พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,786 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3423/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดการมรดกพระภิกษุ: เจตนาสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมไม่ผูกพันทางกฎหมาย มรดกตกเป็นของวัด
แม้เจ้ามรดกจะมีความประสงค์หรือเจตนารมณ์ที่จะนำทรัพย์สินที่ชาวบ้านมาถวายไปสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมม่อนธาตุก็ตามแต่เจ้ามรดกก็ไม่ได้ทำพินัยกรรมตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้ เพียงแต่แสดงเจตนาไว้เท่านั้น ดังนั้น ความประสงค์หรือเจตนารมณ์ของเจ้ามรดกที่จะสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมม่อนธาตุหลังจากมรณภาพแล้วจึงไม่เกิดเป็นผลบังคับได้ตามกฎหมาย และด้วยเหตุนี้ทรัพย์สินทุกอย่างไม่ว่าจะได้มาโดยทางใดรวมทั้งทรัพย์สินที่ชาวบ้านถวายเพื่อทำบุญสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมม่อนธาตุก็เป็นทรัพย์สินที่เจ้ามรดกได้มาเพราะเป็นพระภิกษุโดยตรง เมื่อเจ้ามรดกมรณภาพในขณะเป็นพระภิกษุโดยมิได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้ใคร ทรัพย์สินของเจ้ามรดกนั้นย่อมตกได้แก่วัดผู้ร้องที่พระภิกษุนั้นมีภูมิลำเนา เมื่อผู้คัดค้านถอนเงินมรดกของเจ้ามรดกซึ่งตามกฎหมายจะต้องตกได้แก่วัดผู้ร้องโดยผู้คัดค้านมิได้นำไปให้วัดผู้ร้องแต่กลับนำไปสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมม่อนธาตุ เมื่อผู้ร้องทวงถามในฐานะเป็นเจ้าของผู้คัดค้านไม่ยอมส่งมอบ ทั้งไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกเป็นการละเลยต่อหน้าที่จึงสมควรถอนผู้คัดค้านจากการเป็นผู้จัดการมรดก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3250/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดการมรดก: การโอนทรัพย์และรับชำระหนี้โดยผู้จัดการมรดก ไม่ถือเป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกหากยังไม่เสร็จสิ้น
จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนางจ.ผู้ตาย การที่จำเลยเพียงแต่ยื่นคำร้องขอโอนที่ดินเป็นของจำเลยทั้งหมดโดยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบ มิใช่การยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกส่วนที่จำเลยรับชำระหนี้แล้วไม่แบ่งเงินแก่โจทก์ทั้งห้าทันทีนั้นเมื่อการจัดการมรดกยังไม่เสร็จ จำเลยก็มีอำนาจเก็บรักษาเงินดังกล่าวไว้เพื่อแบ่งแก่ทายาทต่อไปได้การที่จำเลยยังไม่แบ่งเงินแก่โจทก์ทั้งห้าทันทีจึงไม่เป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกเช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3250/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยักย้าย/ปิดบังทรัพย์มรดก: การขอโอนที่ดินและรับชำระหนี้โดยผู้จัดการมรดกยังไม่ถือเป็นการยักย้าย/ปิดบัง หากยังจัดการมรดกไม่เสร็จ
การที่จำเลยซึ่งศาลตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายยื่นคำร้องขอโอนที่ดินมรดกไปเป็นของจำเลยทั้งหมดโดยไม่แจ้งให้โจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นทายาทของผู้ตายทราบมิใช่เป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกและขณะที่ยังจัดการมรดกไม่เสร็จจำเลยรับชำระหนี้จากลูกหนี้ของผู้ตาย แล้วไม่นำมาแบ่งแก่โจทก์ทั้งห้าทันทีก็ไม่เป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกเช่นเดียวกัน เพราะการจัดการมรดกยังไม่เสร็จ จำเลยมีอำนาจเก็บรักษาเงินดังกล่าวไว้เพื่อแบ่งแก่ทายาทต่อไปได้ จำเลยจึงไม่ถูกกำจัดมิให้ได้มรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1605
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3236/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิในที่ดินจากการตกทอดทางมรดกและการแบ่งทรัพย์มรดกโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้มีข้อจำกัดตาม พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ
ที่พิพาทเป็นของสหกรณ์นิคมจัดสรรให้มารดาของโจทก์และจำเลยทำกินเนื่องจากมารดาของโจทก์และจำเลยชรามากและเจ็บป่วยไม่สะดวกที่จะเข้าประชุมได้ จึงให้จำเลยถือสิทธิแทน ดังนี้เมื่อมารดาตายสิทธิในที่พิพาทจึงเป็นทรัพย์มรดกซึ่งจะต้องตกเป็นของทายาทตามกฎหมายจำเลยเป็นเพียงผู้ถือสิทธิแทนทายาท กรณีพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับสิทธิในที่พิพาทได้มีการไกล่เกลี่ยและตกลงกันเป็นสัญญาแบ่งทรัพย์มรดกระหว่างโจทก์และจำเลย ซึ่งการโอนด้วยการตกทอดโดยทางมรดกเป็นข้อยกเว้นตาม มาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 อนุญาตให้ทำได้ สัญญาดังกล่าวหาได้มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยกฎหมายอันจะตกเป็นโมฆะไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3061/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สินสมรสจากมรดกและทรัพย์สินที่ได้จากการขายมรดก แม้มีการหย่าขาด กรรมสิทธิ์ในสินสมรสยังคงอยู่
ผู้ร้องได้รับมรดกจากบิดาระหว่างสมรสก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ตรวจชำระใหม่พ.ศ. 2519 มรดกที่ได้จึงเป็นสินสมรส การที่ผู้ร้องนำเงินที่ได้จากการขายทรัพย์มรดกดังกล่าวไปซื้อที่ดินพิพาทภายหลังที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 ใช้บังคับแล้ว ที่ดินพิพาทจึงเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 แม้ต่อมาจะหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยาก็หากระทบกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 ในที่ดินพิพาทใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2609/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการจัดการมรดกสงวนสำหรับทายาท ผู้มีส่วนในทรัพย์มรดกฐานเจ้าของรวมย่อมมีสิทธิเรียกร้องได้
ที่ดินทรัพย์มรดกแปลงหนึ่งผู้คัดค้านมีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวม ที่ผู้คัดค้านอ้างว่าเคยอยู่กินฉันสามีภรรยากับผู้ตายนั้น ก็มีแต่คำเบิกความลอย ๆ ของผู้คัดค้านเท่านั้น ผู้ร้องเองก็เบิกความว่าผู้คัดค้านไม่เคยมาอยู่กับผู้ตายและไม่เคยมาพักที่บ้านผู้ตายเลย จึงเป็นการยากที่จะรับฟังว่า ผู้คัดค้านมีความผูกพันกับผู้ตายถึงขั้นสมควรจะเข้าไปร่วมดูแลจัดการทรัพย์มรดกผู้ตาย อีกทั้งได้ความจากคำเบิกความของผู้คัดค้านว่า ที่ผู้คัดค้านต้องการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายนั้นก็เพื่อป้องกันมิให้ทรัพย์สินที่ผู้คัดค้านมีส่วนร่วมอยู่ด้วยเกิดความเสียหายจากการจัดการมรดกของฝ่ายผู้ร้อง อันเป็นเจตนาที่มุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตน หาใช่กระทำเพื่อความชอบธรรมและประโยชน์ของทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายโดยตรงไม่ กรณีเช่นนี้ถ้าผู้คัดค้านซึ่งมิใช่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายมีส่วนในทรัพย์มรดกของผู้ตายในฐานะเจ้าของรวมอย่างไรก็ชอบจะเรียกร้องเอาได้โดยไม่จำต้องมีฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายอยู่แล้ว จึงให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่เพียงผู้เดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2385/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความการฟ้องเรียกมรดกและการขาดสิทธิในทรัพย์มรดก
โจทก์ทั้งสี่กับ ช.เป็นบุตรของ ท. ส่วนจำเลยเป็นภริยาของ ช.มีบุตรด้วยกัน 3 คน ช.ได้รับที่พิพาทมาด้วยการยกให้ ต่อมาปี 2520 ช.จดทะเบียนให้จำเลยและบุตรอีก 2 คน เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาท ช.ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2521หลังจากนั้นจำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกแต่ผู้เดียวโดย ท.ไม่ได้เกี่ยวข้องท.ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2531 ต่อมาศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยให้เป็นผู้จัดการมรดก เมื่อปรากฏว่านับแต่วันที่ ช.ถึงแก่กรรมถึงวันที่ ท.ถึงแก่กรรมเป็นเวลา 10 ปีเศษแม้จะไม่ปรากฏว่า ท.ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของ ช.หรือไม่ แต่การที่ ท.มิได้ฟ้องเรียกมรดกภายในกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ ช.ถึงแก่กรรม ก็ย่อมขาดอายุความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรคท้าย โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีโดยอาศัยสิทธิของ ท. เมื่อสิทธิของ ท.ในการฟ้องเรียกมรดกขาดอายุความแล้ว คดีโจทก์ทั้งสี่ย่อมขาดอายุความด้วย และเมื่อโจทก์ทั้งสี่ไม่มีสิทธิในที่พิพาทซึ่งเป็นมรดกของ ท.จึงนำบทบัญญัติในมาตรา 1733 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2385/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีมรดก: สิทธิทายาทขาดอายุความเมื่อไม่ฟ้องภายใน 10 ปีนับจากเจ้ามรดกเสียชีวิต
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของนาย ท. เจ้ามรดกและมีทายาทคือนาง ท. ซึ่งเป็นมารดา กับจำเลยซึ่งเป็นภริยาของเจ้ามรดก ต่อมานาย ท. ถึงแก่ความตาย ที่ดินอันเป็นมรดกในส่วนที่ตกได้แก่นาง ท. จึงตกแก่โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นบุตรของนาง ท.แต่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายท. ได้โอนทรัพย์มรดกเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียว ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสี่ ดังนี้ เมื่อนายท.ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่29มกราคม2521และนางท.ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2531 แม้จะไม่ปรากฏว่านาง ท.ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของนายท. หรือไม่อันจะฟังว่าขาดอายุความหนึ่งปีตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคแรกก็ตาม แต่การที่ นาง ท. มิได้ฟ้องเรียกมรดกภายในกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่นาย ท. ถึงแก่ความตายก็ย่อมขาดอายุความตามมาตรา 1754 วรรคท้าย เมื่อโจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีโดยอาศัยสิทธิของนาง ท. คดีของโจทก์ทั้งสี่ก็ย่อมขาดอายุความด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2385/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความการฟ้องเรียกมรดกและการขาดสิทธิในการฟ้องของทายาท
โจทก์ทั้งสี่กับ ช.เป็นบุตรของท. ส่วนจำเลยเป็นภริยาของ ช.มีบุตรด้วยกัน3คนช. ได้รับที่พิพาทมาด้วยการยกให้ต่อมาปี 2520 ช. จดทะเบียนให้จำเลยและบุตรอีก 2 คน เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาท ช. ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2521 หลังจากนั้นจำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกแต่ผู้เดียวโดย ท. ไม่ได้เกี่ยวข้อง ท. ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2531 ต่อมาศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยให้เป็นผู้จัดการมรดก เมื่อปรากฏว่านับแต่วันที่ ช. ถึงแก่กรรมถึงวันที่ ท. ถึงแก่กรรมเป็นเวลา 10 ปีเศษ แม้จะไม่ปรากฏว่าท.ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของช.หรือไม่แต่การที่ท.มิได้ฟ้องเรียกมรดกภายในกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ ช.ถึงแก่กรรม ก็ย่อมขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคท้าย โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีโดยอาศัยสิทธิของ ท.เมื่อสิทธิของ ท. ในการฟ้องเรียกมรดกขาดอายุความแล้ว คดีโจทก์ทั้งสี่ย่อมขาดอายุความด้วย และเมื่อโจทก์ทั้งสี่ไม่มีสิทธิในที่พิพาทซึ่งเป็นมรดกของ ท. จึงนำบทบัญญัติในมาตรา 1733 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2376/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีมรดกและการยกเว้นตามฐานะตัวแทนทายาท
โจทก์ฟ้องคดีในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของ ง.เรียกเอาทรัพย์มรดกที่ทายาทของ ง.ยึดถือไว้เพื่อนำมาจัดการตามอำนาจหน้าที่เป็นการฟ้องคดีมรดกง.ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2515 โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 3 กันยายน 2530พ้นกำหนด 10 ปี นับแต่ ง.เจ้ามรดกถึงแก่กรรม จึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 1754 วรรค 4
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 เข้าครอบครองทำกินในที่ดินมรดกโดยยังไม่ได้แบ่งกัน เป็นการครอบครองแทนทายาทอื่น โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทจึงเป็นตัวแทนของทายาทมีสิทธิฟ้องเรียกทรัพย์มรดกเพื่อจัดการแบ่งปันต่อไปได้แม้จะล่วงพ้นกำหนดเวลาตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 แล้ว แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้เช่นนี้ ฎีกาของโจทก์จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 เข้าครอบครองทำกินในที่ดินมรดกโดยยังไม่ได้แบ่งกัน เป็นการครอบครองแทนทายาทอื่น โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทจึงเป็นตัวแทนของทายาทมีสิทธิฟ้องเรียกทรัพย์มรดกเพื่อจัดการแบ่งปันต่อไปได้แม้จะล่วงพ้นกำหนดเวลาตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 แล้ว แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้เช่นนี้ ฎีกาของโจทก์จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง