พบผลลัพธ์ทั้งหมด 51 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2658/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: ผลของการไม่ปฏิบัติตามสัญญาและการยกข้ออ้างภายหลังการไต่สวน
จำเลยกับโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลว่า จำเลยยอมให้โจทก์จดทะเบียนสิทธิการจำยอมเป็นถนนผ่านที่ดินจำเลย โดยโจทก์ต้องทำถนนให้เสร็จภายในเวลา 2 นับแต่วันที่ได้จดทะเบียนสิทธิภารจำยอม ถ้าไม่ทำจนพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวถือว่าสัญญาประนีประนอมยอมความยกเลิกไป และโจทก์จะต้องไปจดทะเบียนถอนภารจำยอมออกจากที่ดินดังกล่าว เมื่อต่อมาจำเลยยื่นคำร้องว่า โจทก์มิได้ทำถนนภายในกำหนดเวลาตามสัญญาศาลสอบถามโจทก์ โจทก์ยืนยันว่าได้ทำถนนภายในกำหนดเวลาตามสัญญาแล้ว ศาลจึงดำเนินการไต่สวนและเดินเผชิญสืบตรวจดูสถานที่ ได้ความว่า โจทก์ไม่ได้ทำถนนแต่อย่างใดเลยโจทก์กลับมายกข้ออ้างขึ้นใหม่ภายหลังที่เดินเผชิญสืบเสร็จการไต่สวนแล้วว่ามีบันทึกซึ่งจำเลยที่ 3 ทำขึ้นนอกศาลตกลงขยายเวลาทำถนนให้โจทก์ ซึ่งขัดกันที่โจทก์แถลงไว้เดิม จึงรับฟังไม่ได้ ศาลบังคับให้โจทก์ไปจดทะเบียนเพิกถอนภารจำยอมออกจากโฉนดที่ดินของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2658/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความและผลของการไม่ปฏิบัติตามสัญญา การเปลี่ยนแปลงข้อตกลงนอกศาลหลังการแถลงต่อศาล
จำเลยกับโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลว่า จำเลยยอมให้โจทก์จดทะเบียนสิทธิภารจำยอมเป็นถนนผ่านที่ดินจำเลยโดยโจทก์ต้องทำถนนให้เสร็จภายในเวลา 2 ปีนับแต่วันที่ได้จดทะเบียนสิทธิภารจำยอม ถ้าไม่ทำจนพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวถือว่าสัญญาประนีประนอมยอมความยกเลิกไป และโจทก์จะต้องไปจดทะเบียนถอนภารจำยอมออกจากที่ดินดังกล่าว เมื่อต่อมาจำเลยยื่นคำร้องว่า โจทก์มิได้ทำถนนภายในกำหนดเวลาตามสัญญาศาลสอบถามโจทก์ โจทก์ยืนยันว่าได้ทำถนนภายในกำหนดเวลาตามสัญญาแล้ว ศาลจึงดำเนินการไต่สวนและเดินเผชิญสืบตรวจดูสถานที่ ได้ความว่า โจทก์ไม่ได้ทำถนนแต่อย่างใดเลยโจทก์กลับมายกข้ออ้างขึ้นใหม่ภายหลังที่เดินเผชิญสืบเสร็จการไต่สวนแล้วว่ามีบันทึกซึ่งจำเลยที่ 3 ทำขึ้นนอกศาลตกลงขยายเวลาทำถนนให้โจทก์ ซึ่งขัดกับที่โจทก์แถลงไว้เดิม จึงรับฟังไม่ได้ ศาลบังคับให้โจทก์ไปจดทะเบียนเพิกถอนภารจำยอมออกจากโฉนดที่ดินของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำที่ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง จำเลยเพียงไม่ปฏิบัติตามสัญญา
ฟ้องของโจทก์ตามบันทึกคำฟ้องและบันทึกหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งอย่างไรที่โจทก์อ้างว่าจำเลยหลอกลวงว่าสามารถนำยาสีฟันไปจำหน่ายได้ ก็ปรากฏตามฟ้องโจทก์เองว่าจำเลยสามารถจำหน่ายยาสีฟันได้จริง จึงไม่เป็นการหลอกลวงแสดงข้อความอันเป็นเท็จ การที่จำเลยจำหน่ายยาสีฟันได้แล้วไม่นำเงินมาให้ผู้เสียหาย โจทก์ก็ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตที่จะไม่นำเงินที่จำหน่ายยาสีฟันได้มาให้ผู้เสียหายตั้งแต่แรก จึงเป็นเรื่องจำเลยไม่ปฏิบัติตามที่บอกผู้เสียหายไว้เท่านั้นกรณีเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 506/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: การไม่ปฏิบัติตามสัญญาทำให้สิทธิเรียกร้องสิ้นสุด และอำนาจทนายความในการดำเนินคดี
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยโจทก์จะต้องชำระเงินให้จำเลยภายในวันที่กำหนดแล้วจำเลยจึงจะโอนที่พิพาทให้โจทก์ ศาลพิพากษาตามยอมแล้ว เมื่อโจทก์ไม่ชำระเงินในวันดังกล่าว โจทก์จึงเป็นฝ่ายไม่ปฏิบัติตาม สัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่มีสิทธิขอให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้อีกต่อไป
ผู้ซึ่งจดทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นทนายความมีอำนาจแต่งฟ้อง ฟ้องอุทธรณ์ ฟ้องฎีกาให้แก่บุคคลอื่นได้ ตามพระราชบัญญัติ ทนายความพ.ศ.2508 มาตรา 36 จึงมีอำนาจเรียงคำฟ้องอุทธรณ์ให้แก่จำเลยได้โดยไม่จำเป็นต้องมีใบแต่งทนาย
