คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ลงโทษ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,439 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1233/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานมีอาวุธปืนและพกพา, การลงโทษกรรมต่างกัน, และการริบรถจักรยานยนต์
การมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตมีความผิดมาตั้งแต่เริ่มครอบครองเป็นกรรมหนึ่ง และเมื่อได้พกพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยผิดกฎหมายก็เป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง จึงเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด
การที่จำเลยได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ของกลางไปพยายามปล้นทรัพย์แต่ก็เป็นเพียงยานพาหนะไปมาและพาจำเลยกับพวกหลบหนีให้พ้นจากการจับกุมโดยสะดวกและรวดเร็วเท่านั้น รถจักรยานยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1166/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปรับบทลงโทษตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ แม้ฟ้องอ้างกฎหมายเดิม ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษตามกฎหมายใหม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทำการประมงโดย ไม่ได้รับอนุญาตคำขอท้ายฟ้องระบุอ้าง พ.ร.บ. การประมงฯ มาตรา 20 ซึ่ง เป็นบทมาตราความผิด และมาตรา 62 ทวิ ซึ่ง เป็นบทกำหนดโทษและอ้างประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 105 ข้อ 4 ซึ่ง แก้ไขมาตรา62 ทวิ แต่ ในขณะที่จำเลยกระทำผิดได้ มี พ.ร.บ. การประมง (ฉบับที่ 3)ออกใช้ บังคับแล้ว โดย แก้ไขมาตรา 62 ทวิ แม้โจทก์ จะมิได้อ้างพ.ร.บ. การประมง (ฉบับที่ 3)ฯ แต่ ได้ อ้างกฎหมายเดิม ซึ่งมีความผิดอยู่ ถือ ว่าฟ้อง โจทก์ได้ อ้างมาตราที่ลงโทษจำเลยมาสมบูรณ์แล้ว ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 2 ตาม กฎหมายที่แก้ไขใหม่ได้และการปรับบทลงโทษดังกล่าวมี ผลถึง จำเลยที่ 1 ซึ่ง ไม่มีฝ่ายใดฎีกาด้วย แต่ โทษที่ลงแก่จำเลยที่ 1 คงยุติไปตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1001/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารและใช้เอกสารปลอม พิจารณาความผิดกรรมเดียวและบทหนัก
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า การที่จำเลยปลอมขึ้นซึ่ง ดวงตราของ กระทรวงการต่างประเทศ แล้วนำไปประทับในหนังสือเดินทางให้เกิดรอยตรา ที่ประทับเหมือนของจริง จึงเป็นการปลอมหนังสือเดินทางสำเร็จบริบูรณ์สมเจตนาของจำเลยแล้ว การกระทำของจำเลยส่วนนี้จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อ กฎหมายหลายบท ตาม ป.อ. มาตรา 265 กับมาตรา 251 ซึ่ง เป็นบทหนักกระทงหนึ่ง ส่วนการที่จำเลยนำหนังสือเดินทางปลอมซึ่ง มีรอยตรา ปลอมประทับดังกล่าวไปใช้ แสดงต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เพื่อตรวจ ประทับตราเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรนั้น การกระทำของจำเลยส่วนหลังนี้จึงเป็นการใช้เอกสารปลอมและรอยตรา ปลอมในขณะเดียว กัน เป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ตาม ป.อ. มาตรา 268 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 265 และมาตรา 252 ประกอบด้วย มาตรา 251 ต้องลงโทษตาม มาตรา 252 ซึ่ง เป็นบทหนัก แต่ ตาม มาตรา 263 กำหนดว่าผู้กระทำผิดตาม มาตรา 251 หากกระทำผิดตาม มาตราอื่นในหมวดนี้อันเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดจากการกระทำความผิดนั้นด้วย ให้ลงโทษตาม มาตรา251 เพียงกระทงเดียว ดังนี้ จึงต้อง ลงโทษจำเลยตาม มาตรา 251 ประกอบด้วย มาตรา 263 เพียงกระทงเดียว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษฐานปล้นทรัพย์: การพิจารณาจากคำฟ้องและพฤติการณ์ที่กระทำความผิด
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยกับพวกร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย โดยใช้มือรัดคอผู้เสียหายแล้วใช้อาวุธปืนขู่เข็ญจ่อจี้ บังคับผู้เสียหายว่าในทันใดนั้นจะใช้อาวุธปืนยิงประทุษร้ายผู้เสียหาย โดยมิได้บรรยายว่าในการปล้นทรัพย์ได้กระทำโดยใช้ปืนยิง ดังนั้นแม้ทางพิจารณาจะได้ความว่าในการปล้นทรัพย์นั้นพวกจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายด้วย จำเลยก็คงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 962/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสนับสนุนการกระทำผิดพยายามฆ่า แม้ไม่ได้บรรยายในฟ้อง ศาลลงโทษฐานผู้สนับสนุนได้
จำเลยที่ 3 จัดหารถจักรยานยนต์ให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2ใช้ขับขี่ไล่ยิงผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 3 ยังไม่ถึงขั้นเป็นตัวการ เป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด แม้ฟ้องโจทก์จะไม่ได้บรรยายเพื่อขอให้ลงโทษจำเลยที่ 3 ในฐานเป็นผู้สนับสนุน ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 3 ฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ เพราะมีโทษเบากว่าตัวการตามที่โจทก์ฟ้อง.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 946/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยใช้มีดจนบาดเจ็บสาหัส ศาลพิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297
