พบผลลัพธ์ทั้งหมด 651 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 287/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดขอบเขตความรับผิดของกรมที่ดินในคดีละเมิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ระดับล่าง ศาลฎีกาเน้นการพิจารณาตามประเด็นที่โจทก์ฟ้อง
ในคดีละเมิด โจทก์บรรยายฟ้องเพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 2 (กรมที่ดิน) ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายร่วมกับจำเลยที่ 1ต่อโจทก์คงมีตามฟ้องข้อ 3 ข้อเดียวว่า ศ. มอบโฉนดที่ดินไว้กับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินในการปฏิบัติหน้าที่ราชการจำเลยที่ 2 ที่ 3 ยอมรับหนังสือมอบอำนาจปลอมที่ว่า ศ. มอบอำนาจให้ ม. มีอำนาจขายกรรมสิทธิ์ที่ดินได้โดยมิได้สอบถาม ศ. เจ้าของที่ดินให้ทราบเหตุผลว่าเหตุใดจึงกลายเป็นมอบอำนาจให้ ม. มีอำนาจขายกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ ทั้งๆ ที่ ศ. มามอบโฉนดให้แก่จำเลยที่ 3 ด้วยตนเองดังนี้คดีจึงมีประเด็นเพียงว่า จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 3 หรือไม่เท่านั้น ซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้วินิจฉัยชี้ขาดมาแล้วว่าจำเลยที่ 3 มิได้ประมาทเลินเล่อทั้งคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 3 ก็ได้ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเมื่อเป็นดังนี้จำเลยที่ 2 จึงไม่ควรรับผิดต่อโจทก์เพราะการกระทำของจำเลยที่ 3 แต่อย่างใดฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ได้ยกเอาเหตุแห่งการปฏิบัติหน้าที่ราชการที่กระทำไปโดยความบกพร่องของเจ้าหน้าที่หมวดคำขอซึ่งเป็นผู้รับโฉนดไว้จาก ศ. เพื่อทำการแบ่งแยก แต่แล้วกลับมอบให้ ธ. ไป จนเป็นเหตุให้ ท.กับพวกสมคบกันนำใบมอบอำนาจไปจดทะเบียนการซื้อขายและขายฝากต่อๆ ไปจนสำเร็จ โดยเจ้าหน้าที่ผู้นั้นควรจะได้มอบโฉนดให้แก่ ศ. รับไปด้วยตนเองหรือเรียกเอาใบรับโฉนดที่ออกให้แก่ ศ. กลับคืนมาไว้เป็นหลักฐานก็ดี และการที่ศาลอุทธรณ์ยกเอาเหตุแห่งการปฏิบัติหน้าที่ราชการของ ป. และ ว. เจ้าหน้าที่หมวดรักษาทะเบียน โดยความบกพร่องในการตรวจสอบลายเซ็นชื่อของ ศ. ในใบมอบอำนาจปลอมขึ้นอ้างเพื่อให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ก็ดีจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่โจทก์บรรยายฟ้องมาทั้งสิ้นเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 100/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทผิดและขอบเขตการแก้โทษ: โจทก์ไม่โต้แย้งบทที่ศาลชั้นต้นใช้ จึงไม่อาจฎีกาขอให้ลงโทษตามบทอื่นได้
ในกรณีปล้นโดยมีอาวุธ แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคหนึ่งให้จำคุก15 ปีนั้น เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะแก้เป็นลงโทษจำคุกเพียง 10 ปี ตามมาตรา 340 วรรคหนึ่ง ก็เป็นการแก้โทษให้ตรงกับบทเท่านั้น โจทก์จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 340 วรรคสองมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการเพิ่มโทษในชั้นอุทธรณ์: อุทธรณ์ในทำนองขอให้เพิ่มเติมโทษหนักขึ้นได้ แม้ข้อเท็จจริงเดิมไม่มีเจตนาฆ่า
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่มีเจตนาฆ่า โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าคนโดยเจตนา ถือได้ว่าเป็นอุทธรณ์ในทำนองขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยให้หนักขึ้นอยู่ในตัว ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยให้หนักขึ้นได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 331/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการอุทธรณ์และการรับผิดในหนี้สินของผู้ชำระบัญชี: ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นความรับผิดชอบของจำเลยที่ 2 จากข้อความในฟ้องอุทธรณ์