ผู้ซึ่งจดทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นทนายความมีอำนาจแต่งฟ้อง ฟ้องอุทธรณ์ ฟ้องฎีกาให้แก่บุคคลอื่นได้ ตามพระราชบัญญัติ ทนายความพ.ศ.2508 มาตรา 36 จึงมีอำนาจเรียงคำฟ้องอุทธรณ์ให้แก่จำเลยได้โดยไม่จำเป็นต้องมีใบแต่งทนาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1409/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ซื้อไม่ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายที่ดิน สิทธิฟ้องบังคับสัญญาเป็นโมฆะ
ผู้จะซื้อไม่ไปรับโอนและชำระราคาที่ดินตามกำหนดสัญญาจึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับผู้ขายให้โอนขายที่ดินแก่ตนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1376/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายที่ดิน: ความรับผิดชอบการทำถนนสาธารณะและผลของการไม่ปฏิบัติตามสัญญา
จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งร่วมกันกับผู้มีชื่ออีก 5 คน ต่อมาจำเลยกับผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมได้ขอแบ่งแยกโฉนดเป็นของแต่ละคน และได้ตกลงกันตัดถนนทางด้านทิศเหนือของที่ดินที่ขอแบ่งแยกแต่ละแปลงไปออกยังถนนพหลโยธิน โจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินส่วนของจำเลยจากจำเลยและวางมัดจำไว้ โดยระบุในข้อสัญญาว่า ในกรณีที่มีการทำถนนร่วมกัน ทุกฝ่ายได้ตกลงกันว่า ผู้ที่มีที่ดินร่วมกันจะสละที่ดินให้เป็นสาธารณะ และช่วยกันลงทุนทำถนนร่วมกัน ในกรณีทำคอถนนเชื่อมกับถนนพหลโยธินทุกฝ่ายจะต้องลงทุนร่วมกันโดยเฉลี่ยทุนทรัพย์เท่ากัน ดังนี้ข้อสัญญาดังกล่าวเพียงแต่กล่าวว่า ผู้ที่มีที่ดินร่วมกันจะสละที่ดินทำถนนและลงทุนทำถนนกับคอถนน เชื่อมกับถนนพหลโยธินโดยเฉลี่ยทุนทรัพย์เท่าๆ กัน ไม่มีทางที่จะแปลไปได้ว่า จำเลยตกลงรับผิดชอบทำถนนตลอดสายเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นซึ่งมิได้ตกลงทำสัญญา และไปจดทะเบียนให้เป็นถนนสาธารณะด้วย ดังนั้น การที่เจ้าของร่วมคนหนึ่งสละที่ดินทำถนนแล้ว แต่ยังไม่ยอมให้ทำคอถนนในที่ดินส่วนของผู้นั้นไปเชื่อมกับถนนพหลโยธิน จึงถือมิได้ว่าจำเลยผิดสัญญา เมื่อโจทก์ปฏิเสธไม่ยอมรับซื้อที่ดินตามสัญญา โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยชอบที่จะริบมัดจำเสียได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1054/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เลิกสัญญาเช่าซื้อ: การคืนเงินค่าเช่าซื้อหลังจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา โดยหักค่าประโยชน์ที่โจทก์ได้รับ
กรณีที่ถือได้ว่าผู้เช่าและเจ้าของทรัพย์สินมีเจตนาเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกัน คู่สัญญาแต่ละฝ่ายต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 เงินที่ผู้เช่าชำระให้แก่เจ้าของทรัพย์สินเป็นค่าเช่าไปแล้วนั้นต้องหักค่าที่ผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าซื้อออกเสียก่อน ที่เหลือจึงคืนแก่ผู้เช่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2985/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิเสธความรับผิดในสัญญาซื้อขายเนื่องจากไม่มีหนังสือมอบอำนาจ และการกำหนดค่าเสียหายจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญา
ผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัทลงนามเป็นผู้ขายในนามของบริษัทเมื่อบริษัทได้รับเอาสัญญาที่ผู้จัดการฝ่ายขายลงนามไว้กับผู้ซื้อเป็นของบริษัทแล้ว ต่อมาบริษัทจะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าผู้จัดการฝ่ายขายลงนามเป็นผู้ขายในนามบริษัทโดยไม่มีหนังสือมอบอำนาจหาได้ไม่