จำเลยใช้มีดปังตอฟันโจทก์ร่วมที่ 1 ถูกที่หน้าผากด้านขวาได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเลยจะฟันซ้ำ โจทก์ร่วมที่ 2 ซึ่งเป็นภรรยาของโจทก์ร่วมที่ 1 วิ่งเข้ามาขวางไว้ จึงถูกจำเลยฟันที่ศีรษะจำเลยจะฟันซ้ำ โจทก์ร่วมที่ 2 ยกมือขึ้นรับจึงถูกฟันที่นิ้วมือเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยกระทำโดยบันดาลโทสะ จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 และมาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 แต่การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 814/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน: ศาลลงโทษตามกรรมเดียวได้หากฟ้องไม่ชัดเจน
เมื่อตามคำฟ้องโจทก์มิได้บรรยายรายละเอียดการกระทำของจำเลยให้ปรากฏพอที่จะให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยเป็นแต่ละกรรมแยกตามจำนวนผู้เสียหายนอกเหนือไปจากคำฟ้องหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 70/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท กรณีร่วมกันยิงผู้เสียหายหลายคน ศาลฎีกาแก้โทษจำคุกเฉพาะความผิดฐานฆ่า
จำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันมาใช้อาวุธปืนยิงนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคยะลา เพราะเหตุเคยมีเรื่องวิวาททำร้ายกับนักเรียนโรงเรียนซึ่งจำเลยกับพวกเรียนอยู่ เมื่อพบผู้ตายกับผู้เสียหายต่างแต่งกายชุดวิทยาลัยเทคนิคยะลา และยืนอยู่ใกล้กัน จึงยิงคนทั้งสองในเวลาต่อเนื่องกัน โดยไม่ปรากฏว่าพวกจำเลยที่ยิงมีเจตนายิงเฉพาะผู้ตาย แต่เพิ่มเจตนายิงผู้เสียหายอีกคนหนึ่งในภายหลังเป็นพิเศษแล้วก็ต้องฟังเป็นคุณแก่จำเลยว่า จำเลยกับพวกร่วมกระทำผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่สองกรรมสองกระทง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 599/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการลงโทษตามความผิดฐานฉ้อโกง แม้ฟ้องในความผิดฐานปล้นทรัพย์ โดยจำเลยไม่หลงต่อสู้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาปล้นทรัพย์ แม้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ก็ตาม แต่การกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ก็เป็นการลักทรัพย์โดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปและกระทำการอันมีลักษณะเป็นการชิงทรัพย์ซึ่งเป็นการได้ทรัพย์ของผู้เสียหายไปเช่นเดียวกัน จึงถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ศาลต้องยกฟ้อง เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธโดยนำสืบว่าได้ทรัพย์ไปจากผู้เสียหายจริง แต่ไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง แสดงว่าจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 527/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำไม้และสนับสนุนการเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ: ความผิดฐานสนับสนุนและการลงโทษ
ไม้ฟืนเป็นไม้ที่ไม่เหมาะสมจะนำไปใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นนอกจากเป็นเชื้อเพลิงพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ.2507มาตรา4ก็ได้ให้คำนิยามของคำว่าไม้กับคำว่าของป่าไว้แยกต่างหากจากกันและไม้ฟืนถูกกำหนดให้เป็นของป่าอย่างหนึ่งไม้ฟืนจึงไม่ใช่ไม้ตามความหมายของมาตรา4แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเมื่อจำเลยนำไม้ฟืนออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติจึงไม่มีความผิดฐานทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ไม้ฟืนของกลางที่จำเลยรับจ้างบรรทุกรถยนต์มานั้นถูกเก็บกองอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติความผิดฐานเก็บหาไม้ฟืนซึ่งเป็นของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติจึงยังไม่ขาดตอนการที่จำเลยหลบหนีไปเพราะพบเห็นเจ้าหน้าที่แสดงว่าจำเลยทราบดีว่าไม้ฟืนของกลางอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติจำเลยรับจ้างบรรทุกไม้ฟืนอันเป็นของป่าซึ่งมีผู้กระทำผิดนำมากองไว้เพื่อจะนำออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติจึงเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้กระทำความผิดฐานเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าวตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ.2507มาตรา14,31วรรคหนึ่งประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา86ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวกับความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484มาตรา29ทวิ71ทวิลงโทษบทหนักที่สุดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ.2507.
of 144