คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลอุทธรณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,244 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 232/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม เป็นปัญหาอำนาจฟ้อง ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยได้
เดิมโจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างอาคารกับโจทก์ แต่ปรากฎว่าจำเลยไม่โอนที่ดินและอาคารให้โจทก์ จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา ซึ่งมูลคดีที่โจทก์ฟ้องสืบเนื่องมาจากกรณีจำเลยผิดสัญญา ส่วนจำเลยฟ้องแย้งอ้างว่าโจทก์เข้าไปอยู่ในที่ดินและอาคารของจำเลยโดยไม่มีสิทธิ ซึ่งมูลคดีที่จำเลยฟ้องแย้งสืบเนื่องมาจากโจทก์กระทำละเมิดต่อทรัพย์สินของจำเลย ฟ้องแย้งของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ปัญหาฟ้องแย้งเกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่นั้น เป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 232/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม เป็นปัญหาอำนาจฟ้อง ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยได้
เดิมโจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างอาคารกับโจทก์แต่ปรากฏว่าจำเลยไม่โอนที่ดินและอาคารให้โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาซึ่งมูลคดีที่โจทก์ฟ้องสืบเนื่องมาจากกรณีจำเลยผิดสัญญาส่วนจำเลยฟ้องแย้งอ้างว่าโจทก์เข้าไปอยู่ในที่ดินและอาคารของจำเลยโดยไม่มีสิทธิซึ่งมูลคดีที่จำเลยฟ้องแย้งสืบเนื่องมาจากโจทก์กระทำละเมิดต่อทรัพย์สินของจำเลยฟ้องแย้งของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมปัญหาฟ้องแย้งเกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่นั้นเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2257/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิโจทก์ขอถอนฟ้องคดีอาญาแผ่นดินที่ศาลอุทธรณ์แก้ไขเป็นความผิดต่อส่วนตัว และการยอมความระงับคดี
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา83,362,365ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่2มีความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา365(3)อันเป็นความผิดอาญาแผ่นดินหากตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาศาลสูงเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ต้องถือว่าคดีนี้เป็นคดีความผิดอาญาแผ่นดินมิใช่เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวโจทก์หามีสิทธิขอถอนฟ้องจำเลยที่2ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค3ได้ไม่แต่ต่อมาภายหลังเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค3พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่2มีความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา362อันเป็นความผิดต่อส่วนตัวและยังไม่มีคำพิพากษาศาลสูงเปลี่ยนแปลงแก้ไขก็ต้องถือว่าคดีนี้เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวเมื่อคดียังไม่ถึงที่สุดและตามคำร้องขอถอนฟ้องของโจทก์อ้างว่าโจทก์และจำเลยที่2ตกลงกันได้โจทก์จึงไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับจำเลยที่2ต่อไปจำเลยที่2ไม่คัดค้านและท้ายคำร้องดังกล่าวได้ลงลายมือชื่อไว้ด้วยคำร้องขอถอนฟ้องของโจทก์จึงเป็นการยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้วสิทธินำคดีอาญามาฟ้องจำเลยที่2ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2005/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการวินิจฉัยศาลอุทธรณ์และการบังคับดอกเบี้ยตามฟ้อง แม้ไม่ได้ขอในอุทธรณ์
การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 รับผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทของโจทก์ไปจริงโดยเชื่อพยานหลักฐานของโจทก์ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 2 ยืมผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทจากโจทก์เพื่อนำไปแสดงยังสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 1 ในประเทศญี่ปุ่น และจำเลยที่ 1 ได้รับผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทไปจากโจทก์แล้ว ซึ่งตรงกับประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าจำเลยทั้งสองยืมผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณไปจากโจทก์จริงหรือไม่ ศาลอุทธรณ์จึงมิได้วินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน225,000 บาท นับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระเงินค่าสินค้าให้แก่เจ้าของสินค้าที่สูญหายไปคือ ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2535 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 32,250 บาท รวมกับต้นเงินเป็นยอดเงินที่โจทก์เรียกร้องเอาแก่จำเลยทั้งสองถึงวันฟ้องจำนวน 257,250 บาทและโจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยในต้นเงิน 225,000 บาท อัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์อีกด้วย เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทให้แก่โจทก์หากคืนไม่ได้ขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงิน 50,000 ฟรังก์ฝรั่งเศส หรือเงินไทย257,250 บาท แก่โจทก์ แสดงว่าโจทก์อุทธรณ์รวมเอาเงินดอกเบี้ยจำนวน 32,250บาท อันเป็นดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2535 ถึงวันฟ้องเข้ากับต้นเงินจำนวน225,000 บาท มาในฟ้องอุทธรณ์ด้วยแล้ว ดังนั้น แม้ฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์จะมิได้ขอให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยในต้นเงิน 225,000 บาท อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จมาด้วย แต่โดยนัยแห่ง ป.