พบผลลัพธ์ทั้งหมด 496 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1244/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม & การอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกา: จำเลยต้องใช้วิธีการปกติคืออุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ ไม่ใช่ร้องขอให้ศาลดำเนินการให้
การที่จำเลยขวนขวายจะให้ได้ คำรับรองเพื่อฎีกา เป็นการรับอยู่ในตัวว่าจำเลยเห็นด้วยกับศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลย เพราะต้องห้ามตามกฎหมาย กรณีจึงไม่เข้าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 224 ซึ่งให้ร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
เมื่อไม่ต้องด้วยบทบัญญัติให้ร้องตรงมายังศาลฎีกา อีกทั้งยังไม่มีการรับฎีกาอันจะถือได้ว่า คดีได้ขึ้นสู่ศาลฎีกาแล้ว หากจำเลยไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลชั้นต้น จำเลยก็มีแต่ทางจะอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 20/2503)
เมื่อไม่ต้องด้วยบทบัญญัติให้ร้องตรงมายังศาลฎีกา อีกทั้งยังไม่มีการรับฎีกาอันจะถือได้ว่า คดีได้ขึ้นสู่ศาลฎีกาแล้ว หากจำเลยไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลชั้นต้น จำเลยก็มีแต่ทางจะอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 20/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 248 ว.พ.พ. กรณีโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว
จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาท 4,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าสามีโจทก์และโจทก์ไม่ได้ชำระค่าที่พิพาทให้แก่จำเลยโจทก์จะฎีกาว่าเป็นการซื้อขายเด็ดขาด โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่าได้ชำระเงินและรับเงินไปแล้ว ไม่ได้เป็นการฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าสามีโจทก์และโจทก์ไม่ได้ชำระค่าที่พิพาทให้แก่จำเลยโจทก์จะฎีกาว่าเป็นการซื้อขายเด็ดขาด โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่าได้ชำระเงินและรับเงินไปแล้ว ไม่ได้เป็นการฎีกาในข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 816/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษจำคุกควบกันหรือไม่ เป็นดุลพินิจศาลอุทธรณ์ ฎีกาต้องห้ามหากเป็นการแก้ไขเล็กน้อย
จะนับโทษต่อให้หรือไม่นั้นเป็นดุลพินิจของศาล
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะในข้อที่ให้นับโทษจำคุกจำเลยสองสำนวนควบกันไปโดยไม่นับโทษติดต่อกันนั้นเป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะในข้อที่ให้นับโทษจำคุกจำเลยสองสำนวนควบกันไปโดยไม่นับโทษติดต่อกันนั้นเป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 579/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตาม ม.219 เมื่อศาลชั้นต้นและอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงต่างกัน
คดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกฟ้องโจทก์ยืนตามศาลชั้นต้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงนั้นแม้จะเป็นข้อเท็จจริงแต่ละอย่างทั้งสองศาลก็ตามโจทก์ก็ฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ต้องห้ามตามมาตรา 219
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 327/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม เหตุมิได้แสดงข้อกฎหมายชัดเจน แม้มีเหตุผลด้านการบาดเจ็บและสถานะจำเลย
ข้อ ก.ม.ทั้งปวงอันคู่ความฎีการ้องอ้างอิงให้แสดงไว้โดยชัดเจนในฎีกา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 2 3 อีกฝ่ายหนึ่งวิวาทกันถึงบาดเจ็บขอให้ลงโทษตามม.254,338 จำเลยรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ม. 254 + และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยทั้ง3 มีบาดเจ็บดังนี้จำเลยจะฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อก.ม.
จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลย ม. 338 บทเดียวโดยกล่าวอ้างถึงตัวจำเลยว่าแพทย์ออกความเห็นว่ารักษาไม่เกิน 1 วัน หาย ไม่ใช่หมายถึงผู้ถูกทำร้าย (ตาม ม.338)และอ้างว่าจำเลยเป็นนักศึกษา ดังนี้เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา ม.195 เพราะไม่ชัดเจนว่าฎีกาในข้อ ก.ม.ข้อไหนอย่างไร (จะค้านว่าบาดแผลอีกฝ่ายคือจำเลย 2,3 ไม่ถึงบาดเจ็บก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม จะค้านว่า ที่ศาลล่างฟังว่าบาดแผลอีกฝ่ายบาดเจ็บนั้น โดยข้อ ก.ม.แล้วถือว่าไม่ถึงบาดเจ็บอาศัย ก.ม.ข้อใด อย่างใด จำเลยไม่ได้กล่าว)
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 2 3 อีกฝ่ายหนึ่งวิวาทกันถึงบาดเจ็บขอให้ลงโทษตามม.254,338 จำเลยรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ม. 254 + และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยทั้ง3 มีบาดเจ็บดังนี้จำเลยจะฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อก.ม.
จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลย ม. 338 บทเดียวโดยกล่าวอ้างถึงตัวจำเลยว่าแพทย์ออกความเห็นว่ารักษาไม่เกิน 1 วัน หาย ไม่ใช่หมายถึงผู้ถูกทำร้าย (ตาม ม.338)และอ้างว่าจำเลยเป็นนักศึกษา ดังนี้เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา ม.195 เพราะไม่ชัดเจนว่าฎีกาในข้อ ก.ม.ข้อไหนอย่างไร (จะค้านว่าบาดแผลอีกฝ่ายคือจำเลย 2,3 ไม่ถึงบาดเจ็บก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม จะค้านว่า ที่ศาลล่างฟังว่าบาดแผลอีกฝ่ายบาดเจ็บนั้น โดยข้อ ก.ม.แล้วถือว่าไม่ถึงบาดเจ็บอาศัย ก.ม.ข้อใด อย่างใด จำเลยไม่ได้กล่าว)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงเดิมหลังศาลอุทธรณ์ตัดสินแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ตาม ม. 300 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับลงโทษจำเลยเพียงทำร้ายร่างกายตาม ม. 254 เช่นนี้ เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริง แม้จะอ้างเหตุผลไปคนละนัย แต่ในที่สุดก็เห็นต้องกันว่าจำเลยไม่ผิดฐานลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์ดังข้อหาของโจทก์จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ฐานชิงทรัพย์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ดังนี้ โจทก์จะฎีกาข้อเท็จจริงขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์หาได้ไม่ เป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา ม. 219
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 21/249+)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 21/249+)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเมื่อศาลชั้นต้นและอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงตรงกันว่าจำเลยไม่ผิดฐานชิงทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ตาม มาตรา 300ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับลงโทษจำเลยเพียงทำร้ายร่างกายตาม มาตรา 254 เช่นนี้เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริง แม้จะอ้างเหตุผลไปคนละนัย แต่ในที่สุดก็เห็นต้องกันว่าจำเลยไม่ผิดฐานลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์ดังข้อหาของโจทก์ จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ฐานชิงทรัพย์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ดังนี้โจทก์จะฎีกาข้อเท็จจริงขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์หาได้ไม่ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 (ประชุมใหญ่ครั้งที่21/2498)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงขัดกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ตาม มาตรา 300ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับลงโทษจำเลยเพียงทำร้ายร่างกายตาม มาตรา 254 เช่นนี้เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริง แม้จะอ้างเหตุผลไปคนละนัย แต่ในที่สุดก็เห็นต้องกันว่าจำเลยไม่ผิดฐานลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์ดังข้อหาของโจทก์ จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ฐานชิงทรัพย์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ดังนี้โจทก์จะฎีกาข้อเท็จจริงขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์หาได้ไม่ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 (ประชุมใหญ่ครั้งที่21/2498)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1640/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง ม.249 กรณีอ้างเหตุผลจากฟ้องอุทธรณ์เป็นส่วนหนึ่งของฎีกา
คู่ความที่ฎีกากล่าวท้าวเหตุผลรายละเอียดตามฟ้องอุทธรณ์โดยขอให้ถือเอาเป็นส่วนหนึ่งแห่งฎีกาเช่นนี้ จะถือว่าเป็นการกล่าวข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายโดยชัดแจ้งในฎีกาหาได้ไม่ เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง ม.249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1640/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 249 ว.พ.พ. เมื่ออ้างเหตุผลจากฟ้องอุทธรณ์โดยไม่กล่าวอ้างข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายในฎีกา
คู่ความที่ฎีกากล่าวท้าวเหตุผลรายละเอียดตามฟ้องอุทธรณ์โดยขอให้ถือเอาเป็นส่วนหนึ่งแห่งฎีกาเช่นนี้ จะถือว่าเป็นการกล่าวข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายโดยชัดแจ้งในฎีกาหาได้ไม่ เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249