พบผลลัพธ์ทั้งหมด 37 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 504/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
วัตถุพยานไม่จำเป็นต้องส่งศาล หากศาลล่างพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นพ้องกัน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 241 มิได้เป็นบทบัญญัติบังคับให้จำต้องนำวัตถุพยานมาส่งศาลเสมอไปฉะนั้นเมื่อศาลล่างทั้ง 2 ได้พิจารณาพยานบุคคลประกอบด้วยพยานเอกสารแล้ว ฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่าของกลางเป็นฝิ่นแล้ว คู่ความจะฎีกาคัดค้านไม่ได้ ในเมื่อคดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 841/2486 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ไม่จำเป็นต้องระบุข้อหาและคำให้การ
ฟ้องอุธรน์ ไม่จำต้องกล่าวถึงข้อหาและคำไห้การเพราะไม่มีกดหมายบัญญัติบังคับไว้เช่นนั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 633/2485
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งเอกสารหลักฐานการสอบสวนประกอบคำเบิกความพยานผู้เชี่ยวชาญ ไม่จำเป็นต้องส่งสำเนาให้จำเลย
จำเลยไม่ได้ต่อสู้ว่าของกลางไม่ใช่ฝิ่น. โจทก์ไม่จำต้องส่งฝิ่นของกลางเป็นพยาน. โจทก์ระบุในบัญชีพยานว่า. อ้างสรรพเอกสารการสอบสวนในสำนวนการสอบสวนดังนี้. โจทก์ส่งรายงานพิสูจน์ฝิ่นซึ่งเป็นเอกสารในการสอบสวนได้โดยถือว่าได้ระบุอ้างแล้ว. โจทก์ส่งเอกสารนี้ประกอบคำเบิกความของพยานผู้ตรวจพิสูจน์ฝิ่นได้โดยไม่ต้องส่งสำเนาให้จำเลยทราบก่อนเพราะไม่ใช่เรื่องศาลสั่งให้ผู้ชำนาญทำความเห็น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2483
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาโดยไม่ต้องชัณสูตรพลิกศพ หากเจ้าพนักงานเห็นว่าไม่จำเป็นหรือเป็นอันตรายต่ออนามัย
พนักงานอัยยการมีสิทธินำคดีขึ้นฟ้องได้โดยไม่ต้องมีการชัณสูตร์พลิกศพในเมื่อเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองเห็นว่าไม่จำเป็นหรือจะเป็นอันตรายแก่อนามัยของประชาชน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 146/2482
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ของกลางไม่จำเป็นต้องนำส่งศาล เพียงพยานบุคคลเพียงพอลงโทษได้
ของกลางที่เจ้าพนักงานจับได้จากจำเลย โจทย์ไม่จำต้องอ้างนำส่งศาล การพิจารณาคดีแม้โจทย์จะสืยเพียงพะยานบุคคลเท่านั้นหากเป็นการเพียงพอก็ลงโทษได้ ไม่จำต้องมีของกลางหรือวัตถุพะยาน อ้างฎีกาที่ 619/2479
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1077/2479
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าโดยมีสาเหตุโกรธเคืองก่อนเกิดเหตุ ไม่จำเป็นต้องบรรยายสาเหตุในฟ้อง
จำเลยยิงผู้ตายถึงแก่ความตายโดยโจทก์สืบสาเหตุได้ว่าเมื่อก่อนเกิดเหตุประมาณ 1 เดือนจำเลยกับผู้ตายได้เกิดทะเลาะโต้เถียงด่ากัน ดังนี้ต้องมีผิดตาม ม.250 ข้อ 3 ประมวลวิธีพิจารณาอาญา ม.158 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ม.250 โดยกล่าวว่าจำเลยฆ่าเขาด้วยความพยายามด้วยความพยาบาทมาดหมายดังนี้ก็เพียงพอแล้ว หาจำเป็นต้องบรรยายสาเหตุมาในฟ้องด้วยไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7423/2551 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: ผู้ร้องไม่จำเป็นต้องบรรยายสถานะบุคคลภายนอกของผู้คัดค้านในคำร้อง
ในชั้นยื่นคำร้องขอครอบครองปรปักษ์นั้น ผู้ร้องทั้งสองเพียงแต่บรรยายให้ปรากฏว่าผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบ โดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา 5 ปี หรือ 10 ปี แล้วแต่กรณี ก็ถือว่าเป็นคำร้องที่ได้บรรยายโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามมาตรา 172 วรรคสอง แห่ง ป.วิ.พ. แล้ว ส่วนผู้คัดค้านจะเป็นบุคคลภายนอกและได้ทรัพย์ที่ผู้ร้องทั้งสองร้องขอครอบครองปรปักษ์มาโดยสุจริตหรือไม่ไม่ใช่สภาพแห่งข้อหาหรือข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ผู้ร้องทั้งสองจึงไม่จำต้องบรรยายมาในคำร้องขอ การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานผู้ร้องทั้งสองและพยานผู้คัดค้านแล้ววินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่าผู้ร้องทั้งสองมิได้บรรยายให้ปรากฏในคำร้องว่า ผู้คัดค้านมิใช่บุคคลภายนอก และซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทโดยไม่สุจริต ผู้คัดค้านจึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 6 ว่ากระทำการโดยสุจริต ผู้ร้องทั้งสองจึงไม่อาจยกเรื่องการครอบครองปรปักษ์ซึ่งยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ขึ้นยันผู้คัดค้านซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วได้แล้วพิพากษายกคำร้องขอ จึงเป็นการไม่ชอบ
แม้ตามอุทธรณ์และฎีกาจะขอให้ศาลสูงพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลล่างก็ตาม แต่เมื่อผลของคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 และศาลฎีกามีผลเพียงให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีหรือไม่เท่านั้น จึงเป็นการขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันมิอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ดังนั้น จึงให้คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท แก่ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้าน
แม้ตามอุทธรณ์และฎีกาจะขอให้ศาลสูงพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลล่างก็ตาม แต่เมื่อผลของคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 และศาลฎีกามีผลเพียงให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีหรือไม่เท่านั้น จึงเป็นการขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันมิอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ดังนั้น จึงให้คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท แก่ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้าน