พบผลลัพธ์ทั้งหมด 91 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4361/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฎีกาเมื่อศาลอุทธรณ์ไม้ยืนตามคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ – การปฏิบัติตามเงื่อนไข ป.วิ.พ.มาตรา 234
เมื่อคำสั่งศาลอุทธรณ์ไม่ใช่คำสั่งยืนตามคำปฎิเสธของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 236 วรรคแรก แต่เป็นคำสั่งในกรณีที่จำเลยซึ่งเป็นผู้อุทธรณ์มิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามป.วิ.พ.มาตรา 234 คำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงไม่เป็นที่สุด จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้
ป.วิ.พ.มาตรา 234 ที่บัญญัติว่า ถ้าศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ผู้อุทธรณ์อาจอุทธรณ์คำสั่งศาลนั้นไปยังศาลอุทธรณ์โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้นและนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาล และนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง เมื่อปรากฏว่าจำเลยเพียงแต่นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาล โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล จึงถือว่าจำเลยไม่ปฎิบัติตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยจะฎีกาอ้างว่า เหตุที่จำเลยไม่นำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา เพราะกำลังมีการโต้แย้งกันอยู่และศาลมิได้มีคำสั่งหาได้ไม่
ป.วิ.พ.มาตรา 234 ที่บัญญัติว่า ถ้าศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ผู้อุทธรณ์อาจอุทธรณ์คำสั่งศาลนั้นไปยังศาลอุทธรณ์โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้นและนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาล และนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง เมื่อปรากฏว่าจำเลยเพียงแต่นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาล โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล จึงถือว่าจำเลยไม่ปฎิบัติตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยจะฎีกาอ้างว่า เหตุที่จำเลยไม่นำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา เพราะกำลังมีการโต้แย้งกันอยู่และศาลมิได้มีคำสั่งหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 347/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งพิจารณาคดีใหม่: ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งรับอุทธรณ์ ถือเป็นการไม่รับอุทธรณ์ตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งรับอุทธรณ์และมีคำสั่งว่าคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาโจทก์ยังอุทธรณ์ไม่ได้ซึ่งมีความหมายว่าเป็นการไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์นั่นเองการที่โจทก์อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นการอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา234ดังนั้นเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค2มีคำสั่งยืนตามคำปฎิเสธของศาลชั้นต้นแล้วคำสั่งนี้ย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา236วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3067/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งศาลไม่รับอุทธรณ์บางส่วนมีผลถึงที่สุด ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยเฉพาะส่วนที่รับอุทธรณ์ ฟ้องไม่เคลือบคลุมเมื่อบรรยายลักษณะสัญญาและเหตุผิดสัญญาชัดเจน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยในข้อใด หากจำเลยไม่เห็นด้วยก็ต้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์เพื่อให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งรับอุทธรณ์ในข้อที่ไม่รับนั้นได้ เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์ ต้องถือว่าคำสั่งศาลชั้นต้นถึงที่สุดศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์ของจำเลยตามประเด็นข้อที่ศาลชั้นต้นสั่งรับไว้เท่านั้น
โจทก์บรรยายฟ้อง โจทก์เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับจำเลยตามคำพรรณนาโจทก์หลงเชื่อทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและผ่อนชำระเงินมัดจำแก่จำเลย รวมเป็นเงิน630,000 บาท เวลาล่วงเลยมานานประมาณ 5 ปี จำเลยยังไม่จัดทำโครงการตามที่ได้พรรณนาไว้ อันเป็นการผิดสัญญา โจทก์จึงได้บอกเลิกสัญญา ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ ฟ้องโจทก์ดังกล่าวไม่ขัดกันจึงไม่เคลือบคลุม ทั้งไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่าโจทก์ถูกหลอกลวงถึงขนาดหรือไม่เพียงใดเพราะโจทก์มิได้ฟ้องขอให้สัญญาจะซื้อจะขายเป็นโมฆะอันเนื่องมาจากการบอกล้างสัญญาที่เกิดจากกลฉ้อฉล
โจทก์บรรยายฟ้อง โจทก์เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับจำเลยตามคำพรรณนาโจทก์หลงเชื่อทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและผ่อนชำระเงินมัดจำแก่จำเลย รวมเป็นเงิน630,000 บาท เวลาล่วงเลยมานานประมาณ 5 ปี จำเลยยังไม่จัดทำโครงการตามที่ได้พรรณนาไว้ อันเป็นการผิดสัญญา โจทก์จึงได้บอกเลิกสัญญา ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ ฟ้องโจทก์ดังกล่าวไม่ขัดกันจึงไม่เคลือบคลุม ทั้งไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่าโจทก์ถูกหลอกลวงถึงขนาดหรือไม่เพียงใดเพราะโจทก์มิได้ฟ้องขอให้สัญญาจะซื้อจะขายเป็นโมฆะอันเนื่องมาจากการบอกล้างสัญญาที่เกิดจากกลฉ้อฉล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1418/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่รับอุทธรณ์เนื่องจากโจทก์ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นภายในกำหนด แม้จะมีอุปสรรคในการติดตามเรื่อง
ตามฎีกาของโจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดจึงขอศาลฎีกามีคำสั่งกลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปแต่ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ปรากฏว่าได้วินิจฉัยเกี่ยวกับปัญหาข้อนี้ด้วยเลยคงมีแต่ศาลชั้นต้นเกษียนสั่งอุทธรณ์ของโจทก์ว่าโจทก์ยื่นอุทธรณ์พ้นกำหนดจึงไม่รับอุทธรณ์คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่โจทก์ดังนี้จึงเป็นฎีกาที่ซ้ำกับที่กล่าวในอุทธรณ์อันเป็นการคัดค้านเฉพาะคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องประการใดบ้างเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่20เมษายน2536และโจทก์ลงลายมือชื่อไว้ในอุทธรณ์เพื่อมาทราบคำสั่งในวันที่27เมษายน2536ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้วต่อมาวันที่21เมษายน2536ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ในเบื้องต้นจึงถือได้ว่าวันที่27เมษายน2536เป็นวันนัดที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้ให้โจทก์มาฟังคำสั่งเกี่ยวกับอุทธรณ์ของโจทก์และถ้าโจทก์ไม่มาก็ให้ถือว่าทราบคำสั่งดังกล่าวโดยชอบแล้วด้วยการที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์แล้วได้ติดตามเพื่อทราบคำสั่งตลอดมาแต่โจทก์ไม่สามารถทราบคำสั่งได้เนื่องจากเจ้าพนักงานศาลแจ้งว่าคำสั่งยังไม่ลงและยังหาสำนวนไม่พบจนกระทั่งวันที่18พฤษภาคม2536เจ้าพนักงานศาลหาสำนวนพบและโจทก์ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ในวันดังกล่าวโจทก์จึงไม่สามารถยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ภายในกำหนดได้นั้นพฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวหาใช่เป็นกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา23ไม่แต่เป็นเพียงกรณีที่มีพฤติการณ์พิเศษดังกล่าวเท่านั้นดังนี้หากโจทก์จะไม่ให้ถือว่าโจทก์ทราบคำสั่งดังกล่าวในวันที่27เมษายน2536โจทก์ก็จะต้องขอขยายระยะเวลาที่กำหนดนัดไว้ในวันที่27เมษายน2536ออกไปก่อนสิ้นระยะเวลาดังกล่าวตามมาตรา23แต่โจทก์หาได้ดำเนินการดังกล่าวไม่จึงต้องถือว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ในวันที่27เมษายน2536แล้วดังนี้จึงไม่อาจอนุญาตให้โจทก์ขยายระยะเวลาอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์และมีคำสั่งให้รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6329/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์เป็นที่สุด แม้ทำเป็นคำพิพากษา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา236บัญญัติไว้ว่าในกรณีที่มีอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์เมื่อผู้อุทธรณ์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ก็ดีหรือมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ก็ดีให้คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดฉะนั้นแม้ศาลอุทธรณ์จะมิได้ทำในรูปคำสั่งแต่ได้ทำในรูปคำพิพากษาแต่ก็พิพากษายืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของผู้ร้องก็ย่อมเป็นที่สุดเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6308/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์เกินกำหนด ต้องวางค่าฤชาธรรมเนียมและชำระเงินตามคำพิพากษา
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234เมื่อศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ไม่ว่ากรณีใด ถ้าผู้อุทธรณ์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นก็ต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาด้วย การที่จำเลยยื่นอุทธรณ์เกินกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นขยายให้ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเมื่อจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว จำเลยก็ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติของมาตรา 234
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 310/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมเพื่อขออุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ แม้ไม่ตรงตามมาตรา 234 แต่แสดงเจตนาดี จึงรับอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลหรือนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันไว้ต่อศาลภายใน15วันอันเป็นการให้จำเลยเลือกปฏิบัติทางใดทางหนึ่งซึ่งแม้จะไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา234เมื่อจำเลยปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้นโดยนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางภายในกำหนดจึงมีเหตุน่าเชื่อว่าจำเลยไม่มีเจตนาฝ่าฝืนไม่นำเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลการที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2808/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งศาลที่ไม่รับอุทธรณ์เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236
ศาลอุทธรณ์ภาค2มีคำสั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ของผู้ร้องมีผลเป็นการไม่รับอุทธรณ์ยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นจึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา236
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5503/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ที่ต้องห้ามและการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ กรณีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ถึงที่สุดแล้ว
คดีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์เพราะเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ซึ่งโจทก์ได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ คำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 คำร้อง ของ โจทก์ ที่ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งไม่รับอุทธรณ์นั้น เท่ากับเป็นการอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ ถือว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าว โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคำร้องดังกล่าวของโจทก์อีก จึงเป็นการไม่ชอบและเมื่อเป็นกรณีเกี่ยวกับการรับหรือไม่รับอุทธรณ์ซึ่งถึงที่สุดไปแล้วนั้นโจทก์จึงฎีกาต่อมาอีกไม่ได้ ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5503/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ และการฎีกาที่ไม่อาจทำได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์โจทก์เพราะเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 ซึ่งโจทก์ได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าวแล้ว ต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236 ดังนั้น คำร้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์เท่ากับเป็นการอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์นั่นเอง เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัยคำร้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นจึงเป็นการไม่ชอบ และเมื่อเป็นกรณีเกี่ยวกับการรับหรือไม่รับอุทธรณ์ซึ่งถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จึงฎีกาต่อมาอีกไม่ได้