วิ.พ.มาตรา 142 (3)ประกอบด้วยมาตรา 246 เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นสมควร ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ผู้แพ้คดีชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 225,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่จำเลยที่ 1 ได้ชำระเสร็จตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1936/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพของจำเลยและการพิจารณาคดี ศาลอุทธรณ์มิชอบที่ยกคำพิพากษาโดยไม่วินิจฉัยประเด็นอุทธรณ์
หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งประทับฟ้องแล้วต่อมาปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าศาลได้อ่านอธิบายฟ้องให้จำเลยเข้าใจแล้วจำเลยแถลงสู้คดีและจะให้การวันนัดพิจารณาครั้นถึงวันนัดพิจารณาจำเลยยื่นคำให้การ1ฉบับพร้อมกับคำร้องอีก1ฉบับโดยในคำให้การระบุว่าจำเลยทราบฟ้องของโจทก์แล้วขอรับสารภาพในการกระทำความผิดตามฟ้องในข้อหารับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา357เพียงข้อหาเดียวขอปฏิเสธข้อหาลักทรัพย์ส่วนคำร้องที่ยื่นมาพร้อมกันนั้นแม้จะมีข้อความซึ่งมีความหมายว่าจำเลยไม่รู้ว่าทรัพย์ที่รับไว้ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ก็ตามแต่ก็เป็นข้อความในคำร้องที่จำเลยยื่นเข้ามาเพื่ออ้างเหตุให้ศาลรอการลงโทษเท่านั้นไม่ใช่คำให้การว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำผิดและเมื่อศาลชั้นต้นได้สอบถามคำเลยในวันเดียวกันนั้นจำเลยก็ยืนยันตามคำให้การที่รับสารภาพฐานรับของโจรดังกล่าวปรากฏตามที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในคำให้การจำเลยนอกจากนี้ศาลชั้นต้นยังจดรายงานกระบวนพิจารณาในวันดังกล่าวในระบุว่าจำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจรไม่ต่อสู้คดีขอให้ลงโทษสถานเบาซึ่งจำเลยก็ลงชื่อไว้อีกเช่นนี้ย่อมเป็นที่เห็นได้ชัดแล้วว่าจำเลยยืนยันที่จะให้การรับสารภาพฐานรับของโจรตามฟ้อง ศาลชั้นต้นได้พิจารณาและพิพากษาคดีไปโดยชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพื่อให้พิจารณาใหม่โดยไม่วินิจฉัยประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบศาลฎีกาเห็นควรที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1206/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในข้อเท็จจริง: การโต้แย้งดุลพินิจศาลอุทธรณ์ในประเด็นค่าเสียหาย
โจทก์ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสามในมูลละเมิดโดยบรรยายในส่วนของค่าเสียหายคือค่าจัดการศพ35,000บาทค่าซ่อมรถจักรยานยนต์2,500บาทและค่าขาดไร้อุปการะ600,000บาทแต่โจทก์ทั้งสองขอคิดค่าเสียหายทั้งหมดเพียง537,000บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมรับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมทั้งดอกเบี้ยศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นค่าจัดการศพ30,000บาทเป็นค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ที่1และโจทก์ที่2เป็นเงิน200,000บาทและ100,000บาทตามลำดับพร้อมทั้งดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเช่นนี้ในส่วนของค่าจัดการศพซึ่งศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชดใช้ให้แก่โจทก์ทั้งสอง30,000บาทนั้นต้องนำไปคิดรวมเป็นทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนด้วยดังนั้นรวมเป็นค่าเสียหายในส่วนของโจทก์ที่2เพียง130,000บาทจำเลยที่2ฎีกาขอให้ยกฟ้องจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีการะหว่างจำเลยที่2กับโจทก์ที่2คงมีเพียง130,000บาทซึ่งต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งการที่จำเลยที่2ฎีกาว่าเหตุที่เกิดขึ้นมิได้เป็นเพราะการกระทำละเมิดของจำเลยที่3ค่าเสียหายในส่วนค่าขาดไร้อุปการะที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้นั้นสูงเกินไปถือว่าโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการรับฟังพยานหลักฐานเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยของจำเลยที่2ในส่วนของโจทก์ที่2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 915/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุข้อฎีกาไม่ชัดเจนและมิได้ยกขึ้นว่ากันในศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค2วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่2ไม่เกี่ยวกับคำสั่งศาลชั้นต้นถือไม่ได้ว่าเป็นการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นจำเลยที่2ฎีกาว่าฎีกาของจำเลยที่2เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีมีผู้เข้าสู้ราคาคนเดียวไม่มีคู่แข่งเข้าประมูลสู้ราคาและมิได้กระทำต่อหน้าจำเลยที่2เป็นการขายทอดตลาดที่มิชอบด้วยกฎหมายฎีกาของจำเลยที่2จึงมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค2เป็นฎีกาไม่ชัดแจ้งและเป็นฎีกาข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9060/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินคดีซ้ำประเด็นครอบครองที่ดิน แม้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้ว ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยได้
