พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,380 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3741/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ต้องมีเจตนาเป็นเจ้าของ และระยะเวลาต่อเนื่อง 10 ปี
การที่ผู้ร้องกับพวกเข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัยและครอบครองที่ดินพิพาทโดยได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่ดินพิพาท ถือไม่ได้ว่าเป็นการครอบครองโดยมีเจตนาจะเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท แม้ผู้ร้องทั้งสองจะอ้างว่า ได้โต้แย้งคัดค้านที่ผู้คัดค้านนำเจ้าพนักงานที่ดินมารังวัดชี้เขตเข้ามาในที่ดินพิพาทเมื่อปี 2529 อันอาจถือได้ว่าผู้ร้องทั้งสองได้บอกกล่าวให้ผู้คัดค้านทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินทราบว่า ผู้ร้องทั้งสองไม่เจตนาที่จะยึดถือที่ดินพิพาทแทนผู้คัดค้านทั้งสามแล้ว แต่เมื่อนับจากวันดังกล่าวถึงวันยื่นคำร้องคดีนี้ยังไม่ครบกำหนด 10 ปี ผู้ร้องทั้งสองจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 364/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ สิทธิในที่ดิน การพิสูจน์การครอบครอง และการใช้ดุลพินิจของศาล
แม้ว่าผู้คัดค้านจะมิได้ปฏิเสธข้ออ้างในคำร้องของผู้ร้องที่ว่า ต.ซื้อที่พิพาทโดยใส่ชื่อช. ไว้ก็ตาม แต่ผู้คัดค้านก็ได้บรรยายไว้ในคำร้องคัดค้านว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งในที่ดินอันเป็นกรรมสิทธิที่ผู้คัดค้านได้มาโดยซื้อมาจาก ช. ตามส่วนที่ช.เจ้าของเดิมมีอยู่ช. ได้บอกขายที่พิพาทก่อนผู้คัดค้านซื้อเป็นเวลานาน ถือว่าผู้คัดค้านได้กล่าวไว้ในคำร้องคัดค้านแล้วว่าช. เป็นเจ้าของที่พิพาท ดังนั้น การที่ผู้คัดค้านนำสืบว่า ม.มอบที่ดินให้แก่ ช. เป็นการชำระหนี้ที่กู้ยืมเงินไปนั้น จึงเป็นการนำสืบถึงที่มาแห่งการเป็นเจ้าของที่พิพาทซึ่งผู้คัดค้านมีสิทธิที่จะนำสืบได้ แม้ว่าผู้คัดค้านกล่าวในคำร้องคัดค้านเพียงว่า ช.เจ้าของเดิมได้ใช้สิทธิครอบครองที่พิพาทตลอดมาไม่เคยทอดทิ้งก็ตามผู้คัดค้านก็ชอบที่จะนำสืบได้ว่า ช. ให้ จ. ป. และบุคคลอื่นเช่าที่พิพาทเพราะเป็นการนำสืบว่า ผู้คัดค้านได้ใช้สิทธิครอบครองที่พิพาทโดยให้บุคคลอื่นครอบครองแทน เป็นการนำสืบตามประเด็นที่เกิดจากคำร้องคัดค้าน หาใช่เป็นการนำสืบนอกประเด็นไม่ แม้ว่าผู้คัดค้านอ้างเอกสารหมาย ค.10ค.11ค.15ถึงค.20และ ค.23โดยอ้างว่าอยู่ในความครอบครองของช. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก แต่ทางนำสืบของผู้คัดค้านได้ความว่าเอกสารดังกล่าวอยู่ที่ผู้คัดค้าน และผู้คัดค้านไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน ก็ตาม แต่เมื่อตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองไม่ปรากฏว่าศาลได้รับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานของผู้คัดค้าน คดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจะรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ สำหรับเอกสารหมาย ค.10และค.17 แม้ผู้คัดค้านไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารให้แก่ผู้ร้องก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน เป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 ก็ตาม แต่ตามมาตรา 87(2) นั้น ถ้าศาลเห็นว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจรับฟังเอกสารดังกล่าวได้ เมื่อปรากฏว่าเอกสารทั้งสองฉบับนี้เป็นเอกสารสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี เพราะเอกสารหมาย ค.10 เป็นสัญญากู้ทำขึ้นระหว่างผู้ร้องกับ ช. และผู้ร้องก็ได้นำสืบพยานที่เกี่ยวข้องกับเอกสารดังกล่าวด้วย ส่วนเอกสารหมาย ค.17 เป็นใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี 2513 ถึงปี 2525 ของ ช.จำนวน13ฉบับซึ่งช.ได้ส่งศาลตามคำสั่งเรียกก่อนวันสืบพยานนัดแรกเป็นเวลากว่า 1 เดือนผู้ร้องจึงมีโอกาสตรวจดูเอกสารดังกล่าวก่อนวันสืบพยานได้อยู่แล้วการที่ผู้คัดค้านมิได้ส่งสำเนาให้แก่ผู้ร้องก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการเอาเปรียบผู้ร้อง ศาลชอบที่จะใช้ดุลพินิจรับฟังเอกสารทั้งสองฉบับนี้เป็นพยานหลักฐานของผู้คัดค้านได้ ตามบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของผู้คัดค้านอันดับ 8 ระบุว่า"เอกสารเรื่องราวการจดทะเบียนนิติกรรมตลอดจนบันทึกข้อความ แผนที่หรือถ้อยคำบุคคลใด ๆ หรือหนังสือโต้ตอบระหว่างหน่วยงานราชการ หรือบุคคล หรือเอกสารทุกชนิด ทุกฉบับ ที่เกี่ยวข้องกับโฉนดที่ดินเลขที่ 906 ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการได้จัดทำและเก็บรักษาไว้ในแฟ้มเรื่องราวของโฉนดที่ดินฉบับดังกล่าวทั้งหมดทุกฉบับ อยู่ที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ" เมื่อผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกคำบันทึกของ ส.ช่างแผนที่ที่ได้บันทึกถ้อยคำของ ฮ. ฉบับลงวันที่ 13 พฤศจิกายน2528 คือวันทำการรังวัดทำแผนที่พิพาทที่ดินโฉนดเลขที่ 906หน้าโฉนด 156 ตำบลบางพลีน้อย อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการและเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการได้จัดส่งสำเนาภาพถ่ายเอกสารบันทึกถ้อยคำของ ฮ. ไปให้ศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นได้หมายเอกสารนั้นเป็นเอกสารหมาย ค.49จึงฟังได้ว่าเอกสารหมายค.49เป็นเอกสารฉบับหนึ่ง ซึ่งรวมอยู่ในบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมอันดับที่ 8 ของผู้คัดค้าน ถือได้ว่าผู้คัดค้านได้ระบุอ้างพยานเอกสารฉบับนี้โดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา88 วรรคสอง แล้ว ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นรับเอกสารหมาย ค.49ของผู้คัดค้านไว้เป็นพยานหลักฐานและอนุญาตให้ผู้คัดค้านนำสืบเรื่องราวเกี่ยวกับเอกสารฉบับนี้จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมาย จำนวนเงินค่าทนายความที่ศาลจะกำหนดให้คู่ความฝ่ายหนึ่งใช้แทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเป็นดุลพินิจของแต่ละศาลซึ่งจะกำหนดให้โดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดีของคู่ความทั้งปวง ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 วรรคหนึ่ง โดยศาลต้องกำหนดค่าทนายความระหว่างอัตราขั้นต่ำและอัตราขั้นสูงดังที่ระบุไว้ในตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ฎีกาของผู้ร้องมิได้บรรยายว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใด ในข้อไหน เป็นฎีกาที่ไม่ได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่อ้างอิงขึ้นกล่าวให้ชัดแจ้ง จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3636/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตคำพิพากษาและการพิพากษาเกินคำขอในคดีครอบครองปรปักษ์และการเพิกถอนนิติกรรม
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาททั้งแปลง ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านทั้งสองได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทบางส่วน จ. บิดาผู้ร้องจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทในฐานะผู้รับมรดกจากเจ้าของที่ดินเดิมมาเป็นของตนคนเดียวทั้งแปลงเป็นการไม่ชอบและฟ้องแย้งขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้คัดค้านทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทบางส่วน และขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของ จ. ด้วยศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จ. จดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทมาโดยไม่ชอบ แล้วพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนที่ดินของ จ. ด้วยเช่นนี้เป็นการพิพากษาตรงตามคำขอท้ายฟ้องแย้งของผู้คัดค้านทั้งสองไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ แต่คำขอท้ายฟ้องแย้งของผู้คัดค้านทั้งสองที่ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนที่ดินของ จ.เป็นคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทของบุคคลภายนอกอันเป็นการกระทบกระเทือนถึงกรรมสิทธิ์ของบุคคลภายนอกซึ่งมิได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วย จึงพิพากษาคดีให้ตามคำขอท้ายฟ้องแย้งในส่วนนี้ของผู้คัดค้านทั้งสองไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3636/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอในคดีครอบครองปรปักษ์และการเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดิน
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านคำร้องขอของผู้ร้องที่ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งแปลงโดยการครอบครองปรปักษ์ โดยผู้คัดค้านอ้างว่าผู้คัดค้านได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์ จ.บิดาผู้ร้องจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทมาโดยไม่ชอบและฟ้องแย้งขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ผู้คัดค้านได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วน และขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของ จ. ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจ.จดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทมาโดยไม่ชอบ พิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทของ จ. ซึ่งตรงตามคำขอท้ายฟ้องแย้งของผู้คัดค้านไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ คำขอท้ายฟ้องแย้งของผู้คัดค้านที่ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนที่ดินของ จ. เป็นคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทของบุคคลภายนอกอันเป็นการกระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกซึ่งมิได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วย ศาลจึงพิพากษาคดีให้ตามคำขอท้ายฟ้องแย้งในส่วนนี้ของผู้คัดค้านไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3602/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวของคู่สมรสต่างสัญชาติ และการครอบครองปรปักษ์
ว.ได้มาซึ่งที่ดินและตึกแถวพิพาทหลังจากที่ว. และจำเลยเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ดินและตึกแถวพิพาทย่อมตกเป็นสินสมรสของ ว.และจำเลยเมื่อว. เป็นคนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินมิได้เพราะเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 86 ที่ดินและตึกแถวพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยซึ่งมีสัญชาติไทยแต่เพียงผู้เดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 326/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิเสธข้ออ้างและสิทธิในการนำสืบพยาน การครอบครองปรปักษ์ และคำสั่งที่ไม่ชอบของศาล
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อขายรถยนต์กับโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองผิดสัญญา ต่อมาจำเลยที่ 1 ตกลงรับสภาพหนี้กับโจทก์ และทำสัญญาซื้อขายรถยนต์คันเดิมฉบับใหม่กับโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยทั้งสองให้การว่า หลังจากจำเลยที่ 1ทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ฉบับแรกแล้ว จำเลยที่ 1 มิได้ตกลงรับสภาพหนี้กับโจทก์ด้วยการทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ฉบับใหม่ และจำเลยที่ 2ก็มิได้ตกลงทำสัญญาค้ำประกันกับโจทก์ สัญญาซื้อขายรถยนต์และสัญญาค้ำประกันฉบับใหม่เป็นเอกสารปลอมที่โจทก์นำแบบฟอร์มสัญญาซื้อขายรถยนต์และสัญญาค้ำประกันมาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ลงชื่อในสัญญาซื้อขายและสัญญาค้ำประกันตามลำดับแล้วโจทก์นำเอกสารดังกล่าวไปกรอกข้อความอันเป็นเท็จโดยไม่ได้รับความยินยอม คำให้การของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเป็นคำให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์โดยชัดแจ้ง ซึ่งจำเลยทั้งสองได้ให้เหตุผลแห่งการปฏิเสธว่าสัญญาซื้อขายและสัญญาค้ำประกันฉบับใหม่เป็นเอกสารปลอม เมื่อคำให้การของจำเลยชัดแจ้งและไม่ขัดกัน คำสั่งของศาลชั้นต้นว่าจำเลยทั้งสองไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบแก้ในประเด็นว่ามีการรับสภาพหนี้โดยทำสัญญาซื้อขายและค้ำประกันหรือไม่ กับสัญญาซื้อขายและค้ำประกันเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิในรถยนต์บรรทุกพิพาทดีกว่าโจทก์ เนื่องจากจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าวมาด้วยความสงบ เปิดเผยและแสดงเจตนาครอบครองอย่างเป็นเจ้าของมาเป็นเวลาเกินกว่า 5 ปี ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องเกี่ยวกับรถยนต์บรรทุกพิพาทอีกต่อไป คำให้การของจำเลยทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นคำให้การที่ชัดแจ้งชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง แล้ว ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองนำพยานเข้าสืบแก้ในประเด็นข้อ 1 และข้อ 4 แต่จำเลยทั้งสองมิได้นำพยานเข้าสืบแก้ในประเด็นดังกล่าวเอง ฉะนั้น เมื่อศาลสูงยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยทั้งสองต่อไป จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิสืบพยานในประเด็นข้อนั้น และสำหรับประเด็นการครอบครองปรปักษ์รถยนต์พิพาทที่ภาระการพิสูจน์ตกแก่จำเลยนั้นเมื่อจำเลยนำสืบพยานในประเด็นข้อนี้แล้วก็ต้องให้โจทก์มีสิทธิสืบแก้ในข้อนี้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3241/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ที่ดิน: ข้อจำกัดด้านมูลค่าและระยะเวลาการฎีกา
โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ไม่เคยอาศัยสิทธิของจำเลย โจทก์ยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทด้วยความสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกี่ยวกับการครอบครองที่ดินพิพาทจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ดินพิพาทราคา 50,000 บาท และโจทก์ยื่นฎีกาภายหลังจากวันที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 ใช้บังคับแล้ว โจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามมาตรา 248 วรรคแรก ที่แก้ไขใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3227/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์โดยครอบครองปรปักษ์ต้องไม่ขัดกับสิทธิของเจ้าของเดิมที่ได้โอนกรรมสิทธิ์โดยสุจริต
คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ 1 ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วหรือไม่ หากฟังได้ว่าจำเลยที่ 1ครอบครองปรปักษ์ที่ดินจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ย่อมมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริตหรือไม่ และจำเลยที่ 1 จะยกการได้กรรมสิทธิ์โดยการการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินพิพาทขึ้นต่อสู้โจทก์ได้หรือไม่ดังนั้น เมื่อโจทก์อุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์จึงเป็นประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยให้ เดิมที่ดินพิพาทมีชื่อ ม. บิดาโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 2664 ม. ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้วจำเลยที่ 1 จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ซึ่งจำเลยที่ 1อาจอ้างสิทธินี้ยัน ม. ซึ่งเป็นเจ้าของเดิมได้ แต่ตามมาตรา 1299 วรรคสอง สิทธิของจำเลยที่ 1 อันยังมิได้จดทะเบียนนั้น จำเลยที่ 1 จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับโจทก์ผู้ได้รับโอนกรรมสิทธิ์มาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการซื้อจากเจ้าของเดิมมีการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายและตามมาตรา 6 ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนกระทำการ โดยสุจริต เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้ยกข้อต่อสู้ว่าโจทก์ได้รับ โอนที่ดินพิพาทจาก ม.โดยไม่สุจริต จึงต้องฟังว่าโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจาก ม. โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ดังนั้นสิทธิการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งยังมิได้จดทะเบียนจึงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ไม่ได้ และเมื่อจำเลยที่ 1ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์นับเวลาใหม่ยังไม่ถึงสิบปี จำเลยที่ 1 จึงอ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยทางครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 ยันโจทก์มิได้เช่นกันจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองหุ้นแทนทายาทและการอ้างการครอบครองปรปักษ์ที่มิชอบ
ขณะ ก. มีชีวิตอยู่โจทก์เป็นผู้ครอบครองหุ้นและใบหุ้นแทน ก. เมื่อ ก. ตาย โจทก์มิได้มอบใบหุ้นของ ก. ให้จำเลยซึ่งเป็นทายาท เพื่อนำไปเวนคืนให้บริษัทรับจำเลยลงทะเบียนเป็นผู้ถือหุ้น การที่ศาลมีคำสั่งตั้งโจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของ ก. จึงต้องถือว่าโจทก์ครอบครองหุ้นและใบหุ้นไว้แทนทายาทของ ก. ต่อไป แม้ระหว่างเป็นผู้จัดการมรดกโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ทำบันทึกข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินกันว่าให้ทรัพย์สินที่อยู่ในนามของ ก. ตกเป็นของโจทก์ก็ตาม แต่ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาว่าบันทึกตกลงแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวเป็นโมฆะแล้ว ฉะนั้นการที่โจทก์ยังคงครอบครองหุ้นและใบหุ้นของ ก. ต่อไป ต้องถือว่าครอบครองไว้แทนจำเลยซึ่งเป็นทายาท โจทก์จึงไม่อาจอ้างการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ขึ้นยันจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2889/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในที่ดินมือเปล่าและการครอบครองปรปักษ์: ศาลฎีกายกประเด็นข้อกฎหมายและส่งกลับให้ศาลชั้นต้นพิจารณา
ที่ดินมือเปล่า ไม่สามารถมีกรรมสิทธิ์ และไม่มีกรณีที่จะได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 โจทก์อุทธรณ์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าย่อมครอบครองปรปักษ์ไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 มาวินิจฉัยจึงไม่ถูกต้องเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ปัญหาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ จำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่และต้องรับผิดในทางแพ่งต่อโจทก์หรือไม่ ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้