คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ดุลพินิจ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 923 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2146/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจขายทอดตลาดตามดุลพินิจ ไม่ผูกติดราคาประเมิน ข้อตกลงนอกศาลไม่ผูกพันศาล
เจ้าพนักงานบังคับคดีชอบที่จะขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดให้ได้ราคาดีที่สุดหาใช่ว่าจะต้องขายตามราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะงดการบังคับคดีเพื่อประเมินราคาที่ดินใหม่ และแม้โจทก์จำเลยจะมีข้อตกลงนอกศาลเกี่ยวกับหนี้ตามคำพิพากษา ก็ไม่เป็นเหตุให้งดการบังคับคดี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2143/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาคดีและการรับบัญชีพยาน ศาลมีดุลพินิจได้ตามกฎหมาย
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยโดยเห็นว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาโดยจงใจ และให้นัดสืบพยานโจทก์ต่อไปเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี และไม่เข้ากรณีที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 และ 228 เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งไว้ภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ของ จำเลย จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) จำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคแรกต่อมาหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ไปแล้ว 2 ปาก ยังไม่เสร็จการสืบพยานโจทก์ จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานจำเลย อ้างว่าทนายจำเลยถึงแก่กรรมโดยจำเลยขออ้างตนเองเป็นพยานบุคคลอันดับ 1 และพยานบุคคลอื่นอันดับ 2และ 3 กับพยานเอกสารอันดับ 4 และ 5 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับเฉพาะอันดับ 1,4 และ 5 อันเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นเห็นว่ามีเหตุสมควรรับบัญชีระบุพยานจำเลยเฉพาะเพียงบางอันดับเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรมซึ่งมีอำนาจทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2133/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 248 กรณีโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์
สุกรที่ผู้ร้องขอให้ปล่อยจากการยึด เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้เป็นเงิน 21,000 บาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน50,000 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ส. และจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นพยานผู้ร้องเบิกความถึงเอกสารหมาย ร.1 แตกต่างกันเป็นพิรุธน่าสงสัยว่าเอกสารดังกล่าวได้จัดทำขึ้นหลังยึดสุกรแล้วที่ผู้ร้องฎีกาว่าสุกรดังกล่าวเป็นของผู้ร้องไม่ใช่ของจำเลยที่ 2 การที่ศาลรับฟังพยานโจทก์เป็นการสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารหมาย ร.1 นั้น จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 201/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดุลพินิจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการสอบสวนการยึดทรัพย์: ไม่ต้องสอบสวนพยานผู้คัดค้านเสมอไป
ตามบทบัญญัติในมาตรา 158 แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 นั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีดุลพินิจที่จะพิจารณาว่า พยานหลักฐานที่ ได้สอบสวนแล้วพอที่จะมีคำสั่งได้แล้วหรือไม่ โดยพิจารณาพยานหลักฐานและพฤติการณ์ที่เพียงพอจะทราบความจริง ได้ว่า ทรัพย์ที่ยึด มา นั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีสิทธิยึด หรือไม่ ก็ย่อมถือได้แล้วว่า เป็นการสอบสวนตามความหมายในมาตรา 158 แล้วไม่จำต้องสอบสวนพยานหลักฐานของผู้ร้องต่อไปให้ล่าช้า ผิดวัตถุประสงค์ของกฎหมายล้มละลาย อัน เป็นกฎหมายพิเศษซึ่ง ต้องการให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปโดยด่วน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1853/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับเนื่องจากเป็นการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
จำเลยทั้งสองฎีกาโดยอ้างเป็นข้อกฎหมายว่า ตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 มาตรา 119 ที่แก้ไขแล้ว มีความมุ่งหมายว่าการเทสิ่งของต่าง ๆ ลงในแม่น้ำลำคลองอันจะเป็นเหตุให้เกิดการตื้นเขินหรือตกตะกอน หรือทำให้แม่น้ำลำคลองสกปรกซึ่งโจทก์จะต้องนำพยานมาสืบให้มีข้อเท็จจริงว่า การที่จำเลยที่ 1 เททิ้งขี้เถ้าแกลบลงในแม่น้ำแล้วอันจะเป็นเหตุให้เกิดการตื้นเขินหรือตกตะกอนหรือสกปรกถึงจะครบองค์ประกอบเป็นความผิดแต่โจทก์มิได้นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าว จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิด ดังนี้ ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการมุ่งประสงค์ที่จะให้ฟังว่า การที่จำเลยที่ 1 เททิ้งขี้เถ้าแกลบลงในแม่น้ำน้อยไม่เป็นเหตุให้เกิดการตื้นเขินหรือตกตะกอนหรือทำให้แม่น้ำน้อยสกปรกฎีกาจำเลยทั้งสองจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1662/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากเป็นการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ในประเด็นการประกาศโฆษณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343,86 ให้จำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าการหลอกลวงของจำเลยมิได้มีลักษณะเป็นการประกาศโฆษณาแก่บุคคลทั่วไปพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,86จำคุก 1 ปี 4 เดือน แม้เป็นการแก้ไขมากแต่จำคุกไม่เกิน 2 ปีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 โจทก์ฎีกาว่า พฤติการณ์ของจำเลยตามคำเบิกความของพยานโจทก์แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาประกาศโฆษณาแก่บุคคลทั่วไปแล้วฎีกาของโจทก์เท่ากับโต้เถียงว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังว่าจำเลยมิได้ประกาศโฆษณาแก่บุคคลทั่วไปไม่ถูกต้องเป็นการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1554/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่อนุญาตเลื่อนคดีอาญาเมื่อจำเลยไม่มีทนาย และการใช้ดุลพินิจของศาล
ศาลได้อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีเพราะเหตุทนายจำเลยป่วยและติดธุระมา 2 ครั้งแล้ว โดยได้กำชับให้จำเลยมีทนายความมาว่าความให้ได้ใน 2 นัด ที่เลื่อน และในนัดที่สามด้วย การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีในนัดที่สามโดยจำเลยได้ถามค้านพยานโจทก์ที่สืบในนัดนั้น และศาลชั้นต้นได้ซักถามพยานดังกล่าวไว้ด้วย ถือว่าศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจในการดำเนินกระบวนพิจารณาเหมาะสมและชอบด้วยกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1494/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลมีอำนาจวินิจฉัยพยานหลักฐานและดุลพินิจในการรับฟังเอกสาร แม้ไม่คัดค้านเอกสารในเวลาที่กำหนด
แม้จำเลยมิได้คัดค้านการอ้างเอกสารเป็นพยานของโจทก์เสียก่อนวันสืบพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 ก็เป็นเพียงการห้ามมิให้คู่ความฝ่ายนั้นคัดค้านการมีอยู่และความแท้จริงของเอกสารเมื่อพ้นกำหนดเวลาเท่านั้น หาใช่เป็นบทบังคับให้ศาลต้องยอมรับว่าความจริงเป็นดังเอกสารนั้นไม่ เพราะความจริงเป็นอย่างไรเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องฟังจากพยานหลักฐานอีกชั้นหนึ่งต่างหากซึ่งตามมาตรา 104 บัญญัติให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบนั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1319/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดุลพินิจศาลในการทุเลาการบังคับ: ศาลอุทธรณ์มีดุลพินิจไม่อนุญาตทุเลาการบังคับได้ ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์จะอนุญาตให้ทุเลาการบังคับ ตาม ป.วิ.พ. หรือไม่เป็นดุลพินิจ ศาลอุทธรณ์สั่งว่า พิเคราะห์แล้วคดีไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์นั้น แสดงว่าศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาเหตุผลตามคำร้องและพฤติการณ์แห่งคดีแล้วมีดุลพินิจไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับ และถือว่าเป็นการแสดงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยในการสั่งคำร้องชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 141 แล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1319/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดุลพินิจศาลในการทุเลาการบังคับคดี: การแสดงเหตุผลตามมาตรา 141
การที่ศาลอุทธรณ์จะอนุญาตให้ทุเลาการบังคับที่จำเลยยื่นคำร้องขอมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 231 หรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล ตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่สั่งว่า พิเคราะห์แล้วคดีไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์นั้นเป็นการแสดงว่า ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาเหตุผลตามคำร้องของจำเลยและพฤติการณ์แห่งคดีแล้วมีดุลพินิจไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับ และถือได้ว่า เป็นการแสดงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยในการมีคำสั่งตามคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลย ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 141 แล้ว
of 93