังนี้ เมื่อสัญญายังไม่เลิก โจทก์จึงจะคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดโดยอ้างเหตุ จำเลยผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยหาได้ไม่
เมื่อโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยกำหนดให้ชำระหนี้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ และจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2537 สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจึงเลิกกันนับแต่วันได้รับหนังสือ แต่สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกำหนดให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นทุกวันสิ้นเดือนเป็นรายเดือน ดังนั้น ดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 1 ถึง 18กุมภาพันธ์ 2537 ซึ่งเป็นวันที่สัญญาเลิกกันนั้นยังไม่ถึง 1 เดือนตามสัญญาและประเพณีที่โจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้น โจทก์จึงคิดดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ คิดได้แต่เพียงดอกเบี้ยไม่ทบต้น
เมื่อสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีครบกำหนดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม2533 แต่ยังมีการเดินบัญชีตลอดมา สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจึงยังมีผลอยู่โดยไม่มีกำหนดเวลา การที่โจทก์เป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาและเรียกให้จำเลยชำระหนี้ โดยทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยผิดสัญญาอย่างไร จึงเป็นกรณีที่โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเท่านั้นมิใช่จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิอ้างบันทึกข้อตกลงข้อ 3 ที่กำหนดให้คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดได้ แต่ต้องคิดดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำที่โจทก์คิดจากลูกค้าชั้นดีบวกอีกอัตราร้อยละ 1 ต่อปี ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี
แม้สัญญาค้ำประกันแต่ละฉบับจะมีผู้ค้ำประกันเกินกว่าหนึ่งคนแต่เป็นการร่วมกันค้ำประกันในภาระหนี้รายเดียวกัน การปิดอากรแสตมป์แต่ละฉบับเพียง 10 บาท จึงครบถ้วนตามประมวลรัษฎากรฯ แล้ว
เมื่อโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยกำหนดให้ชำระหนี้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ และจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2537 สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจึงเลิกกันนับแต่วันได้รับหนังสือ แต่สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกำหนดให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นทุกวันสิ้นเดือนเป็นรายเดือน ดังนั้น ดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 1 ถึง 18กุมภาพันธ์ 2537 ซึ่งเป็นวันที่สัญญาเลิกกันนั้นยังไม่ถึง 1 เดือนตามสัญญาและประเพณีที่โจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้น โจทก์จึงคิดดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ คิดได้แต่เพียงดอกเบี้ยไม่ทบต้น
เมื่อสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีครบกำหนดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม2533 แต่ยังมีการเดินบัญชีตลอดมา สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจึงยังมีผลอยู่โดยไม่มีกำหนดเวลา การที่โจทก์เป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาและเรียกให้จำเลยชำระหนี้ โดยทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยผิดสัญญาอย่างไร จึงเป็นกรณีที่โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเท่านั้นมิใช่จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิอ้างบันทึกข้อตกลงข้อ 3 ที่กำหนดให้คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดได้ แต่ต้องคิดดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำที่โจทก์คิดจากลูกค้าชั้นดีบวกอีกอัตราร้อยละ 1 ต่อปี ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี
แม้สัญญาค้ำประกันแต่ละฉบับจะมีผู้ค้ำประกันเกินกว่าหนึ่งคนแต่เป็นการร่วมกันค้ำประกันในภาระหนี้รายเดียวกัน การปิดอากรแสตมป์แต่ละฉบับเพียง 10 บาท จึงครบถ้วนตามประมวลรัษฎากรฯ แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 795/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานสัญญาที่ยังมิได้ปิดอากรแสตมป์ และภาระการพิสูจน์การคืนรถยนต์
ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์ได้ส่งต้นฉบับหนังสือสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันที่ปิดอากรแสตมป์ และขีดฆ่าครบถ้วนแล้วเป็นพยาน แม้เดิมจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ แต่เมื่อได้ปิดครบถ้วนและขีดฆ่าอากรแสตมป์แล้วก่อนศาลมีคำพิพากษาก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ แม้ไม่ได้เสียเงินเพิ่มอากรก็ตาม
จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์และได้รับมอบรถยนต์แล้ว จำเลยอ้างว่าได้คืนรถยนต์แก่โจทก์แล้วจึงมีภาระการพิสูจน์
จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์และได้รับมอบรถยนต์แล้ว จำเลยอ้างว่าได้คืนรถยนต์แก่โจทก์แล้วจึงมีภาระการพิสูจน์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 795/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารสัญญาที่ยังไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ สามารถใช้เป็นหลักฐานได้เมื่อปิดครบถ้วนและขีดฆ่าแล้ว แม้ไม่ได้เสียเงินเพิ่ม
ในขณะยื่นฟ้องโจทก์แนบสำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันโดยมิได้ปิดอากรแสตมป์มาท้ายคำฟ้องแต่ในชั้นพิจารณาโจทก์ได้ส่งต้นฉบับหนังสือสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันที่ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนและขีดฆ่าแล้วเป็นพยาน จึงรับฟังได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118แม้ไม่ได้เสียเงินเพิ่มอากรก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 656/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่ารถยนต์และเครื่องจักรกล ไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ ใช้เป็นหลักฐานได้
สัญญาเช่าซึ่งต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรกำหนดไว้เฉพาะการเช่าที่ดิน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น หรือแพเท่านั้น สัญญาเช่ารถยนต์และเครื่องจักรกล ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในประเภทที่ประมวลรัษฎากรกำหนดให้ต้องปิดอากรแสตมป์ จึงไม่เข้าลักษณะแห่งตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามมาตรา 118 แห่งประมวลรัษฎากร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6463/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องร้องเรียกเงินกู้ สัญญาไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ
ในคดีอาญาเรื่องก่อน ผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยว่ากระทำผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มี การใช้เงินตามเช็ค ซึ่งมีประเด็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ คดีถึงที่สุดโดยศาลวินิจฉัยว่า สัญญากู้มิได้ ขีดฆ่าอากรแสตมป์ เอกสารจึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง จึงฟังไม่ได้ว่ามีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้กู้ หนี้ตามเช็คเป็นหนี้ที่ไม่สามารถบังคับได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยขาดองค์ประกอบความผิด พิพากษายกฟ้อง แต่คดีนี้มีประเด็นวินิจฉัยเพียงว่า จำเลยทำสัญญากู้และรับเงินกู้ไปจากโจทก์หรือไม่ จำเลยผิดสัญญาหรือไม่ ดังนี้ คดีนี้ เมื่อโจทก์ได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ในสัญญากู้แล้ว กรณีจึงมิใช่ประเด็นที่วินิจฉัย โดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญา และในคดีก่อนศาลวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยขาดองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 เพราะเป็นหนี้ ที่ไม่อาจบังคับได้ตามกฎหมาย แต่คดีนี้มีประเด็นวินิจฉัยว่า จำเลยทำสัญญากู้และรับเงินกู้จากโจทก์หรือไม่ จำเลยผิดสัญญาหรือไม่ ซึ่งประเด็นเหล่านี้ยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดจึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำอันจะต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5959/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าลิสซิ่งกับสัญญาค้ำประกัน: การใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมายและการปิดอากรแสตมป์
สัญญาให้เช่าทรัพย์สินแบบลิสซิ่งที่พิพาทมีข้อความและรายละเอียดเช่นสัญญาเช่าทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยไม่มีข้อความตอนใดแสดงว่าคู่สัญญาได้ตกลงซื้อหรือเช่าซื้อทรัพย์สินที่เช่าและไม่ปรากฏว่าค่าเช่าที่ชำระให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาทรัพย์สินที่เช่าแม้จะมีข้อตกลงที่ให้ผู้เช่ามีสิทธิเลือกซื้อทรัพย์สินที่เช่าก็เป็นเพียงคำมั่นจะขายทรัพย์สินที่เช่าให้แก่ผู้เช่า หากผู้เช่าประสงค์จะซื้อในอนาคตโดยเสนอราคาจะขายไว้ล่วงหน้า สัญญาให้เช่าทรัพย์สินแบบลิสซิ่งที่พิพาทจึงเป็นสัญญาเช่าทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 537
บัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากรฯ ลักษณะแห่งตราสาร 1 กำหนดให้สัญญาเช่าที่ดิน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นหรือแพเท่านั้นที่ต้องปิดอากรแสตมป์ สัญญาให้เช่าทรัพย์สินแบบลิสซิ่งที่พิพาทเป็นสัญญาเช่าทรัพย์สินประเภทรถยนต์ จึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรฯ มาตรา 118
สัญญาค้ำประกันพิพาทเป็นการค้ำประกันสำหรับกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินไว้ต้องปิดอากรแสตมป์ 10 บาท ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากรฯ ลักษณะแห่งตราสาร 17(ก) โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกัน เมื่อสัญญาค้ำประกันที่โจทก์นำสืบเป็นพยานหลักฐานมิได้ปิดอากรแสตมป์ จึงไม่อาจใช้สัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานฟังว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นผู้ค้ำประกันตามประมวลรัษฎากรฯ มาตรา 118 เป็นผลให้โจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการค้ำประกันเป็นหนังสือที่จะฟ้องร้องให้จำเลยที่ 2และที่ 3 รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันได้
บัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากรฯ ลักษณะแห่งตราสาร 1 กำหนดให้สัญญาเช่าที่ดิน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นหรือแพเท่านั้นที่ต้องปิดอากรแสตมป์ สัญญาให้เช่าทรัพย์สินแบบลิสซิ่งที่พิพาทเป็นสัญญาเช่าทรัพย์สินประเภทรถยนต์ จึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรฯ มาตรา 118
สัญญาค้ำประกันพิพาทเป็นการค้ำประกันสำหรับกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินไว้ต้องปิดอากรแสตมป์ 10 บาท ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากรฯ ลักษณะแห่งตราสาร 17(ก) โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกัน เมื่อสัญญาค้ำประกันที่โจทก์นำสืบเป็นพยานหลักฐานมิได้ปิดอากรแสตมป์ จึงไม่อาจใช้สัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานฟังว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นผู้ค้ำประกันตามประมวลรัษฎากรฯ มาตรา 118 เป็นผลให้โจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการค้ำประกันเป็นหนังสือที่จะฟ้องร้องให้จำเลยที่ 2และที่ 3 รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันได้