พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8239/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาของผู้สมัครรับเลือกตั้งที่เอกสารไม่ครบถ้วนและพ้นกำหนด
หลักเกณฑ์ในการที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งรับสมัครผู้สมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 32 และ 34 แห่ง พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2541 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2543 ประการแรก ต้องเป็นผู้สมัครที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งรับใบสมัครและลงบันทึกการรับสมัครพร้อมกับได้ออกใบรับให้แก่ผู้สมัครนั้นแล้ว ประการที่สอง ผ่านการตรวจสอบและสอบสวนของผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งแล้ว ประการที่สาม ไม่มีชื่อเป็นผู้สมัครในประกาศของผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง ดังนั้น ที่ผู้ร้องได้ยื่นใบสมัครครั้งแรก แต่ผู้คัดค้านเห็นว่าเอกสารหลักฐานไม่ครบถ้วน จึงให้ผู้ร้องไปนำเอกสารมาให้ครบ เมื่อผู้ร้องกลับมาอีกครั้งเมื่อเวลา 17 นาฬิกา ปรากฏว่าพ้นกำหนดระยะเวลายื่นใบสมัคร ผู้คัดค้านจึงไม่รับใบสมัคร ไม่ลงบันทึกการรับสมัครไว้เป็นหลักฐาน และไม่มีการออกใบรับให้แก่ผู้ร้อง ดังนี้ ผู้ร้องยังไม่ผ่านขั้นตอนการรับสมัครตามมาตรา 32 อย่างครบถ้วน จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อให้มีคำสั่งตามมาตรา 34 ได้
ตาม พ.ร.บ. ดังกล่าว มาตรา 34 บัญญัติให้ผู้สมัครยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลในการดำเนินกระบวนพิจารณา ที่ศาลชั้นต้นรับค่าธรรมเนียมศาลไว้จึงไม่ถูกต้อง
(คำสั่งศาลฎีกา)
ตาม พ.ร.บ. ดังกล่าว มาตรา 34 บัญญัติให้ผู้สมัครยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลในการดำเนินกระบวนพิจารณา ที่ศาลชั้นต้นรับค่าธรรมเนียมศาลไว้จึงไม่ถูกต้อง
(คำสั่งศาลฎีกา)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8191/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันครอบครองเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่าย: ศาลฎีกาแก้เป็นจำคุกตลอดชีวิตและจำคุก 16 ปี 8 เดือน
เมื่อ ว. สายลับผู้ล่อซื้อไปถึงบ้านของจำเลยที่ 1 ตามที่นัดหมายก็ได้ซื้อแอปเปิ้ลจำนวน 2 กล่อง ไปให้จำเลยที่ 1 บรรจุเมทแอมเฟตามีนและจำเลยที่ 1 ได้นำกล่องแอปเปิ้ลให้จำเลยที่ 2 บุตรชายนำไปบรรจุเมทแอมเฟตามีนที่กระท่อมในส่วนตรงข้ามบ้านของจำเลยที่ 1 ว. ได้ให้ สัญญาณและเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมขณะที่จำเลยที่ 2 กำลังนำเอาเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนในกล่องกระดาษโดยยังมิได้ส่งมอบ ดังนี้ การซื้อขายเมทแอมเฟตามีนระหว่างสายลับและจำเลยทั้งสองยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ การกระทำของจำเลยทั้งสองอยู่ในระหว่างการพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน
ขณะเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุม จำเลยที่ 1 กำลังยืนถือวิทยุมือถืออยู่ที่หน้าบ้านเพื่อคอยดักฟังความเคลื่อนไหวของเจ้าพนักงานตำรวจ และสามารถมองเห็นกระท่อมร้างในสวนหน้าบ้านของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสถานที่จับจำเลยที่ 2 ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลาง ก่อนการจับกุม ว. ได้ติดต่อกับจำเลยที่ 1 เพื่อขอวางมัดจำซื้อเมทแอมเฟตามีนจำนวน100,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 ไม่ตกลงและนัดให้ ว. ไปพบใหม่และวางมัดจำ 150,000 บาท แก่จำเลยที่ 1 โดยนัดรับเมทแอมเฟตามีนในวันจับกุม ดังนี้ เมื่อประกอบพยานหลักฐานอื่นตามสำนวนแล้วฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 2 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ขณะเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุม จำเลยที่ 1 กำลังยืนถือวิทยุมือถืออยู่ที่หน้าบ้านเพื่อคอยดักฟังความเคลื่อนไหวของเจ้าพนักงานตำรวจ และสามารถมองเห็นกระท่อมร้างในสวนหน้าบ้านของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสถานที่จับจำเลยที่ 2 ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลาง ก่อนการจับกุม ว. ได้ติดต่อกับจำเลยที่ 1 เพื่อขอวางมัดจำซื้อเมทแอมเฟตามีนจำนวน100,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 ไม่ตกลงและนัดให้ ว. ไปพบใหม่และวางมัดจำ 150,000 บาท แก่จำเลยที่ 1 โดยนัดรับเมทแอมเฟตามีนในวันจับกุม ดังนี้ เมื่อประกอบพยานหลักฐานอื่นตามสำนวนแล้วฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 2 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8154/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกายกประเด็นความไม่ชอบที่ศาลล่างลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมเกินกว่าที่ฟ้อง และสั่งริบของกลางได้ แม้คู่ความมิได้ฎีกา
ความผิดสองกระทงหลังโจทก์ฟ้องเฉพาะฐานปลอมเอกสารมิได้ฟ้องฐานใช้เอกสารปลอมด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264,266(4),268,335(7)(11),32,33,83,91 และขอให้ริบของกลางคือเช็ค 2 ฉบับ ที่จำเลยทั้งสองลักไปและทำการปลอมด้วย แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้มีคำวินิจฉัยว่าจะริบของกลางนั้นหรือไม่ คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9) แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 225 และการริบทรัพย์สินของกลางนี้ไม่เป็นการเพิ่มโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามตามมาตรา 212
เช็คของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองลักไปแล้วทำการปลอมเช็คจึงให้ริบ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264,266(4),268,335(7)(11),32,33,83,91 และขอให้ริบของกลางคือเช็ค 2 ฉบับ ที่จำเลยทั้งสองลักไปและทำการปลอมด้วย แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้มีคำวินิจฉัยว่าจะริบของกลางนั้นหรือไม่ คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9) แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 225 และการริบทรัพย์สินของกลางนี้ไม่เป็นการเพิ่มโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามตามมาตรา 212
เช็คของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองลักไปแล้วทำการปลอมเช็คจึงให้ริบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8102/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทลงโทษในคดีพยายามลักทรัพย์: ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขได้ แต่จำกัดด้วยการที่โจทก์มิได้อุทธรณ์/ฎีกาขอโทษหนักขึ้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335,336 ทวิ,80 เมื่อจำเลยรับสารภาพ จึงต้องฟังว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องซึ่งต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 336 ทวิ และต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท แต่ศาลชั้นต้นไม่ได้ปรับบทลงโทษตามมาตรา 336 ทวิและวางโทษจำคุก 8 เดือน แล้วลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 4 เดือนต่ำกว่าอัตราโทษขั้นต่ำของมาตรา 335(1)(8) วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 80,336 ทวิ จึงเป็นการไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้ แต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์หรือฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยเพิ่มขึ้นศาลฎีกาไม่อาจแก้ไขโทษที่ลงแก่จำเลยได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 212ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8099/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยคดีแรงงานและการรับฟังพยานหลักฐาน ศาลฎีกายืนตามศาลแรงงานกลาง