คดีก่อนโจทก์ฟ้องผู้ร้องสอดเป็นจำเลยขอไถ่ถอนจำนองที่ดิน ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่ามีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน 10 ปีโจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินให้แก่ผู้ร้องสอดและได้มอบสิทธิครอบครองให้แก่ผู้ร้องสอดโดยสัญญาว่าจะไปจดทะเบียนการโอนให้เมื่อพ้นระยะเวลาห้ามโอน และเพื่อเป็นหลักประกันโจทก์ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินไว้แก่ผู้ร้องสอดสัญญาจะซื้อขายจึงขัดต่อกฎหมายเป็นโมฆะ ส่วนสัญญาจำนองมีผลบังคับได้ ผู้ร้องสอดครอบครองในฐานะผู้รับจำนองโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ จึงไม่มีสิทธิครอบครองที่ดิน โจทก์มีสิทธิไถ่ถอนจำนองได้ สำหรับคดีนี้ผู้ร้องสอดอ้างว่าโจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องสอดแต่เนื่องจากมีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน 10 ปี โจทก์จึงจดทะเบียนจำนองไว้แก่ผู้ร้องสอด โจทก์ได้สละสิทธิและส่งมอบการครอบครองให้แก่ผู้ร้องสอดแล้วผู้ร้องสอดจึงได้สิทธิครอบครองที่ดินคดีทั้งสองโจทก์กับผู้ร้องสอดเป็นคู่ความเดียวกัน ประเด็นที่จะวินิจฉัยในคดีนี้มีว่า ผู้ร้องสอดเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินหรือไม่ ส่วนคดีก่อนแม้ประเด็นจะมีว่า โจทก์มีสิทธิไถ่ถอนจำนองที่ดินหรือไม่ แต่การที่จะวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวได้ก็จะต้องวินิจฉัยในประเด็นที่ว่าผู้ร้องสอดมีสิทธิครอบครองที่ดินหรือไม่เสียก่อนการดำเนินกระบวนพิจารณาของผู้ร้องสอดในคดีนี้จึงซ้ำกับประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้แล้ว ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144 ปัญหาที่ว่าผู้ร้องสอดดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 หรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้คู่ความจะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยได้ตามมาตรา 142(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 855/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ต้องอยู่ในอัตราโทษที่กฎหมายกำหนด ศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษให้ถูกต้องได้
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288ต้องระวางโทษประหารชีวิตจำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปีนั้นการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นตามมาตรา288จำคุก10ปีลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา78คงจำคุก6ปี4เดือนจึงเป็นการลงโทษที่ผิดพลาดต่ำกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขโดยกำหนดโทษจำเลยให้ถูกต้องตามกฎหมายได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7293/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ที่ไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ชอบแล้ว
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา358ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นผู้ใช้รถแทรกเตอร์ดันเสาปูนซีเมนต์ล้มจำนวน5ต้นแต่จำเลยกระทำตามคำสั่งของน. โดยเชื่อว่าจำเลยมีสิทธิทำได้การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนาการที่จำเลยอุทธรณ์ข้อเท็จจริงว่าพยานโจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความขัดแย้งกันมีพิรุธและขัดต่อเหตุผลไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ใช้รถแทรกเตอร์ดันเสาปูนซีเมนต์ของโจทก์ร่วมล้มจำนวน5ต้นตามฟ้องกับอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่าพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนก่อนได้รับคำร้องทุกข์การสอบสวนจึงไม่ชอบต้องห้ามมิให้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา120เพื่อให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามที่จำเลยอุทธรณ์ซึ่งแม้ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายจะฟังได้ตามที่จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องอยู่เช่นเดิมซึ่งไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไปอุทธรณ์ของจำเลยไม่เป็นสารแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา15ดังนั้นเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์จำเลยกรณีจึงมิใช่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีผลเท่ากับพิพากษาว่าอุทธรณ์ของจำเลยไม่อุทธรณ์ที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา193วรรคสองดังที่จำเลยฎีกา
of 225