โจทก์อุทธรณ์ว่า "ในประเด็นข้อที่ว่าจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดชอบในหนี้สินที่โจทก์ฟ้องเป็นส่วนตัวหรือไม่ …. เมื่อข้อเท็จจริงตามหลักฐานพยานและข้อกฎหมายดังโจทก์ได้กราบเรียนมาแล้วฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดในการชำระหนี้ตามที่จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีรับสภาพหนี้ต่อโรงงานกระดาษไทยในจำนวนหนี้ของโรงพิมพ์อำพลพิทยาต่อโจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวก็ไม่ต้องรับผิดชอบต่อโจทก์อีก" แปลไม่ได้ว่าหมายความว่าถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว ดังที่โจทก์ฎีกา แต่ข้อความนั้นกลับทำให้เข้าใจในทางตรงข้ามว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว คดีสำหรับจำเลยที่ 2 จึงเป็นอันยุติตั้งแต่ศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ซื้อเชื่อกระดาษจากโจทก์เพื่อพิมพ์เป็นแบบพิมพ์ส่งหน่วยราชการ แม้จำเลยจะเรียกค่าตอบแทนค่าว่าจ้าง การกระทำของจำเลยก็เป็นการทำให้แบบพิมพ์เหล่านั้นเป็นสินค้าอันเป็นการประกอบอุตสาหกรรม คดีจึงมีอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 165 วรรคท้าย
จำเลยที่ 1 ซื้อเชื่อกระดาษจากโจทก์เพื่อพิมพ์เป็นแบบพิมพ์ส่งหน่วยราชการ แม้จำเลยจะเรียกค่าตอบแทนค่าว่าจ้าง การกระทำของจำเลยก็เป็นการทำให้แบบพิมพ์เหล่านั้นเป็นสินค้าอันเป็นการประกอบอุตสาหกรรม คดีจึงมีอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 165 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 331/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการอุทธรณ์และการรับผิดของผู้ชำระบัญชี: การตีความข้อความในฟ้องอุทธรณ์
โจทก์อุทธรณ์ว่า 'ในประเด็นข้อที่ว่าจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดชอบในหนี้สินที่โจทก์ฟ้องเป็นส่วนตัวโจทก์หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงตามหลักฐานพยานและข้อกฎหมายดังโจทก์ได้กราบเรียนมาแล้วฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดในการชำระหนี้ตามที่จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีรับสภาพหนี้ต่อโรงงานกระดาษไทยในจำนวนหนี้ของโรงพิมพ์อำพลพิทยาต่อโจทก์แล้วจำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวก็ไม่ต้องรับผิดชอบต่อโจทก์อีก'แปลไม่ได้ว่าหมายความว่าถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดจำเลยที่2 ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว ดังที่โจทก์ฎีกาแต่ข้อความนั้นกลับทำให้เข้าใจในทางตรงข้ามว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวคดีสำหรับจำเลยที่ 2 จึงเป็นอันยุติตั้งแต่ศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ซื้อเชื่อกระดาษจากโจทก์เพื่อพิมพ์เป็นแบบพิมพ์ส่งหน่วยราชการ แม้จำเลยจะเรียกค่าตอบแทนว่าค่าจ้าง การกระทำของจำเลยก็เป็นการทำให้แบบพิมพ์เหล่านั้นเป็นสินค้าอันเป็นการประกอบอุตสาหกรรมคดีจึงมีอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 165 วรรคท้าย
จำเลยที่ 1 ซื้อเชื่อกระดาษจากโจทก์เพื่อพิมพ์เป็นแบบพิมพ์ส่งหน่วยราชการ แม้จำเลยจะเรียกค่าตอบแทนว่าค่าจ้าง การกระทำของจำเลยก็เป็นการทำให้แบบพิมพ์เหล่านั้นเป็นสินค้าอันเป็นการประกอบอุตสาหกรรมคดีจึงมีอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 165 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1960/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตคำพิพากษาศาลฎีกา: ค่าธรรมเนียมศาลฎีกาและการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและให้โจทก์ใช้ค่าธรรมเนียมค่าทนายแทนจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้โจทก์ชนะคดี จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้โจทก์เสียค่าทนายในชั้นศาลอุทธรณ์และศาลฎีการวมสามพันบาทแทนจำเลย ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าวแล้ว แปลไม่ได้ว่า ศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ใช้ค่าธรรมเนียมชั้นศาลฎีกาแทนจำเลยด้วย แม้โจทก์จะเป็นฝ่ายแพ้คดี
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 28/2511)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 28/2511)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1430/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย การทำร้ายร่างกายโดยบันดาลโทสะ และขอบเขตการป้องกันตนเอง
เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยเพียงยกขวดแตกขึ้นรับเมื่อผู้ตายโถมเข้าแทงจำเลยทำให้พับแขนของผู้ตายถูกขวดเข้าเองเป็นบาดแผล และผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ฉะนั้นเมื่อจำเลยมิได้ทำร้ายผู้ตาย จำเลยจึงไม่มีความผิด