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 51 วรรคหนึ่ง ว่า "คำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลแรงงานให้ทำเป็นหนังสือ และต้องกล่าวหรือ แสดงข้อเท็จจริงที่ฟังได้โดยสรุปและคำวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดี พร้อมด้วยเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยนั้น" กรณีจึงไม่อาจนำ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 141 มาใช้ในการ วินิจฉัยคดีแรงงานอีก
ตามอุทธรณ์ของโจทก์พอแปลได้ว่า โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางไม่ได้ให้เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยว่าเหตุใดคำเบิกความของ ช. จึงไม่เป็นพิรุธ เมื่อปรากฏว่าศาลแรงงานกลางได้ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของจำเลยแล้วเห็นว่าสอดคล้องกันตามลำดับไม่เป็นพิรุธมีน้ำหนักฟังได้ว่าโจทก์ประพฤติผิดวินัยอย่างร้ายแรง ดังนี้คำพิพากษาศาลแรงงานกลางได้ให้เหตุผลไว้ครบถ้วนและชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางหยิบยกพยานหลักฐานส่วนที่เป็นประโยชน์แก่จำเลยมาวินิจฉัยโดยไม่นำพยานหลักฐานส่วนของโจทก์ที่เป็นประโยชน์มาหักล้าง เป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
ตามอุทธรณ์ของโจทก์พอแปลได้ว่า โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางไม่ได้ให้เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยว่าเหตุใดคำเบิกความของ ช. จึงไม่เป็นพิรุธ เมื่อปรากฏว่าศาลแรงงานกลางได้ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของจำเลยแล้วเห็นว่าสอดคล้องกันตามลำดับไม่เป็นพิรุธมีน้ำหนักฟังได้ว่าโจทก์ประพฤติผิดวินัยอย่างร้ายแรง ดังนี้คำพิพากษาศาลแรงงานกลางได้ให้เหตุผลไว้ครบถ้วนและชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางหยิบยกพยานหลักฐานส่วนที่เป็นประโยชน์แก่จำเลยมาวินิจฉัยโดยไม่นำพยานหลักฐานส่วนของโจทก์ที่เป็นประโยชน์มาหักล้าง เป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7843/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีทรัพย์สินทางปัญญา จำเลยรับสารภาพ แต่คำฟ้องไม่ชัดเจน ศาลฎีกาแก้คำพิพากษา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยปลอมปนน้ำมันเครื่องอันเป็นเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อจำหน่ายและเพื่อให้บุคคลอื่นใช้และขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 236 นั้น ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 236 จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงว่าการปลอมปนนั้นน่าจะเป็นอันตรายแก่สุขภาพด้วย แต่โจทก์มิได้บรรยายถึงข้อเท็จจริงนั้นไว้ในฟ้องแต่อย่างใด ส่วนคำฟ้องที่โจทก์ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมฯ มาตรา 31, 52 นั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ใช้เครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาตอันจะเป็นความผิดตามกฎหมายดังกล่าวได้ ดังนั้น แม้จำเลยรับสารภาพศาลก็ไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวได้
โจทก์บรรยายฟ้องมาเป็นข้อ 2. ก กับข้อ 2. ข แสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยต่างกรรมกัน แต่โจทก์บรรยายการกระทำความผิดของจำเลยหลายข้อหารวมกันในคำฟ้องข้อเดียวกันในข้อ 2. ก ส่วนหนึ่ง และข้อ 2. ข อีกส่วนหนึ่งโดยการกระทำที่บรรยายฟ้องรวมอยู่ในแต่ละข้อหานั้น โจทก์มิได้บรรยายแยกแยะการกระทำของจำเลยให้ปรากฏชัดแจ้งพอที่จะให้เห็นได้ว่า ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยตามฟ้องข้อ 2. ก และ 2. ข ในแต่ละข้อหาเป็นแต่ละกรรมแยกต่างหากจากกัน ดังนี้ ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยในทุกข้อหาตามฟ้องข้อ 2. ก และ 2. ข เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันนอกเหนือไปจากคำฟ้องหาได้ไม่ เพราะขัดต่อ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศฯ มาตรา 26 ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง
โจทก์บรรยายฟ้องมาเป็นข้อ 2. ก กับข้อ 2. ข แสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยต่างกรรมกัน แต่โจทก์บรรยายการกระทำความผิดของจำเลยหลายข้อหารวมกันในคำฟ้องข้อเดียวกันในข้อ 2. ก ส่วนหนึ่ง และข้อ 2. ข อีกส่วนหนึ่งโดยการกระทำที่บรรยายฟ้องรวมอยู่ในแต่ละข้อหานั้น โจทก์มิได้บรรยายแยกแยะการกระทำของจำเลยให้ปรากฏชัดแจ้งพอที่จะให้เห็นได้ว่า ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยตามฟ้องข้อ 2. ก และ 2. ข ในแต่ละข้อหาเป็นแต่ละกรรมแยกต่างหากจากกัน ดังนี้ ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยในทุกข้อหาตามฟ้องข้อ 2. ก และ 2. ข เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันนอกเหนือไปจากคำฟ้องหาได้ไม่ เพราะขัดต่อ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศฯ มาตรา 26 ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7664/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดัดแปลงเครื่องชั่งเพื่อโกงน้ำหนัก และการใช้เครื่องชั่งที่ผิดกฎหมาย ศาลฎีกาพิพากษากลับ
จำเลยซึ่งเป็นพ่อค้าซื้อขายข้าวเปลือกต้องรู้เรื่องเครื่องชั่งเป็นอย่างดีการที่จำเลยนำเครื่องชั่งของกลางไปซื้อข้าวเปลือกจากชาวนา ซึ่งเป็นเครื่องชั่งที่มีการแก้ไขดัดแปลงโดยถอดนอตเดิมออกแล้วใช้นอตอื่นใส่แทนในลักษณะหลวมเป็นผลให้ผู้ซื้อจะได้สินค้าที่มีน้ำหนักมากกว่าที่เครื่องชั่งแสดง เชื่อว่าจำเลยมีเจตนาดัดแปลงแก้ไขเครื่องชั่งของกลางเพื่อเอาเปรียบในทางการค้า
ระหว่างการพิจารณาของศาลมี พระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัดพ.ศ. 2542 ใช้บังคับให้ยกเลิก พระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด เดิมทุกฉบับตามพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2542 ได้บัญญัติความผิดฐานกระทำการใด ๆ เพื่อให้เครื่องชั่งที่มีการให้คำรับรองแล้วแสดงน้ำหนักผิดไปจากที่ได้รับการตรวจสอบความเที่ยงไว้ในมาตรา 75 และการใช้เครื่องชั่งโดยรู้ว่าเป็นเครื่องชั่งที่ถูกแก้เปลี่ยนไว้ในมาตรา 76 และมีระวางโทษเป็นคุณกว่าโทษตามพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 มาตรา 32 วรรคหนึ่งและวรรคสองตามลำดับ จึงต้องใช้กฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 วรรคหนึ่ง
ส่วนการที่จำเลยมีเครื่องชั่งซึ่งไม่ถูกต้องไว้ แม้จะเป็นเครื่องชั่งที่มีการแก้ไขลดเครื่องชั่งที่ได้ทำการให้คำรับรองจากทางราชการก็ตามแต่ตามพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 มิได้บัญญัติความผิดในการมีเครื่องชั่งที่มีการแก้ไขลดดังกล่าวให้เป็นความผิดไว้โดยเฉพาะ จำเลยจึงมีความผิดฐานมีเครื่องชั่งซึ่งไม่ถูกต้องตามความประสงค์ไว้เพื่อใช้ในกิจการต่อเนื่องกับผู้อื่นและในพาณิชยกิจของจำเลยตามพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 มาตรา 31เท่านั้น ดังนั้น แม้ตามพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2542จะบัญญัติให้การมีเครื่องชั่งที่มีการให้คำรับรองแล้วแสดงน้ำหนักผิดไปจากที่ได้ตรวจสอบความเที่ยงเป็นความผิดตามมาตรา 76 ก็ตามก็ไม่อาจลงโทษได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2
สำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466มาตรา 31 นั้น ได้มีพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2542 บัญญัติความผิดฐานมีเครื่องชั่งโดยรู้ว่าเครื่องชั่งนั้นมีความเที่ยงผิดอัตราไว้ในมาตรา 79และมีระวางโทษเป็นคุณกว่าโทษตามมาตรา 31 จึงต้องใช้กฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 วรรคหนึ่ง
ระหว่างการพิจารณาของศาลมี พระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัดพ.ศ. 2542 ใช้บังคับให้ยกเลิก พระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด เดิมทุกฉบับตามพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2542 ได้บัญญัติความผิดฐานกระทำการใด ๆ เพื่อให้เครื่องชั่งที่มีการให้คำรับรองแล้วแสดงน้ำหนักผิดไปจากที่ได้รับการตรวจสอบความเที่ยงไว้ในมาตรา 75 และการใช้เครื่องชั่งโดยรู้ว่าเป็นเครื่องชั่งที่ถูกแก้เปลี่ยนไว้ในมาตรา 76 และมีระวางโทษเป็นคุณกว่าโทษตามพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 มาตรา 32 วรรคหนึ่งและวรรคสองตามลำดับ จึงต้องใช้กฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 วรรคหนึ่ง
ส่วนการที่จำเลยมีเครื่องชั่งซึ่งไม่ถูกต้องไว้ แม้จะเป็นเครื่องชั่งที่มีการแก้ไขลดเครื่องชั่งที่ได้ทำการให้คำรับรองจากทางราชการก็ตามแต่ตามพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 มิได้บัญญัติความผิดในการมีเครื่องชั่งที่มีการแก้ไขลดดังกล่าวให้เป็นความผิดไว้โดยเฉพาะ จำเลยจึงมีความผิดฐานมีเครื่องชั่งซึ่งไม่ถูกต้องตามความประสงค์ไว้เพื่อใช้ในกิจการต่อเนื่องกับผู้อื่นและในพาณิชยกิจของจำเลยตามพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 มาตรา 31เท่านั้น ดังนั้น แม้ตามพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2542จะบัญญัติให้การมีเครื่องชั่งที่มีการให้คำรับรองแล้วแสดงน้ำหนักผิดไปจากที่ได้ตรวจสอบความเที่ยงเป็นความผิดตามมาตรา 76 ก็ตามก็ไม่อาจลงโทษได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2
สำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466มาตรา 31 นั้น ได้มีพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2542 บัญญัติความผิดฐานมีเครื่องชั่งโดยรู้ว่าเครื่องชั่งนั้นมีความเที่ยงผิดอัตราไว้ในมาตรา 79และมีระวางโทษเป็นคุณกว่าโทษตามมาตรา 31 จึงต้องใช้กฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 755/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายอาหารปลอมและเครื่องหมายการค้าปลอม: ศาลฎีกาแก้เป็นผิดสองกรรม
โจทก์บรรยายฟ้องโดยแบ่งการกระทำที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเกี่ยวกับการผลิตอาหารปลอม และส่วนที่สองเกี่ยวกับการจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าอันเป็นอาหารปลอมและที่มีเครื่องหมายการค้าปลอม สำหรับส่วนแรกของฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับการปลอมสลากเครื่องหมายการค้า ตามฟ้องโจทก์บรรยายว่า มีผู้อื่นปลอมเครื่องหมายการค้าที่แท้จริงของผู้เสียหาย มิได้อ้างว่าจำเลยกระทำความผิดฐานนี้ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานนี้ และในส่วนที่เกี่ยวกับการนำเครื่องหมายการค้าปลอมไปปิดผนึกไว้ที่ขวดบรรจุสินค้าและการนำซอสหอยนางรมที่ผลิตขึ้นมาบรรจุลงในขวดที่ปิดผนึกฉลากเครื่องหมายการค้าปลอม ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นความผิดกรรมที่สองที่สามนั้น ตามฟ้องโจทก์บรรยายว่า การกระทำดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตอาหารปลอมของจำเลย การกระทำทั้งสองอย่างของจำเลยจึงเป็นการกระทำผิดกรรมเดียวกับการกระทำความผิดฐานผลิตอาหารปลอมของจำเลย สำหรับส่วนหลังของฟ้อง เนื่องจากการจำหน่ายและมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าอันเป็นอาหารปลอมและมีเครื่องหมายการค้าปลอม เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นภายหลังรวมทั้งมีเจตนาที่แยกต่างหากจากการผลิตอาหารปลอม จึงเป็นการกระทำคนละกรรมต่างกันจากการผลิตอาหารปลอม ต้องลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้อีกกรรมหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7382/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานเอกสารและการอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
