พบผลลัพธ์ทั้งหมด 97 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3081/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประพฤติเนรคุณและการหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้เรียกคืนที่ดินได้
โจทก์เป็นมารดาจำเลยได้ยกที่ดินให้จำเลย และให้จำเลยยืมเงินอีกจำนวนหนึ่ง ต่อมาโจทก์ไปทวงเงินที่ให้ยืมคืน จำเลยไม่ยอมคืนกลับด่าโจทก์ว่า อีสำเพ็ง อีหัวหงอก กูไม่ให้ อยากจะได้ให้ไปฟ้องเอาถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) อันเป็นการประพฤติเนรคุณโจทก์เรียกถอนคืนการให้ที่ดินได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5952/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นเนรคุณและการให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีพ: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นหมิ่นประมาทนอกประเด็นข้อพิพาท
ปัญหาว่า โจทก์เป็นคนยากไร้ซึ่งต้องการสิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตจากจำเลยหรือไม่ เป็นปัญหาที่อยู่ในประเด็นข้อพิพาทซึ่งศาลกำหนดไว้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณดังโจทก์กล่าวอ้างหรือไม่
ตามคำฟ้อง โจทก์กล่าวอ้างแต่เพียงว่าจำเลยบอกปัดไม่ให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ในเวลาที่โจทก์ยากไร้และยังสามารถจะให้ได้เท่านั้น ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงนั้นจึงเป็นการนำสืบนอกประเด็น และมิใช่ข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ตามคำฟ้อง โจทก์กล่าวอ้างแต่เพียงว่าจำเลยบอกปัดไม่ให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ในเวลาที่โจทก์ยากไร้และยังสามารถจะให้ได้เท่านั้น ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงนั้นจึงเป็นการนำสืบนอกประเด็น และมิใช่ข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4307/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขัดแย้ง: การให้กรรมสิทธิ์ร่วมโดยเสน่หาแล้วขอถอนคืนเนื่องจากเนรคุณ เป็นฟ้องที่ไม่ชัดเจน
คำฟ้องโจทก์ตอนแรกบรรยายว่า โจทก์มีความประสงค์ให้ กำลังใจจำเลยเพื่อให้มุมานะ ในการศึกษา จึงได้ยอมจดทะเบียนลงชื่อ โจทก์กับจำเลยร่วมกันเป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้อง หมายความว่า โจทก์ ให้จำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินตามฟ้องโดยเสน่หา แต่คำฟ้อง ของโจทก์ตอนต่อมาบรรยายว่า ที่ดินตามฟ้องโจทก์ลงชื่อจำเลย ร่วมไว้โดยเสน่หา ทั้งยังไม่ได้ให้ โดยเด็ดขาด เพียงลงชื่อไว้แทนชั่วคราว และโจทก์ยังคงยึดถือครอบครองที่ดินนี้อย่างเป็นเจ้าของตลอดมา หมายความว่า โจทก์ยัง ไม่ได้ยกที่ดินให้จำเลยเด็ดขาด เพราะโจทก์ยังคงครอบครองเป็น เจ้าของแต่ผู้เดียว ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของร่วมในที่ดิน ที่โจทก์ยกให้ จึงเป็นฟ้องที่ขัดกันและเป็นฟ้องที่ไม่แสดงโดยแจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาไม่ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3031/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เนรคุณและการถอนคืนการให้: การใช้คำพูดดูหมิ่นและหมิ่นประมาทมารดาถือเป็นเนรคุณ
ที่จำเลยด่าโจทก์ว่า "อี หัวอ่อน มึงทำไปเถอะ เดี๋ยวมึงก็ตาย มึงขโมยวัดที่ดินกู กูจะสู้มึง ถึงไม่ได้สักหน่อยกูก็จะเอา กูไม่นับถือมึงหรอก" นั้น จำเลยใช้คำพูดขึ้นมึงกูกับโจทก์ซึ่งเป็นมารดาของตนเอง แสดงว่าสิ้นความเคารพนับถือยำเกรงอยู่แล้ว ทั้งยังกล่าวถ้อยคำหาว่าโจทก์ขโมยวัดที่ดินของจำเลย ถือได้ว่าเป็นการกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง และทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง อันเป็นการประพฤติเนรคุณตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) โจทก์จึงถอนคืนการให้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3031/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประพฤติเนรคุณด้วยคำพูดดูหมิ่นและหมิ่นประมาท ถือเป็นเหตุให้ผู้ให้ถอนคืนการให้ได้
ที่จำเลยด่าโจทก์ว่า "อี หัวอ่อน มึงทำไปเถอะเดี๋ยว มึงก็ตายมึงขโมยวัดที่ดินกู กูจะสู้มึง ถึงไม่ได้สักหน่อยกูก็จะเอา กูไม่นับถือมึงหรอก" นั้น จำเลยใช้คำพูดขึ้นมึงกูกับโจทก์ซึ่งเป็นมารดาของตนเอง แสดงว่าสิ้นความเคารพนับถือยำเกรงอยู่แล้วทั้งยังกล่าวถ้อยคำหาว่าโจทก์ขโมยวัดที่ดินของจำเลย ถือได้ว่าเป็นการกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง และทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง อันเป็นการประพฤติเนรคุณตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 531(2)โจทก์จึงถอนคืนการให้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2209/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนคืนการให้โดยเสน่หาเนื่องจากผู้รับมีการประพฤติเนรคุณต่อผู้ให้
โจทก์ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ของจำเลยได้ยกที่ดินให้จำเลยโดยเสน่หา โจทก์จึงเป็นผู้มีบุญคุณต่อจำเลยที่จำเลยพึงต้องเคารพ เมื่อโจทก์ไปหาจำเลยเพื่อขอเงินมาใช้จ่ายส่วนตัวเพราะโจทก์ไม่มีเงิน จำเลยกลับขับไล่โจทก์ออกจากบ้านและพูดว่า "อีแก่อย่ามาหาอีก" การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ถือได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ โจทก์ถอนคืนการให้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2209/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการให้โดยเสน่หาเนื่องจากผู้รับมีพฤติกรรมเนรคุณและหมิ่นประมาทผู้ให้
โจทก์ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ของจำเลยได้ยกที่ดินให้จำเลยโดยเสน่หา โจทก์จึงเป็นผู้มีบุญคุณต่อจำเลยที่จำเลยพึงต้องเคารพเมื่อโจทก์ไปหาจำเลยเพื่อขอเงินมาใช้จ่ายส่วนตัวเพราะโจทก์ไม่มีเงิน จำเลยกลับขับไล่โจทก์ออกจากบ้านและพูดว่า "อีแก่อย่ามาหาอีก" การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงถือได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ โจทก์ถอนคืนการให้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 87/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การให้โดยเสน่หา vs. มีค่าภารติดพัน และการถอนคืนการให้เนื่องจากเนรคุณ
การที่โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยผู้เป็นบุตรโดยมีเงื่อนไขว่าจำเลยต้องส่งข้าวเปลือกให้โจทก์ปีละ 10 ถังนั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการให้ทรัพย์สินโดยมีค่าภารติดพันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 528 แต่เป็นการยกให้โดยเสน่หา เพราะค่าภารติดพันในที่ดินต้องเป็นภารติดพันเกี่ยวกับตัวที่ดินเองโดยตรง ไม่ใช่ภารติดพันนอกตัวทรัพย์ โจทก์ซึ่งมีตัวโจทก์เพียงคนเดียวมีที่ดิน 3 ไร่เศษ ได้ข้าวปีละกว่า 100 ถัง ย่อมมีฐานะไม่ถึงกับเป็นผู้ยากไร้ ตรงข้ามกับจำเลยซึ่งมีบุตรถึง 10 คน มีที่ดินที่พิพาทแปลงเดียวเนื้อที่เพียงประมาณ 5 ไร่ ได้ข้าวปีละ 140-150 ถัง และไม่มีรายได้อื่นซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ยากไร้ จำเลยย่อมไม่อยู่ในฐานะที่จะจุนเจือผู้อื่นได้อีก และไม่ปรากฏว่าจำเลยด่าโจทก์หรือหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง กรณีจึงไม่มีเหตุที่จำเลยซึ่งเป็นผู้รับประพฤติเนรคุณอันจะถอนคืนการให้ได้ตามมาตรา 531(2)(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4105/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประพฤติเนรคุณและการหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้ถอนคืนการให้ได้
โจทก์พูดห้ามปรามมิให้จำเลยขายที่ดินที่โจทก์ยกให้ จำเลยชี้หน้าด่าโจทก์ด้วยเสียงอันดังว่า "อีเฒ่า หน้าด้าน อีเฒ่า หน้าหมาอีเฒ่า หมาแม่ ไม่นับถือว่ามึงเป็นแม่กูหรอกจะไปตายที่ไหนก็ไปกูบ่เลี้ยงมึงแล้ว กูจะขายมึงอยากได้ให้ไปฟ้องเอา" การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) อันเป็นการประพฤติเนรคุณที่โจทก์จะเรียกถอนคืนการให้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2399/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องค่าจ้างว่าความ & ฟ้องแย้งเหตุเนรคุณไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม
เมื่อมีข้อตกลงกันว่า ถ้าโจทก์ฟ้องคดีให้จำเลยได้เงินจำนวน10 ล้านบาท จำเลยจะต้องจ่ายเงินค่าจ้างว่าความให้แก่โจทก์จำนวน1 ล้านบาท ภายหลังที่คดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว สิทธิเรียกร้องในค่าจ้างว่าความของโจทก์ก็ย่อมเริ่มนับตั้งแต่วันที่จำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวเป็นต้นไป เมื่อนับถึงวันยื่นฟ้องเลยระยะเวลา 2 ปีคดีของโจทก์ย่อมขาดอายุความ แม้ก่อนหน้านั้นจำเลยได้ชำระค่าจ้างว่าความให้โจทก์เป็นเช็คซึ่งเป็นการรับสภาพหนี้ อายุความย่อมสะดุดหยุดลงและเริ่มต้นนับกันใหม่นับตั้งแต่วันที่ระบุในเช็คอันเป็นวันที่โจทก์สามารถบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปแต่เมื่อนับถึงวันฟ้องก็ล่วงเลยระยะเวลา 2 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ฟ้องเดิมของโจทก์เป็นเรื่องที่ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระค่าจ้างว่าความที่ค้าง เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธ คดีจึงมีประเด็นเพียงว่าจำเลยยังคงค้างชำระค่าจ้างว่าความอยู่จริงหรือไม่ การที่จำเลยฟ้องแย้งขอเรียกทรัพย์คืนโดยอ้างเหตุเนรคุณเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นแตกต่างไปจากฟ้องเดิมของโจทก์ที่ขอบังคับตามสัญญาจ้างว่าความ หาได้เกี่ยวข้องกับสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาที่โจทก์อ้างความผูกพันอันจำเลยจะต้องรับผิดไม่ หากจำเลยเห็นว่าเงินที่มอบให้โจทก์ไปนั้นความจริงเป็นการให้โดยเสน่หา และการกระทำของโจทก์เป็นการประพฤติเนรคุณ อันเป็นต้นเหตุให้จำเลยมีสิทธิถอนคืนการให้ได้แล้ว ก็ชอบที่จำเลยจะไปว่ากล่าวเป็นคดีอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่อาจรับไว้พิจารณารวมกับฟ้องเดิมได้