พบผลลัพธ์ทั้งหมด 100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2810/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากฎีกาไม่ชัดเจนและไม่เป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษา
ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นเรื่องโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นคือกล่าวว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้อง เป็นการคลาดเคลื่อนต่อข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงแต่มิได้กล่าวถึงคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยทั้งสองฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลที่กำหนดให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อนว่าไม่ถูกต้องนั้น เป็นฎีกาข้อกฎหมาย แต่ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลเป็นอย่างอื่น จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2705/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพที่ไม่ชัดเจนและการสืบพยาน: ศาลไม่สามารถลงโทษฐานความผิดที่ไม่ปรากฏจากการสืบพยานได้
โจทก์ฟ้องจำเลยว่าได้ร่วมกันลักลอบนำเลื่อยโซ่ยนต์ที่ยังมิได้เสียภาษีและมิได้ผ่านศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักร หรือจำเลยได้ร่วมกันซื้อรับจำนำ ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่ายหรือรับไว้ซึ่งเลื่อยดังกล่าว โดยรู้ว่าเป็นของที่ลักลอบหนีศุลกากร เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ หากโจทก์เห็นว่าคำให้การดังกล่าวไม่ชัดแจ้งว่าจำเลยรับสารภาพในความผิดฐานใด โจทก์ชอบที่จะคัดค้านหรือแถลงขอสืบพยานต่อไป เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานจึงลงโทษจำเลยไม่ได้คดีไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่ (หมายถึงย้อนไปจดคำให้การให้ชัดเจนใหม่)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1965/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชัดเจน การโต้แย้งค่าเสียหายและอำนาจฟ้อง ต้องระบุรายละเอียดข้อผิดพลาดของศาลล่าง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดในค่าเสียหาย 4 รายการ รายการแรกเป็นค่าขาดประโยชน์ 30,000 บาทรายการที่ 2 ค่าเสื่อมราคารถยนต์ของโจทก์ที่ถูกชน 10,000 บาทรายการที่ 3 ค่าระวางพาหนะ 2,500 บาท และรายการที่ 4 ค่าเสียหายเกี่ยวกับสินค้าที่รับขน 41,358 บาท ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 กล่าวในฎีกาเพียงว่าศาลล่างกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์สูงเกินไปไม่ควรเกิน40,000 บาท นั้นไม่มีรายละเอียดว่ารายการไหนที่มีจำนวนสูงและสูงอย่างไร ถือไม่ได้ว่าเป็นฎีกาโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และที่กล่าวว่าโจทก์ได้รับของที่เสียหายไปแล้ว และทรัพย์สินเสียหายไม่มากนั้นก็ไม่ระบุว่าของหรือทรัพย์สินรายการใดที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยไม่ถูกต้องหรือควรกำหนดให้ต่ำลงมาอีกจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ส่วนที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่ารถพิพาทและจำเลยที่ 1 มิใช่รถและลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวว่าจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการเป็นผู้ครอบครองใช้ประโยชน์รถพิพาท จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถพิพาทในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ว่าไม่ถูกต้องหรือผิดพลาดอย่างไรจึงเป็นฎีกาไม่ชัดแจ้งเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 156/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การขัดแย้ง-ไม่ชัดเจน, ประเด็นข้อพิพาทไม่ถูกต้อง, สิทธิครอบครองที่ดิน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทขอให้ขับไล่ จำเลยให้การตอนแรกอ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยโจทก์ยกให้ แต่ให้การตอนหลังว่า หากที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยก็ครอบครองมากว่า 20 ปีแล้ว จึงพ้นกำหนดเวลาฟ้องเรียกคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 เช่นนี้เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งและขัดแย้งกันเองไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง แต่เป็นคำให้การที่เข้าใจได้ว่า จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์โดยสิ้นเชิง คดีจึงยังมีประเด็นข้อพิพาทว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ คดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนดเวลา 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทในข้อนี้และศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้นจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ประเด็นที่ว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่นั้นศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังไม่ได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1427/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องบังคับสัญญาซื้อขายและการเรียกร้องค่าเสียหายที่ไม่ชัดเจน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขายและใช้ค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนขายที่ดินและใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ฎีกาว่าจำเลยผิดสัญญาโดยเรื่องค่าเสียหาย โจทก์เพียงมีคำขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายมาในท้ายฎีกาเท่านั้น มิได้กล่าวอ้างมาในฎีกาว่าโจทก์ได้รับความเสียหายอย่างไรประเด็นเรื่องค่าเสียหายจึงเป็นฎีกาไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3317/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายที่ไม่ชัดเจนในฟ้อง: ศาลไม่รับวินิจฉัย
ค่าบริการ 200 เปอร์เซ็นต์ นอกจากค่าเสียหายอื่น ๆ ที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องจากจำเลยนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องกล่างมาในฟ้องโดยแจ้งชัดว่าหมายถึงค่าอะไร โจทก์เพิ่งจะมากล่าวรายละเอียดแห่งค่าบริการในชั้นฎีกา จำเลยทั้งสองก็ให้การต่อสู่คดีไว้ว่าไม่ทราบว่าเป็นค่าอะไร และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ป.พ.พ. มาตรา 438 วรรคแรกที่บัญญัติว่า ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น ให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดทางพิจารณาจะต้องได้ความเสียก่อนว่าเป็นค่าอะไร เป็นค่าเสียหายโดยตรงที่เกิดขึ้นจากการกระทำละเมิดของจำเลยหรือไม่เมื่อโจทก์ไม่ได้นำสืบพิสูจน์ไว้ให้ศาลเห็น ศาลจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจให้ถูกต้อง และเหมาะสมได้ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่กำหนด ค่าเสียหายในเรื่องนี้จึงถูกต้องแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3317/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายที่ไม่ชัดเจนและไม่อาจนำสืบได้ ศาลไม่อาจใช้ดุลพินิจกำหนดค่าเสียหายได้
ค่าบริการ 200 เปอร์เซ็นต์นอกจากค่าเสียหายอื่น ๆที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องจากจำเลยนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องกล่าวมาในฟ้องโดยแจ้งชัดว่าหมายถึงค่าอะไร โจทก์เพิ่งจะมากล่าวรายละเอียดแห่งค่าบริการในชั้นฎีกาจำเลยทั้งสองก็ให้การต่อสู้คดีไว้ว่าไม่ทราบว่าเป็นค่าอะไร และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรคแรกที่บัญญัติว่า ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้นให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดทางพิจารณาจะต้องได้ความเสียก่อนว่าเป็นค่าอะไรเป็นค่าเสียหายโดยตรงที่เกิดขึ้นจากการกระทำละเมิดของจำเลยหรือไม่เมื่อโจทก์ไม่ได้นำสืบพิสูจน์ไว้ให้ศาลเห็น ศาลจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจให้ถูกต้อง และเหมาะสมได้ที่ศาลอุทธรณ์ไม่กำหนดค่าเสียหายในเรื่องนี้จึงถูกต้องแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 270/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระบุตัวผู้กระทำผิดจากพยานหลักฐานที่ไม่ชัดเจนเพียงพอ ศาลฎีกายืนยกฟ้อง
วันเกิดเหตุเป็นคืนเดือนมืด ผู้เสียหายอ้างว่าจำเสียงของชายร่างเล็กที่สวมหมวกผ้าสีดำคลุมศีรษะและใบหน้าโดยโผล่ ให้เห็นเพียงลูกนัยน์ตาได้ว่าเป็นจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นคนรู้จักและเห็นหน้ามาก่อน ประกอบกับรูปร่างลักษณะของคนพูดก็ตรงกับจำเลยที่ 4 แต่ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายจำรูปร่างและน้ำเสียง ของจำเลยที่ 4 ได้โดยอาศัยหลักการสังเกตจากอะไร และจำเลยที่ 4 มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากบุคคลทั่วไปอย่างไร เพียงบอกว่ารูปร่างคุ้น ๆ เหมือนเคยเห็น หรือรูปร่างลักษณะตรงกับจำเลยที่ 4 โดยไม่ทราบว่าที่ว่าคุ้น ๆ นั้นคุ้นเช่นใด และตรงกับรูปร่างของจำเลยที่ 4 ในส่วนไหนแม้จำเลยที่ 4 จะเสนอใช้ค่าเสียหายแต่ก็มิได้ยอมรับว่าเป็นผู้กระทำผิดแต่อย่างใด ทั้งจำเลยที่ 4 เมื่อถูกจับก็ปฏิเสธมาตลอดและไม่ได้หลบหนีไปไหน ดังนี้ พยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยที่ 4 ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2461/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาที่ไม่ชัดเจนและฝ่าฝืนข้อกำหนดการยื่นพยานหลักฐาน ทำให้ศาลฎีกาไม่รับฟัง
จำเลยฎีกาว่า การดำเนินคดีของโจทก์เป็นการไม่สุจริตจะรับฟังตามคำเบิกความของพยานโจทก์ได้อย่างไรว่า จำเลยพึ่งล้อมรั้วและปักเสาคอนกรีตลงในที่ดินพิพาทในปลายปี 2530 อาจเป็นเดือนกรกฎาคม สิงหาคมหรือต้นเดือนกันยายนก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงโจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 28 กันยายน2531 คดีของโจทก์จะขาดอายุความ พยานโจทก์บางคนมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลย ฉะนั้นคำเบิกความของพยานโจทก์จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งนั้น เป็นฎีกาที่ไม่ได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างใด และข้อกฎหมายเป็นอย่างใด เพียงแต่เสนอความเห็นว่า น่าจะต้องรับฟังคำเบิกความของพยานโจทก์ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งเท่านั้น เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคแรก
การที่จำเลยยื่นสำเนาคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่331/2533 ของศาลชั้นต้นพร้อมเอกสารประกอบคดีท้ายฟ้องฎีกา เป็นการอ้างและยื่นพยานหลักฐานต่อศาลโดยฝ่าฝืน ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2) และไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาไม่รับฟังพยานหลักฐานนี้
การที่จำเลยยื่นสำเนาคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่331/2533 ของศาลชั้นต้นพร้อมเอกสารประกอบคดีท้ายฟ้องฎีกา เป็นการอ้างและยื่นพยานหลักฐานต่อศาลโดยฝ่าฝืน ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2) และไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาไม่รับฟังพยานหลักฐานนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3146/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่ดินเมื่อสิทธิครอบครองยังไม่ชัดเจน ไม่เป็นความผิดอาญา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกขนำในที่ดินของผู้เสียหายเมื่อข้อเท็จจริงตามที่โจทก์และจำเลยนำสืบ กรณีเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายกับจำเลยยังโต้เถียงสิทธิครอบครองในที่พิพาทกันอยู่ทั้งตามพยานหลักฐานที่นำสืบกันมายังฟังไม่ได้โดยแจ้งชัดว่าสิทธิครอบครองในที่พิพาทเป็นของฝ่ายใด การที่จำเลยเข้าไปปลูกขนำในที่พิพาทจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก