คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เพิกถอนกระบวนพิจารณา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 62 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 321/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ แม้ยื่นหลังมีคำพิพากษา หากเพิ่งทราบข้อผิดพลาดภายหลัง
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสองที่ให้คู่ความฝ่ายที่เสียหายยกข้อค้านเรื่องผิดระเบียบขึ้นกล่าวได้ในเวลาใด ๆ ก่อนมีคำพิพากษาแต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นจะใช้กับกรณีที่คู่ความฝ่ายที่เสียหายเพิ่งทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างของการผิดระเบียบนั้นภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วหาได้ไม่ เพราะเป็นการฝ่าฝืนธรรมชาติที่จะบังคับให้คู่ความฝ่ายที่เสียหายจากกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบยื่นคำร้อง ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาเสียก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาโดยที่ตนยังไม่ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น จำเลยยื่นคำร้องอ้างว่าไม่มีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลย จำเลยไม่ได้มอบอำนาจให้นาง ร.ดำเนินคดีแทนทั้งนางร.ไม่ได้ตั้งให้นาย ม. เป็นทนายความ แต่นาย ม. ได้ดำเนินกระบวนพิจารณาในฐานะทนายความตลอดมาเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นหลงผิดดำเนินกระบวนพิจารณาไปจนมีคำพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี ดังนี้ย่อมเห็นได้ชัดว่ากระบวนพิจารณาและคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นการไม่ชอบ จำเลยซึ่งได้รับความเสียหายจึงชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นให้เพิกถอนการพิจารณาที่ศาลชั้นต้นดำเนินไปโดยผิดระเบียบนั้นเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 320/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ศาลต้องพิจารณาเมื่อคู่ความไม่ทราบข้อผิดพลาดก่อนมีคำพิพากษา
บทบัญญัติมาตรา 27 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ที่ว่าการร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาผิดระเบียบต้องยื่นก่อนมีคำพิพากษานั้น ใช้กับกรณีที่คู่ความฝ่ายที่เสียหายได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์ อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างของการผิดระเบียบก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเท่านั้น จำเลยไม่เคยทราบว่าตนถูกฟ้องทั้งปรากฏว่ามีผู้แอบอ้างเป็นจำเลยเข้ามาดำเนินคดีในฐานะจำเลย ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยเพิ่งทราบภายหลังจากศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้ว ดังนี้จำเลยย่อมชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นให้เพิกถอนการพิจารณาที่ศาลชั้นต้นดำเนินไปโดยผิดระเบียบได้ตามมาตรา 27 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 320/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบหลังมีคำพิพากษา: การแจ้งหมายเรียกและอำนาจทนายความ
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว โดยอ้างว่าไม่มีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 มิได้มอบอำนาจให้มารดาดำเนินคดีแทนทั้งมารดาจำเลยที่ 1ก็ไม่เคยตั้งทนายความให้ดำเนินคดีแต่ประการใด ดังนี้ หากข้อเท็จจริงเป็นดังคำร้องของจำเลยที่ 1 กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นย่อมเป็นการไม่ชอบเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นหลงผิด มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 แพ้คดี จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27วรรคแรก กรณีไม่ต้องห้ามตาม มาตรา 27 วรรคสอง เพราะจำเลยที่ 1เพิ่งทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างของการผิดระเบียบนั้นภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3252/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนกระบวนพิจารณาหลังมีคำพิพากษาและการขอพิจารณาคดีใหม่จำกัดเฉพาะกรณีขาดนัด
การที่จะขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 นั้น ต้องขอก่อนศาลมีคำพิพากษา ส่วนการขอให้พิจารณาใหม่หลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้ว ต้องเป็นเรื่องแพ้คดีเพราะขาดนัดพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 207 จำเลยอ้างว่า ไม่เคยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ไม่ได้แต่งทนาย สัญญาประนีประนอมยอมความตามที่ทนายความทำแทนไม่ผูกพันจำเลย คำพิพากษาตามยอมไม่อาจบังคับได้ ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นเวลาหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมแล้ว และมิใช่เป็นการพิจารณาคดีโดยขาดนัดพิจารณา จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น และไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาคดีใหม่ หากจำเลยได้รับความเสียหายอย่างไรก็ย่อมมีสิทธิฟ้องบุคคลที่เกี่ยวข้องขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีนี้ไม่ผูกพันตนได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3252/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนกระบวนพิจารณาหลังมีคำพิพากษา และผลผูกพันสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยต้องดำเนินการก่อนมีคำพิพากษา
ที่จำเลยอ้างว่าไม่เคยได้รับหมายเรียกและสำเนาฟ้อง ไม่ได้แต่งทนายความ สัญญาประนีประนอมยอมความที่ทนายความทำแทนจำเลยไม่ผูกพันจำเลย คำพิพากษาตามยอมไม่อาจบังคับจำเลยได้ ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นดังกล่าวซึ่งเป็นเวลาหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมแล้วและมิใช่จำเลยแพ้คดีเพราะขาดนัดพิจารณาจำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น และ ขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ หากจำเลยได้รับความเสียหายอย่างไรก็ย่อมมีสิทธิฟ้องบุคคลที่เกี่ยวข้อง ขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีนี้ไม่ผูกพันตนได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1065/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีแพ่งเนื่องจากจำเลยไม่ยื่นคำให้การ ศาลควรให้โอกาสโจทก์ขอคำสั่งขาดนัด
ศาลประกาศวันนัดให้จำเลยยื่นคำให้การและวันนัดสืบพยานโจทก์ทางหนังสือพิมพ์ ครั้นถึงวันนัดโจทก์นำพยานเข้าสืบ 1 ปากและส่งเอกสาร 13 ฉบับ แล้วขอเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ที่เหลือ ครั้นถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ต่อ ศาลชั้นต้นตรวจ สำนวนพบว่า จำเลยยังไม่ได้ยื่นคำให้การ และโจทก์ก็ไม่ได้ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จึงมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาในวันนัดสืบพยานครั้งแรกเสีย และให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความกรณีเห็นได้ ว่าโจทก์ได้ มาดำเนิน กระบวนพิจารณาตาม นัดทุกครั้ง แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะดำเนิน คดีต่อไป ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาและให้จำหน่ายคดี เป็นการไม่ชอบ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1865/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขาดนัดยื่นคำให้การ – เพิกถอนกระบวนพิจารณา – เช็คไม่ถึงกำหนดชำระ – ฟ้องบังคับได้
ในกรณีที่ศาลสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ให้นัดสืบพยานโจทก์ เมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายมาศาลแต่ก็มิได้แจ้งให้ศาลทราบเสียก่อนเริ่มสืบพยานถึงเหตุที่ตนมิได้ยื่นคำให้การตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 199 วรรคแรก กลับปล่อยให้ศาลสืบพยานโจทก์ไปจนหมดแล้วจะมายื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาและรับคำให้การจำเลยไม่ได้ เพราะพ้นเวลาที่กฎหมายอนุญาตตามมาตรา 199วรรคแรกแล้ว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็ค 2 ฉบับโดยบรรยายว่าทวงถามให้จำเลยชำระเงินตามเช็คทั้งสองฉบับแล้ว จำเลยเพิกเฉยไม่ยอมชำระเงินให้โจทก์ ในชั้นพิจารณาจำเลยก็เบิกความปฏิเสธหนี้ตามเช็คฉบับหลัง และปรากฏว่าโจทก์นำเช็คฉบับแรกไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโดยว่าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยปิดแล้ว แสดงว่าธนาคารผู้จ่ายได้งดเว้นการใช้หนี้ตามเช็คของจำเลยต่อไปแล้ว โจทก์ย่อมฟ้องบังคับให้จำเลยชำระเงินตามเช็คทั้ง 2 ฉบับได้ แม้เช็คฉบับหลังนั้นจะยังไม่ถึงกำหนดชำระตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 959 และ 989

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1416/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำให้การและการเพิกถอนกระบวนพิจารณา ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ
เหตุที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งตามที่กล่าวไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 นั้น ศาลสูงจะหยิบยกขึ้นอ้างตามมาตรานี้ได้ จะต้องมีเหตุอันสมควร เช่นว่า ทำให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเสียหายในการต่อสู้คดีเป็นต้น
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้รับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ (มีคำฟ้องแย้งติดมาด้วย) โดยมิได้ให้โอกาสแก่โจทก์เป็นระยะเวลาตามที่มาตรา 181 กำหนดไว้นั้น ถ้าโจทก์ไม่พอใจก็ชอบที่จะคัดค้านไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 แต่กลับปรากฏว่าโจทก์ยื่นคำแก้คำให้การเพิ่มเติมและฟ้องแย้ง แสดงว่าโจทก์ไม่ติดใจแม้ในอุทธรณ์ของโจทก์ก็มิได้กล่าวถึงเรื่องนี้ รูปคดีไม่น่าจะเห็นว่าทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ไม่ควรหยิบยกเหตุนี้ขึ้นสั่งยกเลิกกระบวนพิจารณาบางส่วนของศาลชั้นต้น
คำฟ้องแย้งที่ติดมากับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การนั้นไม่ใช่คำร้องที่อยู่ในบังคับที่จะต้องส่งสำเนาให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งทราบล่วงหน้าก่อนสั่งรับคำร้องนั้น
คำสั่งศาลที่ให้รับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2498/2559

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ล้มละลาย: การพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2, การเพิกถอนกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับจำเลยที่ 5, และการพิสูจน์ความมีหนี้สินล้นพ้นตัวของจำเลยที่ 3-4
โจทก์ฟ้องกองมรดกของจำเลยที่ 5 โดย ฐ. จำเลยที่ 4 ในฐานะทายาท จำเลยที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 5 มีบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นทายาทโดยธรรม ส่วนจำเลยที่ 4 เป็นเพียงพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับจำเลยที่ 5 ไม่มีหน้าที่แก้คดีแทน ตามคำให้การของจำเลยที่ 4 ปฏิเสธว่าจำเลยที่ 4 ไม่ใช่ทายาทหรือผู้จัดการมรดกหรือผู้ปกครองทรัพย์ของจำเลยที่ 5 ที่ตาย หรือว่าตนไม่ยอมรับฐานะเช่นนั้นตามกฎหมาย ศาลจึงต้องไต่สวนให้ได้ความดังกล่าวและมีคำสั่งตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 83 วรรคสอง แต่ศาลล้มละลายกลางมิได้ดำเนินการ คงพิจารณาสืบพยานโจทก์ไป จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ศาลฎีกาสมควรให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับจำเลยที่ 5 เสียตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคสอง ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 28 (เดิม) และให้ศาลล้มละลายกลางดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้องและมีคำพิพากษาใหม่เฉพาะจำเลยที่ 5
จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการในวันฟ้องคดี จำเลยที่ 2 จึงเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดซึ่งต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างจำเลยที่ 1 ไม่มีจำกัด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1070, 1077 (2) ประกอบ 1087 เมื่อศาลพิจารณาและได้ความว่าจำเลยที่ 1 มีหนี้สินล้นพ้นตัวและมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เด็ดขาด โดยที่ฟ้องของโจทก์มีคำขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 2 เด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลายแล้วเช่นนี้ โจทก์ไม่ต้องนำสืบว่าจำเลยที่ 2 มีหนี้สินล้นพ้นตัว ถือได้ว่าโจทก์มีคำขอให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดล้มละลายตามห้างจำเลยที่ 1 ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 89 โดยโจทก์ไม่จำต้องมีคำขอให้จำเลยที่ 2 ล้มละลายในภายหลังอีก
คดีนี้นับแต่เสร็จการพิจารณา ศาลล้มละลายกลางนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งวันที่ 13 ธันวาคม 2553 ครั้นถึงวันนัดจำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องอ้างว่าได้เจรจาขอประนอมหนี้กับโจทก์ และขอเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งออกไปอีกหลายนัด ครั้งสุดท้ายศาลล้มละลายกลางนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งวันที่ 19 ธันวาคม 2555 อันเป็นเวลาภายหลังเสร็จการพิจารณานานถึง 2 ปีเศษ ซึ่งเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ได้กระทำโดยเร็วตามที่ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9821/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนกระบวนพิจารณาต้องแจ้งภายใน 8 วันนับจากวันที่ทราบข้อเท็จจริงที่ทำให้เสียหาย มิฉะนั้นขาดสิทธิอ้าง
คำร้องของจำเลยฉบับลงวันที่ 28 มกราคม 2557 ที่ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้น ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคสอง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 บัญญัติให้คู่ความฝ่ายที่เสียหายอาจยกขึ้นกล่าวอ้างได้ไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนมีคำพิพากษา แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น ตามคำร้องของจำเลยดังกล่าวอ้างว่า เจ้าหน้าที่ศาลส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้จำเลยไม่ชอบเพราะบ้านของจำเลยซึ่งเป็นภูมิลำเนาตามฟ้องยังไม่ได้รื้อถอนและจำเลยพักอาศัยอยู่ที่บ้านดังกล่าวตลอดมา อันเป็นการยกข้ออ้างที่ทำให้จำเลยไม่ทราบว่าศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ออกหมายจับจำเลยและอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม แต่การที่จำเลยเพิ่งทราบเรื่องดังกล่าว จำเลยก็ชอบที่จะยกข้อคัดค้านในเรื่องผิดระเบียบดังกล่าวขึ้นกล่าวอ้างภายในเวลาไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่จำเลยได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นด้วย ข้อเท็จจริงตามคำร้องปรากฏว่าเมื่อประมาณต้นเดือนธันวาคม 2556 จำเลยทราบจากเจ้าหน้าที่เรือนจำจังหวัดภูเก็ตว่า จำเลยแพ้คดีโดยศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำพิพากษาตั้งแต่ต้นปี 2556 และต่อมาประมาณต้นเดือนมกราคม 2557 จำเลยให้ทนายความติดตามรายละเอียดของสำนวนคดีจึงทราบว่า การส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้จำเลยไม่ชอบ จึงฟังได้ว่าจำเลยได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างในเรื่องผิดระเบียบตามคำร้องดังกล่าวของจำเลยจากทนายความตั้งแต่ประมาณต้นเดือนมกราคม 2557 แล้ว เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่อ้างว่าผิดระเบียบเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2557 จึงช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่จำเลยได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นแล้ว จำเลยย่อมหมดสิทธิยกขึ้นอ้าง
of 7