สัญญาซื้อขายข้อ 7 ที่มีข้อความว่า "ถ้าผู้ขายไม่นำสิ่งของมาส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อให้ถูกต้องภายในกำหนดสัญญา ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นเงินร้อยละ 5 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้ส่ง โดยคิดเป็นรายเดือนจนกว่าผู้ขายจะได้นำสิ่งของนั้น ๆ มาส่งให้ผู้ซื้อจนครบถ้วนและถูกต้องตามสัญญา" นั้นเป็นเรื่องผู้ขายส่งมอบสิ่งของล่าช้ากว่ากำหนด ผู้ซื้อมีสิทธิปรับผู้ขายได้จนกว่าผู้ขายจะส่งมอบให้ผู้ซื้อครบถ้วนตามสัญญา แต่กรณีที่ผู้ขายส่งมอบสิ่งของให้ผู้ซื้อไม่ได้เลยนั้น ผู้ซื้อจะคำนวณเอาค่าปรับจากผู้ขายตามสัญญาข้อ 7 นี้ไม่ได้ การที่ผู้ซื้อตั้งมูลฟ้องให้บังคับผู้ขายตามสัญญาข้อ 7 พอจะแปลเจตนาของผู้ซื้อได้ว่า เพื่อจะคิดเป็นเกณฑ์กำหนดค่าเสียหายในการเลิกสัญญากับผู้ขายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 นั่นเอง เมื่อผู้ขายส่งมอบสิ่งของให้ผู้ซื้อไม่ได้เป็นการไม่ปฏิบัติตามสัญญา ย่อมเกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อ และเมื่อความเสียหายไม่สามารถคำนวณเป็นเงินได้ศาลย่อมกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้นได้ตามควรแก่กรณี (อ้างฎีกาที่ 1086/2509)
สัญญาซื้อขายข้อ 7 ที่มีข้อความว่า "ถ้าผู้ขายไม่นำสิ่งของมาส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อให้ถูกต้องภายในกำหนดสัญญา ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นเงินร้อยละ 5 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้ส่ง โดยคิดเป็นรายเดือนจนกว่าผู้ขายจะได้นำสิ่งของนั้น ๆ มาส่งให้ผู้ซื้อจนครบถ้วนและถูกต้องตามสัญญา" นั้นเป็นเรื่องผู้ขายส่งมอบสิ่งของล่าช้ากว่ากำหนด ผู้ซื้อมีสิทธิปรับผู้ขายได้จนกว่าผู้ขายจะส่งมอบให้ผู้ซื้อครบถ้วนตามสัญญา แต่กรณีที่ผู้ขายส่งมอบสิ่งของให้ผู้ซื้อไม่ได้เลยนั้น ผู้ซื้อจะคำนวณเอาค่าปรับจากผู้ขายตามสัญญาข้อ 7 นี้ไม่ได้ การที่ผู้ซื้อตั้งมูลฟ้องให้บังคับผู้ขายตามสัญญาข้อ 7 พอจะแปลเจตนาของผู้ซื้อได้ว่า เพื่อจะคิดเป็นเกณฑ์กำหนดค่าเสียหายในการเลิกสัญญากับผู้ขายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 นั่นเอง เมื่อผู้ขายส่งมอบสิ่งของให้ผู้ซื้อไม่ได้เป็นการไม่ปฏิบัติตามสัญญา ย่อมเกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อ และเมื่อความเสียหายไม่สามารถคำนวณเป็นเงินได้ศาลย่อมกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้นได้ตามควรแก่กรณี (อ้างฎีกาที่ 1086/2509)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2198/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความเป็นสัญญาต่างตอบแทน หากฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตาม อีกฝ่ายไม่ต้องชำระหนี้
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อศาลว่าจำเลยยอมออกจากบ้านพิพาทภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันทำสัญญาในวันที่จำเลยขนย้ายออกจากบ้านโจทก์ โจทก์ยอมจ่ายเงินให้จำเลยหนึ่งหมื่นบาททันที พ้นกำหนดแล้วจำเลยไม่ยอมออกไปตามสัญญายอมจนโจทก์ขอให้ศาลบังคับให้จับจำเลยมาขังไว้จนกว่าจำเลยจะออกไปดังนี้ สัญญายอมดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อจำเลยมิได้ปฏิบัติตามสัญญา และการที่จำเลยออกจากบ้านพิพาทเพราะการบังคับคดีของศาล โจทก์จึงมิต้องจ่ายเงินหนึ่งหมื่นบาทให้จำเลย
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 26/2514)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 26/2514)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1482/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิไถ่ถอนขายฝาก: การไม่ปฏิบัติตามสัญญาของจำเลยไม่ทำให้โจทก์เสียสิทธิ แม้มีกำหนดเวลาในสัญญา
โจทก์ได้ใช้สิทธิไถ่ถอนการขายฝากที่สวนและนาจากจำเลยก่อนถึงวันครบกำหนดตามหนังสือสัญญาขายฝาก หากจำเลยไม่ไปรับการไถ่ถอนตามที่ได้ตกลงนัดหมายไว้กับโจทก์โดยมิใช่ความผิดของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิขอไถ่ถอนสัญญาขายฝากรายนี้ได้ จำเลยจะยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 496 มาเป็นเหตุให้โจทก์เสียสิทธิมิได้ (อ้างฎีกาที่ 670/2498)