ในวันนัดพร้อม คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงรับข้อเท็จจริงว่าแผนที่พิพาทของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรีถูกต้องตรงกับความเป็นจริง ศาลชั้นต้นจึงให้เลื่อนนัดชี้สองสถานไป ครั้งถึงวันนัดชี้สองสถาน จำเลยแถลงคัดค้านเรื่องเนื้อที่ตามแผนที่พิพาทจึงขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำแผนที่พิพาทใหม่ แต่โจทก์ไม่ยินยอม ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ยกเลิกการทำแผนที่พิพาทกลาง ต่อมาโจทก์ได้อ้างพนักงานที่ดินผู้จัดทำแผนที่พิพาทมาเป็นพยานต่อศาล เพื่อเบิกความยืนยันถึงรายละเอียดและวิธีการจัดทำแผนที่พิพาทดังกล่าว พร้อมกันนั้นทนายโจทก์ได้ส่งเอกสารแผนที่พิพาทมาเป็นพยานต่อศาลด้วย กรณีจึงเห็นได้ว่า โจทก์เพียงแต่อ้างแผนที่พิพาทเป็นเอกสารฉบับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งศาลจะรับฟังหรือไม่ก็แล้วแต่ดุลพินิจของศาลทั้งการอ้างเอกสารเป็นพยานของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเอกสารที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือศาลต้องรับรองความถูกต้องเสียก่อน ฉะนั้น การที่จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการรับฟังพยานเอกสาร ถือเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ดังนั้น เมื่อคดีจำเลยต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ให้โดยอาจเข้าใจว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ก็ย่อมเป็นการไม่ชอบตามนัยแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 242 (1) และถือว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ดังนี้ ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจึงไม่อาจรับรองให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเรื่องนี้ได้อีก ทั้งศาลฎีกาก็ไม่อาจพิจารณาฎีกาของจำเลยได้ด้วยเพราะเป็นฎีกาที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ อันเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7332/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้อาวุธปืนป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นการพยายามฆ่าผู้อื่น
จำเลยยิง ด. ด้วยอาวุธปืนลูกซองสั้นของกลาง โดยอาวุธปืนที่ใช้ยิงเป็นอาวุธปืนลูกซองสั้นขนาด 12 ซึ่งเป็นขนาดที่มีลำกล้องใหญ่ที่สุดเท่าที่จะหาได้ในปัจจุบันแต่เป็นอาวุธปืนที่ประกอบขึ้นเอง ไม่มีมาตรฐาน ไม่มีความแม่นยำ กระสุนปืนที่จำเลยใช้ยิงเป็นกระสุนลูกปรายยิงนัดเดียวถูกหลายคนหลายที่ และเม็ดลูกปรายมีขนาดใหญ่สามารถทำให้กระดูกของผู้เสียหายคนหนึ่งที่ถูกยิงถึงกับแตกและหักได้ ผู้เสียหายทั้งสามอยู่ห่างจำเลยออกไปไกลพอสมควร ในระยะที่เม็ดกระสุนลูกปรายกระจายตัวขยายวิถีกระสุนบานออกไปแล้ว ระยะยิงน่าจะห่างไม่น้อยกว่า 5 เมตรขึ้นไป หากจำเลยเพียงแต่ใช้อาวุธปืนขู่และห้าม ด.ไม่ให้เข้ามาหรือยิงขู่น่าจะเพียงพอที่จะยับยั้ง ด.ให้เกรงกลัวและหลบหนีไป แต่จำเลยกลับใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นขนาดใหญ่ที่มีอานุภาพประหัตประหารแต่ควบคุมวิถีกระสุนไม่ได้ยิงสาดใส่เข้าไปในทิศทางที่มิได้มีแต่ ด. ที่จะเข้ามาทำร้ายจำเลยคนเดียว จึงเห็นว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน การที่จำเลยยิงเข้าใส่กลุ่มคนต้องถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าบุคคลทุกคนในกลุ่มนั้น เพราะย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำอยู่แล้วว่า อาจทำให้ทุกคนที่ถูกกระสุนลูกปรายดังกล่าวถึงแก่ความตายได้ เมื่อผู้เสียหายทั้งสามไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน