พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,659 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1909/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาใช้ทุน, เบี้ยปรับ, ดอกเบี้ย, อายุความ, อัตราแลกเปลี่ยน: การชำระหนี้และการบังคับคดี
โจทก์เป็นส่วนราชการที่จำเลยที่ 1 สังกัดอยู่ฟ้องให้จำเลยชดใช้ทุน จึงไม่ใช่กรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/34(11) แต่กรณีนี้มิได้มีบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความทั่วไปคือ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30(164 เดิม)เมื่อนับจากวันที่จำเลยที่ 1 ลาออกจากราชการถึงวันฟ้องไม่เกิน 10 ปี จึงไม่ขาดอายุความ สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ซึ่ง โจทก์ฟ้องในฐานะทายาทโดยธรรมของพันเอก บ. ผู้ค้ำประกันการรับทุนของจำเลยที่ 1 ที่เสียชีวิตเมื่อปี 2529 นั้น แม้ขณะจัดการศพจะมีการลงประกาศพระราชทานเพลิงศพใน หนังสือพิมพ์ไทยรัฐที่มีจำหน่ายแพร่หลายทั่วประเทศติดต่อกัน ถึง 2 วัน แต่การที่โจทก์เป็นนิติบุคคล และจำเลยทั้งสี่ มิได้นำสืบว่า ได้เชิญผู้แทนของโจทก์ไปในงานศพและโจทก์ได้ทราบ ประกาศดังกล่าวเมื่อใดโดยวิธีใด ข้อนำสืบของจำเลยทั้งสี่ จึงเป็นเพียงการคาดคะเนเอาเองอย่างเลื่อนลอย เมื่อโจทก์ นำสืบรับฟังได้ว่าโจทก์ทราบถึงการตายของพันเอก บ. เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2536 และนำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2537 ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงไม่ขาด อายุความเช่นเดียวกัน ลักษณะของทุนเป็นเงินทุนของรัฐบาลต่อรัฐบาล การที่จำเลยที่ 1 รับราชการสังกัดโจทก์ได้รับอนุมัติให้ลาราชการไปศึกษาต่อด้วยทุนดังกล่าว โดยสัญญาว่าจะกลับมารับราชการ ในสังกัดโจทก์เป็นการชดใช้ทุน โจทก์จึงมีฐานะเป็นเจ้าของทุน เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่กลับมารับราชการชดใช้ทุนให้ครบ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ชดใช้ทุนได้ ส่วนที่ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เมื่อได้ความว่าพันเอก บ. ค้ำประกันเฉพาะที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาครั้งแรก 1 ปี 6 เดือน เท่านั้น การที่ต่อมาเมื่อครบกำหนดดังกล่าว จำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติให้อยู่ศึกษาต่อไปอีกโดยโจทก์ ไม่ได้แจ้งให้พันเอก บ. ทราบหรือรู้เห็นยินยอม พันเอกบ. จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์สำหรับเวลาที่เกินกว่า 1 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิดด้วย อำนาจฟ้องเป็น ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกา เห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และ 247 ตามสัญญาระบุว่าหากผิดสัญญาจำเลยที่ 1 จะจ่ายเบี้ยปรับ หนึ่งเท่าของเงินที่จะต้องชดใช้ หากไม่ชำระยอมให้คิด ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ทั้งเบี้ยปรับและดอกเบี้ยเป็น ค่าเสียหายที่กำหนดไว้ล่วงหน้าอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 ที่ศาลอุทธรณ์ ใช้ดุลพินิจลดเบี้ยปรับลงเหลือเพียงครึ่งส่วนและดอกเบี้ย ร้อยละ 7.5 ต่อปี ก็โดยคำนึงถึงทางได้เสียของโจทก์ผู้เป็น เจ้าหนี้ เพราะจำเลยที่ 1 ได้รับราชการชดใช้ทุนบางส่วน ชดใช้เงินเดือนและเงินเพิ่มพร้อมดอกเบี้ยแล้ว จึงเหมาะสม แก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว เมื่อดอกเบี้ยที่กำหนดไว้เป็นเบี้ยปรับ เงินจำนวนดังกล่าวจึงมิใช่ดอกเบี้ยค้างส่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33(มาตรา 166 เดิม)และกรณีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ 10 ปี ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยไม่เกิน 5 ปี จึงไม่ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 196 อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศหมายถึงอัตราแลกเปลี่ยนกันได้โดยเสรีในเวลาที่ได้ใช้เงินจริง ซึ่งตามปกติจะคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินโดยผลเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ซึ่งขายเงินตราต่างประเทศในกรุงเทพมหานครเป็นเกณฑ์ แต่เพื่อความสะดวกในการบังคับคดีจึงให้คิดอัตราในวันที่มีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ถ้าไม่มีอัตราในวันดังกล่าวก็ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราการขายนั้นก่อนวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนเงินเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เองแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1828/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยปรับปรุงได้ตามสัญญา และภริยาสามีเป็นลูกหนี้ร่วมกันในหนี้ที่เกิดจากสินสมรส
หนังสือสัญญากู้เงินและหนังสือสัญญาจำนองได้ระบุดอกเบี้ยไว้ในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี หรือดอกเบี้ยอัตราสูงสุดที่โจทก์กำหนดและระบุด้วยว่าจำเลยผู้กู้และผู้จำนองตกลงให้โจทก์ขึ้นหรือปรับปรุง อัตราดอกเบี้ยตามความเหมาะสม โดยไม่เกินกว่าที่กฎหมายอนุญาต ได้ทันทีโดยไม่ต้องแจ้งให้จำเลยทราบ และถือว่าจำเลยได้ยินยอมต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้าแล้ว และตามสัญญาต่อท้ายสัญญากู้เงินระบุว่าหากภายหลังวันทำสัญญาธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บได้จำเลยยินยอมให้โจทก์เรียกดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ดังนั้นการที่โจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 18 ต่อปีเป็นร้อยละ 19 ต่อปี ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศของโจทก์ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกเก็บจากลูกค้าในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จึงเป็นการคิดดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงินและสัญญาจำนองที่กำหนดให้โจทก์มีสิทธิขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้แม้จำเลยจะมิได้ผิดนัดชำระหนี้ก็ตาม ข้อสัญญาดังกล่าวจึงมิใช่เบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 379 ที่ศาลจะลดลงได้ตามมาตรา 383 การที่โจทก์ปรับดอกเบี้ยตามข้อตกลงขณะจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา เป็นแต่เพียงวิธีการหนึ่งในการเรียกเอาชำระหนี้ทั้งหมดจากจำเลยเท่านั้นไม่ทำให้สภาพของดอกเบี้ยตามข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยอันมีอยู่แต่เดิมต้องแปรเปลี่ยนเป็นเบี้ยปรับไปไม่ จำเลยที่ 1 ได้ที่ดินที่จำนองมาในระหว่างที่จำเลยที่ 1สมรสกับจำเลยที่ 3 ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474(1) และเมื่อจำเลยที่ 1 นำที่ดินอันเป็นสินสมรสไปจดทะเบียนจำนองแก่โจทก์โดยจำเลยที่ 3 ให้ความยินยอม หนี้ดังกล่าวจึงเป็นหนี้ที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ซึ่งเป็นภริยาสามีเป็นลูกหนี้ร่วมกันตามมาตรา 1490(2) โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 ให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1776/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานกู้ยืมเงินจากเอกสารที่มีลายมือชื่อผู้กู้ แม้ไม่มีคำว่า 'กู้ยืม' ก็ใช้ได้ และการคิดดอกเบี้ยเมื่อผิดนัด
คำว่าหลักฐานเป็นหนังสือตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง มิได้เคร่งครัดถึงกับว่าจะต้องมีถ้อยคำว่ากู้ยืมอยู่ในหนังสือนั้นเมื่อเอกสารมีข้อความระบุว่าจำเลยเป็นหนี้กู้ยืมเงินโจทก์รวม 116,000 บาท มีลายมือชื่อจำเลยลงไว้ แม้ลายมือชื่อมิได้อยู่ในช่องผู้กู้ แต่มีตัวโจทก์มาสืบประกอบอธิบายว่าเหตุที่ให้จำเลยกู้ยืมเงินเพราะเห็นว่าจำเลยเป็นคนน่าเชื่อถือได้โดยจำเลยกู้เงินไปเพื่อทำสวน จำเลยเองก็เบิกความว่าตนมีสวนอยู่ 80 ไร่ ใช้ปุ๋ยครั้งละประมาณ 2 ตัน เป็นเงินเกือบ20,000 บาท จำเลยถูกธนาคารฟ้องเรียกเงินที่กู้ยืม แสดงว่าฐานะของจำเลยไม่ดีนัก เมื่อจำเลยลงลายมือชื่อในเอกสารที่มีข้อความระบุว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จึงถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้ จำเลยต้องรับผิดตามเนื้อความที่ปรากฏในเอกสารนั้น หลักฐานการกู้ยืมเงินไม่ได้กำหนดวันชำระหนี้ แม้จะมีข้อความส่วนที่เขียนด้วยดินสอว่า "ผู้ยืมมารับใบนี้ไปเมื่อ12 มีนาคม 2537" จะถือเป็นวันที่จำเลยผิดนัดไม่ได้เพียงแต่เป็นวันที่อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้เท่านั้นจะเป็นการผิดนัดต่อเมื่อโจทก์ได้เตือนให้ชำระหนี้แล้วจำเลยไม่ชำระ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 204 วรรคหนึ่ง จึงจะคิดดอกเบี้ยตามมาตรา 224 เมื่อโจทก์นำสืบว่าได้มีหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้ซึ่งให้เวลาชำระหนี้ภายใน 7 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือซึ่งใบตอบรับระบุว่าจำเลยได้รับหนังสือทวงถามในวันที่ 20 กรกฎาคม 2537จำเลยจึงผิดนัดตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2537 ต้องชำระดอกเบี้ยตั้งแต่วันผิดนัดในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากการสำแดงเท็จเพื่อรับเงินชดเชยภาษีอากร: ดอกเบี้ยผิดนัดเริ่มนับแต่วันทำละเมิด
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้สำแดงข้อความอันเป็นเท็จไว้ในใบขนสินค้าขาออกและแบบแสดงรายการการค้าว่าส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร แล้วจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำขอรับเงินชดเชยค่าภาษีอากรสำหรับสินค้าที่ส่งออกนั้น ต่อมากรมศุลกากรโจทก์ได้จ่ายเงินชดเชยเป็นบัตรภาษีให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นผู้รับโอนบัตรภาษีจากจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่หลอกลวงโจทก์จนเป็นเหตุให้โจทก์จ่ายเงินชดเชยเป็นบัตรภาษีจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ เมื่อมูลหนี้ที่โจทก์ฟ้องเรียกบัตรภาษีคืนจากจำเลยทั้งสี่เป็นมูลหนี้ละเมิด จำเลยทั้งสี่จึงต้องตกเป็นผู้ผิดนัดชำระดอกเบี้ยให้โจทก์นับแต่วันที่ทำละเมิดคือวันที่รับบัตรภาษี หาใช่นับแต่วันที่จำเลยทั้งสี่ได้รับหนังสือแจ้งให้คืนหรือชดใช้ราคาบัตรภาษีไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำละเมิดจากการสำแดงเท็จเพื่อรับเงินชดเชยภาษีอากร ดอกเบี้ยเริ่มนับจากวันที่รับบัตรภาษี
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1ได้สำแดงข้อความอันเป็นเท็จไว้ในใบขนสินค้าขาออกและแบบแสดงรายการการค้าว่าส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักรแล้วจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำขอรับเงินชดเชยค่าภาษีอากรสำหรับสินค้าที่ส่งออกนั้น ต่อมากรมศุลกากรโจทก์ได้จ่ายเงินชดเชยเป็นบัตรภาษีให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4ซึ่งเป็นผู้รับโอนบัตรภาษีจากจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่หลอกลวงโจทก์จนเป็นเหตุให้โจทก์จ่ายเงินชดเชยเป็นบัตรภาษีจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์เมื่อมูลหนี้ที่โจทก์ฟ้องเรียกบัตรภาษีคืนจากจำเลยทั้งสี่เป็นมูลหนี้ละเมิด จำเลยทั้งสี่จึงต้องตกเป็นผู้ผิดนัดชำระดอกเบี้ยให้โจทก์นับแต่วันที่ทำละเมิดคือวันที่รับบัตรภาษีหาใช่นับแต่วันที่จำเลยทั้งสี่ได้รับหนังสือแจ้งให้คืนหรือชดใช้ราคาบัตรภาษีไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1178/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยักยอกเงินรายได้ของสถานศึกษาและค่าเช่าที่ดิน จำเลยต้องชดใช้เงินให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
ฎีกาโจทก์ที่ว่า เงินที่หักหรือลดเป็นค่าการตลาดร้อยละ 5 จากการขายผลิตผลงานฟาร์มของโจทก์ และเงินค่าเช่าหรือค่าตอบแทนจากการใช้ที่ดินของโจทก์ย่อมเป็นเงินของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาจากข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วว่า จะมีผลทางกฎหมายว่าเงินดังกล่าวเป็นของโจทก์ หรือเป็นเงินค่าใช้จ่ายปกติที่ต้องเสียซึ่งเป็นเรื่องที่คณะกรรมการบริหารกับผู้ขายที่สามารถจัดเข้าไว้เป็นเงินกองกลางได้ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย เงินค่าการตลาดที่หักหรือลดให้ไว้จากการขายผลิตผลงานฟาร์ม ของโจทก์เกิดขึ้นหรือมีที่มาจากการขายผลิตผลงานฟาร์ม ของโจทก์ย่อมเป็นเงินของโจทก์ หาได้มีกฎหมายใดบัญญัติให้ เงินนี้เป็นทรัพย์ที่ไม่มีเจ้าของหรือเป็นเงินกองกลางไม่ส่วนเงินที่ได้รับตอบแทนจากการใช้ที่ดินของโจทก์ซึ่งถือว่าเป็นดอกผล ย่อมตกได้แก่เจ้าของทรัพย์คือโจทก์ด้วยเมื่อไม่มีกฎหมายหรือระเบียบให้นำเงินดังกล่าวไปใช้ได้โดยไม่ต้องส่งเป็นรายได้แผ่นดินแล้ว การที่จำเลยนำเงินดังกล่าวไปใช้โดยไม่ส่งคืนโจทก์ ไม่ว่าจะนำไปใช้โดยสุจริตหรือเพื่อประโยชน์ต่อโจทก์ก็ตาม ถือว่าเป็นการนำไปใช้โดยไม่มีอำนาจ จำเลยมีหน้าที่ต้องคืนเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์เมื่อโจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีให้แก่โจทก์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1061/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำกัดจำนวนเงินชำระหนี้ตามคำร้อง ผู้ร้องไม่คิดดอกเบี้ยจนถึงวันยื่นคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิจำนอง โดยขอให้ขายทอดตลาดที่ดินที่จำนองโดยปลอดจำนองแล้วนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้อง แต่ผู้ร้องคิดคำนวณหนี้เพียงวันที่ 30 มกราคม 2524 โดยไม่ได้คิดคำนวณหนี้ถึงวันที่ 8 เมษายน 2524 อันเป็นวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้อง เห็นเจตนาได้ว่าผู้ร้องประสงค์จะให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดมาชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องตามจำนวนเงินที่ผู้ร้องคำนวณมาในคำร้องเท่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาต จำเลยก็ได้วางเงินจำนวนดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว เมื่อผู้ร้องมิได้คำนวณดอกเบี้ยจนถึงวันที่ 8 เมษายน 2524 ซึ่งเป็นวันยื่นคำร้อง และไม่ได้เรียกดอกเบี้ยนับแต่วันยื่นคำร้องจนถึงวันขายทอดตลาดมาในคำร้องกรณีเช่นนี้ ศาลจึงไม่อาจมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระเงินจำนวนดังกล่าวได้ เพราะเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำร้องต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1061/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำกัดสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยตามคำร้องเดิม ผู้ร้องต้องระบุดอกเบี้ยให้ชัดเจนในคำร้องแรก
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิจำนองโดยขอให้ขายทอดตลาดที่ดินที่จำนองโดยปลอดจำนองแล้วนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องแต่ผู้ร้องคิดคำนวณหนี้เพียงวันที่ 30 มกราคม 2524โดยไม่ได้คิดคำนวณหนี้ถึงวันที่ 8 เมษายน 2524 อันเป็นวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้อง เห็นเจตนาได้ว่าผู้ร้องประสงค์จะให้ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดมาชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องตามจำนวนเงินที่ผู้ร้องคำนวณมาในคำร้องเท่านั้นเมื่อศาลชั้นต้นอนุญาต จำเลยก็ได้วางเงินจำนวนดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว เมื่อผู้ร้องมิได้คำนวณดอกเบี้ยจนถึงวันที่ 8 เมษายน 2524 ซึ่งเป็นวันยื่นคำร้อง และไม่ได้เรียกดอกเบี้ยนับแต่วันยื่นคำร้องจนถึงวันขายทอดตลาดมาในคำร้องกรณีเช่นนี้ ศาลจึงไม่อาจมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระเงินจำนวนดังกล่าวได้ เพราะเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำร้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 894/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยสัญญาเงินกู้: การคิดดอกเบี้ยตามอัตราที่ตกลงกัน ไม่ใช่เบี้ยปรับ ศาลแก้เป็นคิดดอกเบี้ย 19% ต่อปี
ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์เพียงว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีเพราะกำหนดอัตราดอกเบี้ยมิใช่เบี้ยปรับหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เพราะมิได้นำสืบไว้ โดยคู่ความมิได้อุทธรณ์หรือยื่นคำแก้อุทธรณ์ไว้และมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นการวินิจฉัยคดีที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 240 และที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยว่าการกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4 เป็นเบี้ยปรับหรือไม่จึงไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น เมื่อปรากฎว่าโจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยตามสำเนาประกาศกระทรวงการคลัง เอกสารหมาย จ.9 ซึ่งตามเอกสารดังกล่าวโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีได้ และได้ระบุจำนวนดอกเบี้ยไว้ในสัญญากู้เงินโดยแจ้งชัดให้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราดังกล่าว การคิดดอกเบี้ยของโจทก์จึงเข้าลักษณะเป็นดอกผลนิตินัยที่โจทก์พึงได้รับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 148 วรรคสาม กรณีหาใช่เป็นเรื่องที่ลูกหนี้สัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งเป็นเบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควร เมื่อลูกหนี้ผิดนัด อันจะถือว่าเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งศาลลดจำนวนลงดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 894/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยตามสัญญา กู้เงินไม่ใช่เบี้ยปรับ ศาลฎีกาวินิจฉัยดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปีเป็นดอกผลนิตินัย
โจทก์ผู้ให้กู้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ19ต่อปีได้ระบุจำนวนดอกเบี้ยไว้ในสัญญากู้เงินโดยแจ้งชัดให้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราดังกล่าวการคิดดอกเบี้ยของโจทก์นี้จึงเข้าลักษณะเป็นดอกผลนิตินัยที่โจทก์พึงได้รับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา148วรรคสามกรณีหาใช่เป็นเรื่องที่ลูกหนี้สัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งเป็นเบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควรเมื่อลูกหนี้ผิดนัดอันจะถือว่าเป็นเบี้ยปรับซึ่งศาลลดจำนวนลงดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าอัตราดอกเบี้ยร้อยละ19ต่อปีตามสำเนากู้เงินเป็นเบี้ยปรับนั้นจึงไม่ถูกต้อง