แต่สำหรับเหตุการณ์ตอนที่ผู้ตายแทงผู้อื่นพลาดมาถูกจำเลย เมื่อจำเลยเข้าห้ามการทะเลาะวิวาท แล้วจำเลยใช้ขวดสุราตีศีรษะผู้ตายบาดเจ็บนั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการป้องกันโดยชอบ เพราะภยันตรายได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่การกระทำของจำเลยเนื่องมาจากการที่ผู้ตายข่มเหงโดยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงต้องถือว่าจำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายโดยเหตุบันดาลโทสะ
แต่สำหรับเหตุการณ์ตอนที่ผู้ตายแทงผู้อื่นพลาดมาถูกจำเลย เมื่อจำเลยเข้าห้ามการทะเลาะวิวาท แล้วจำเลยใช้ขวดสุราตีศีรษะผู้ตายบาดเจ็บนั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการป้องกันโดยชอบ เพราะภยันตรายได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่การกระทำของจำเลยเนื่องมาจากการที่ผู้ตายข่มเหงโดยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงต้องถือว่าจำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายโดยเหตุบันดาลโทสะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11161/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคำขอเฉลี่ยทรัพย์: ศาลพิจารณาเฉพาะทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ถูกยึดในคดีนั้น
ความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ วรรคสองที่ว่า ห้ามมิให้ศาลอนุญาตตามคำขอเฉลี่ยทรัพย์ เว้นแต่ศาลเห็นว่าผู้ยื่นคำขอไม่สามารถเอาชำระได้จากทรัพย์สินอื่นๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา นั้น คำว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษาในที่นี้หมายความถึงลูกหนี้ตามคำพิพากษาผู้ถูกยึดทรัพย์สินอยู่ในคดีนี้ ถ้าไม่มีทรัพย์สินอื่นอีก ผู้ขอก็ขอเฉลี่ยจากเงินที่ขายทรัพย์ได้ หาได้หมายความถึงลูกหนี้ตามคำพิพากษาคนอื่นในคดีที่ผู้ขอเฉลี่ยชนะคดีไม่ (อ้างฎีกาที่ ๑๗๖/๒๔๙๔)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1439/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยิงต่อสู้และการสมคบร่วมกันฆ่า: การพิสูจน์เจตนาและขอบเขตความรับผิด
ขณะที่ผู้ตายต่อยกับน้องภรรยาจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ได้ยิงไปก่อน 1 นัด ถูกผู้ตาย แล้วต่อมาจำเลยที่ 1 จึงได้ยิงไป ตามพฤติการณ์ดังกล่าวที่จำเลยทั้งสองยิงไปนั้นเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นในทันทีทันใด โดยต่างคนต่างกระทำลงไป มิได้สมคบร่วมรู้กันมาก่อน จะฟังว่าจำเลยที่ 1 สมคบกับจำเลยที่ 2 ฆ่าผู้ตายไม่ได้ ผู้ตายมีบาดแผลถูกยิงแผลเดียว และฟังได้ว่าแผลที่ถูกยิงนั้นเป็นผลแห่งการกระทำของจำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียวฉนั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานฆ่าผู้ตาย
การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปยังผู้ตายกับพวกหลายนัดนั้น ส่อเจตนาให้เห็นว่าจำเลยตั้งใจฆ่า แต่กระสุนปืนพลาดไปถูกที่ไม่สำคัญ จึงไม่ถึงแก่ความตาย ดังนี้ จำเลยต้องมีความผิดฐานพยายามฆ่าคน
การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปยังผู้ตายกับพวกหลายนัดนั้น ส่อเจตนาให้เห็นว่าจำเลยตั้งใจฆ่า แต่กระสุนปืนพลาดไปถูกที่ไม่สำคัญ จึงไม่ถึงแก่ความตาย ดังนี้ จำเลยต้องมีความผิดฐานพยายามฆ่าคน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1230/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความผิดฐานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบของผู้ร่วมกระทำผิดที่ไม่ใช่เจ้าพนักงานตำรวจ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นตำรวจประจำสถานีตำรวจทุ่งวัง อำเภอเมืองสงขลา จำเลยที่ 2 เป็นผู้คุมเรือนจำประจำเรือนจำเขตสงขลา ได้ร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจเพื่อให้ผู้อื่นมอบเงินให้ อันเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 157, 337 และ 83 นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดจริง ก็ลงโทษจำเลยที่ 2 ในฐานะเป็นผู้สนับสนุนเท่านั้น เพราะแม้จำเลยที่ 2 เป็นพลตำรวจ แต่โจทก์มิได้ระบุในฟ้องว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยที่ 2 จึงมิใช่ตำรวจผู้มีอำนาจหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิดโดยทั่ว ๆ ไป