คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ลักทรัพย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,595 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่เพียงพอเชื่อว่าจำเลยกระทำผิด ลักทรัพย์ ศาลต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
โจทก์มีพยานเพียงปากเดียวแต่มิได้รู้เห็นขณะจำเลยลักเอาเงินของผู้เสียหายไป โดยพยานออกไปจากกระท่อมนานานประมาณ 30นาทีก็กลับมาพบเห็นจำเลยยืนอยู่ใต้กระท่อมนา และพบว่าเงินของผู้เสียหายที่อยู่บนกระท่อมนาได้หายไป ดังนี้ หากจำเลยเป็นคนร้ายเมื่อได้เงินแล้วก็น่าจะรีบหนีออกไปจากกระท่อมนา ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยจะมายืนอยู่ใต้กระท่อมนา ทั้งกระท่อมนาที่เกิดเหตุตั้งอยู่ในที่เปิดเผยใกล้ทางที่ชาวบ้านผ่านไปมา ฉะนั้นระยะเวลาที่พยานไปและกลับมาที่กระท่อมนา คนที่เดินผ่านจึงมีโอกาสที่จะขึ้นไปลักเอาเงินบนกระท่อมนาได้โดยง่าย ส่วนการที่พยานถามจำเลยว่ามาทำอะไร จำเลยไม่ตอบกลับเดินออกไปและเมื่อจำเลยเห็นเจ้าพนักงานตำรวจก็วิ่งหนีนั้น แม้เป็นการกระทำอันเป็นพิรุธก็ตาม แต่การกระทำอันเป็นพิรุธของจำเลยดังกล่าวและการที่จำเลยยืนอยู่ใต้กระท่อมนาภายหลังจากที่เงินของผู้เสียหายได้หายไปนั้นเป็นเพียงพฤติการณ์ที่น่าสงสัยว่าจำเลยน่าจะเป็นคนร้ายเท่านั้น เมื่อโจทก์ไม่มีพยานอื่นมาสืบประกอบเพื่อยืนยันให้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดจริง พยานโจทก์จึงยังเป็นที่สงสัย ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 414/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกเคหสถานเพื่อลักทรัพย์: ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ในเคหสถาน
จำเลยเข้าไปในบ้านพักของผู้เสียหายในเวลาที่ผู้เสียหายและภริยาต้องไปทำงานนอกบ้าน โดยจำเลยคิดว่าผู้เสียหายกับภริยาไม่อยู่บ้าน และปีน หน้าต่างเข้าไปเช่นนี้ เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาบุกรุกเข้าไปเพื่อลักทรัพย์ของผู้เสียหายซึ่งอยู่ภายในบ้านพักนั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3880/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแย่งปืนและการลักทรัพย์หลังเกิดเหตุชิงทรัพย์: ศาลฎีกาแก้เป็นลักทรัพย์และมีอำนาจพิพากษาถึงจำเลยที่ไม่เคยอุทธรณ์
ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 โกรธผู้ตาย เพราะเหตุที่ผู้ตายไปตามหาจำเลยที่ 1 เพื่อจะจับกุม จำเลยทั้งสองจึงมาหาผู้ตายโดยจำเลยที่ 1 นำมีดติดตัวมาด้วย เมื่อผู้ตายจะจับกุม จำเลยที่ 1 กับผู้ตายจึงเกิดกอดปล้ำแย่งอาวุธปืนกัน จำเลยที่ 1 แย่งอาวุธปืนมาได้จึงยิงผู้ตายล้มลง จำเลยที่ 1 จึงเอาอาวุธปืนของผู้ตายหลบหนีไปด้วยเพื่อประโยชน์ส่วนตัว โดยจำเลยที่ 2 มิได้มีส่วนร่วมอยู่ด้วยจำเลยที่ 1 คงมีความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธเท่านั้นไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ เหตุดังกล่าวเป็นเหตุลักษณะคดีศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วย มาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3880/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาชิงทรัพย์ vs. ลักทรัพย์หลังต่อสู้ การเปลี่ยนแปลงข้อกล่าวหาและการพิพากษา
ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 โกรธผู้ตาย เพราะเหตุที่ผู้ตายไปตามหาจำเลยที่ 1 เพื่อจะจับกุม จำเลยทั้งสองจึงมาหาผู้ตายโดยจำเลยที่ 1 นำมีดติดตัวมาด้วย เมื่อผู้ตายจะจับกุม จำเลยที่ 1กับผู้ตายจึงเกิดกอดปล้ำแย่งอาวุธปืนกัน จำเลยที่ 1 แย่งอาวุธปืนมาได้จึงยิงผู้ตายล้มลง จำเลยที่ 1 จึงเอาอาวุธปืนของผู้ตายหลบหนีไปด้วยเพื่อประโยชน์ส่วนตัว โดยจำเลยที่ 2 มิได้มีส่วนร่วมอยู่ด้วยจำเลยที่ 1 คงมีความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธเท่านั้นไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ เหตุดังกล่าวเป็นเหตุลักษณะคดีศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วย มาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3792/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษจำเลยในความผิดฐานฆ่าและลักทรัพย์ ศาลต้องลงโทษตามความผิดที่พยานหลักฐานรับฟังได้ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 3 ฆ่าผู้ตายแล้วจึงได้เอาทรัพย์สินและรถจักรยานยนต์ของกลางไป จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 กระทงหนึ่ง และฐานลักทรัพย์อีกกระทงหนึ่ง หามีความผิดฐานฆ่าผู้ตายเพื่อจะเอาทรัพย์สินตามมาตรา 289 (7) ไม่ แม้จำเลยที่ 3 จะให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณาของศาลว่าได้กระทำความผิดฐานดังกล่าวด้วย แต่เมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้กระทำความผิดตามข้อหาที่ให้การรับสารภาพ ศาลก็ลงโทษในข้อหาความผิดที่รับสารภาพหาได้ไม่
เมื่อจำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน แต่การกระทำเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ซึ่งมีโทษเบากว่ามาตรา 289 (7) และเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 4 จะมิได้ฎีกา ศาลก็มีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 4 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213 ประกอบด้วย มาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 375/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์โดยมีเจตนาใช้กำลังทำร้ายร่างกายเพื่อความสะดวกในการลักทรัพย์
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 กับพวกอีก 2 คนเข้าไปในบ้านและพยายามลักทรัพย์ของผู้เสียหาย แล้วพวกของจำเลยดังกล่าวได้ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายแก่กายเพื่อสะดวกในการลักทรัพย์ หรือพาทรัพย์ไปแต่ไม่สามารถพาทรัพย์นั้นไปได้ เพราะมีผู้มาพบเห็นเสียก่อน ดังนี้การที่พวกของจำเลยที่ 1 ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายดังกล่าว จึงมิได้นอกเหนือความมุ่งหมายหรือเจตนาของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยที่ 1 กับพวกจึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคแรก 80.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3318/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายและฐานวิ่งราวทรัพย์ ศาลฎีกาแก้ไขโทษตามองค์ประกอบความผิดที่ถูกต้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกในการกระทำผิดและพาทรัพย์นั้นไป ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยฉกฉวยพาหนีไปต่อหน้าอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เห็นได้ว่าโจทก์ไม่ได้ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานวิ่งราวทรัพย์ด้วย จะลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ไม่ได้ คงลงโทษจำเลยทั้งสองได้ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเท่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3318/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายกับฐานวิ่งราวทรัพย์: ความแตกต่างและขอบเขตการลงโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกในการกระทำผิดและพาทรัพย์นั้นไป ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยฉกฉวยพาหนีไปต่อหน้าอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เห็นได้ว่าโจทก์ไม่ได้ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานวิ่งราวทรัพย์ด้วย จะลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ไม่ได้ คงลงโทษจำเลยทั้งสองได้ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเท่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2417/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมกันพยายามลักทรัพย์: การกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ การร่วมรู้ร่วมคิด และการเป็นตัวการร่วม
การที่จำเลยที่ 2 กำลังไขกุญแจคอรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายและถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม เป็นการลงมือกระทำความผิดฐานลักทรัพย์แล้ว จำเลยที่ 1 ขับขี่รถจักรยานยนต์พาจำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้ายไปที่เกิดเหตุยามวิกาลแล้วยืนอยู่ใกล้เคียงกับจำเลยที่ 2 ในขณะเกิดเหตุ น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ร่วมรู้ร่วมคิดกับจำเลยที่ 2ในการลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายโดยยืนคุมเชิงพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ ถือได้ว่าแบ่งหน้าที่กันทำเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดด้วยกับจำเลยที่ 2.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2417/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความร่วมมือลักทรัพย์: การแบ่งหน้าที่และเจตนาในการกระทำผิดฐานพยายามลักทรัพย์
จำเลยที่ 1 ขับขี่รถจักรยานยนต์พาจำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้ายไปที่เกิดเหตุในเวลากลางคืน แล้วยืนคุมเชิงอยู่ใกล้เคียงกับจำเลยที่ 2พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในขณะที่จำเลยที่ 2 ไขกุญแจคอรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย ถือได้ว่าเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำจำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 การที่จำเลยที่ 2 ไขกุญแจคอรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายเป็นการลงมือกระทำความผิดฐานลักทรัพย์แล้ว เมื่อกระทำไปไม่ตลอดเพราะเจ้าพนักงานตำรวจพบเห็นเสียก่อน จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานพยายามลักทรัพย์
of 160