พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6,814 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4335-4339/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องอาญาที่ระบุสถานที่เกิดเหตุไม่ชัดเจนและไม่ได้อ้างมาตราในกฎหมาย แต่บรรยายลักษณะความผิดครบถ้วน ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย
แม้คำฟ้องโจทก์บรรยายแต่เพียงว่าเหตุเกิดที่อำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่ โดยไม่ได้ระบุตำบลเกิดเหตุให้ชัดเจน ก็ถือว่าคำฟ้องได้บรรยายถึงสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ แล้ว ทั้งจำเลยมิได้ต่อสู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น และรูปคดีเป็นที่เข้าใจว่าจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว การที่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าเหตุเกิดที่ตำบลอะไรนั้นจึงเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบให้ปรากฏในชั้นพิจารณาคำฟ้องของโจทก์ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯมีบทบัญญัติเพียง 11 มาตรา และมีเพียงมาตรา 4 มาตราเดียวที่บัญญัติการกระทำเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ ส่วนมาตราอื่น ๆล้วนบัญญัติในเรื่องอื่น แม้คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ระบุเพียงชื่อกฎหมายไม่ได้ระบุมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดก็ตาม แต่ก็ได้บรรยายถึงการออกเช็คโดยมีลักษณะหรือการกระทำความผิดของจำเลยไว้ชัดแจ้งครบถ้วนตามมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีและไม่หลงต่อสู้ จึงไม่อาจเป็นการกระทำความผิดตามมาตราอื่นได้อีก มีผลเท่ากับการอ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) แล้ว
พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯมีบทบัญญัติเพียง 11 มาตรา และมีเพียงมาตรา 4 มาตราเดียวที่บัญญัติการกระทำเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ ส่วนมาตราอื่น ๆล้วนบัญญัติในเรื่องอื่น แม้คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ระบุเพียงชื่อกฎหมายไม่ได้ระบุมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดก็ตาม แต่ก็ได้บรรยายถึงการออกเช็คโดยมีลักษณะหรือการกระทำความผิดของจำเลยไว้ชัดแจ้งครบถ้วนตามมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีและไม่หลงต่อสู้ จึงไม่อาจเป็นการกระทำความผิดตามมาตราอื่นได้อีก มีผลเท่ากับการอ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 394/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เอกสารปลอมเพื่อเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัท ความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิและเอกสารปลอม
สำเนารายงานการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นซึ่งทำปลอมขึ้นโดยระบุให้จำเลยผู้เดียวมีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราของบริษัทลงชื่อผูกพันบริษัทเป็นหลักฐานเพื่อระงับสิทธิของโจทก์ร่วม ในการร่วมลงลายมือชื่อผูกพันบริษัท จึงเป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(9)
คำขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนหรือชื่อกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันบริษัท เป็นเพียงเอกสารที่แจ้งความประสงค์ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนแก้ไขให้ตามรายการที่ขอและหนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารที่บุคคลหนึ่งระบุมอบหมายให้บุคคลอีกคนหนึ่งมีอำนาจทำกิจการใดแทนตนเท่านั้น เอกสารทั้งสองฉบับมิใช่หลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ จึงมิใช่เอกสารสิทธิ
จำเลยยื่นเอกสารปลอม 3 ฉบับ ประกอบกันต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยมีเจตนาเดียวเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนแก้ไขจำนวนกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันบริษัท จึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
ปัญหาการปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยอื่น ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225
คำขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนหรือชื่อกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันบริษัท เป็นเพียงเอกสารที่แจ้งความประสงค์ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนแก้ไขให้ตามรายการที่ขอและหนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารที่บุคคลหนึ่งระบุมอบหมายให้บุคคลอีกคนหนึ่งมีอำนาจทำกิจการใดแทนตนเท่านั้น เอกสารทั้งสองฉบับมิใช่หลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ จึงมิใช่เอกสารสิทธิ
จำเลยยื่นเอกสารปลอม 3 ฉบับ ประกอบกันต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยมีเจตนาเดียวเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนแก้ไขจำนวนกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันบริษัท จึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
ปัญหาการปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยอื่น ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2958/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถยนต์ที่ใช้ในความผิดยาเสพติด: สิทธิของภริยาที่ไม่จดทะเบียนสมรส
ผู้ร้องเป็นภริยาจำเลยแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ผู้ร้องทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนจำเลยประกอบอาชีพเปิดอู่ซ่อมรถและซ่อมเครื่องเสียงที่บ้าน ผู้ร้องอ้างว่าซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางให้จำเลยเพื่อใช้รับส่งลูกไปโรงเรียนซึ่งโดยสภาพของรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวเป็นรถขนาดใหญ่ไม่เหมาะที่ผู้ร้องจะใช้งานแสดงว่าผู้ร้องมอบรถจักรยานยนต์ให้จำเลยใช้ในลักษณะเป็นเจ้าของ ประกอบกับจำเลยมีพฤติกรรมจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนมาก่อนแต่เพิ่งถูกจับกุมในคดีนี้เป็นครั้งแรก จึงไม่น่าเชื่อว่าผู้ร้องจะไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจำเลยจะนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้ในการกระทำความผิด ที่ศาลล่างทั้งสองสั่งริบรถจักรยานยนต์นั้นชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2926/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดแชร์เกิน 3 วง และสิทธิการฟ้องคดีอาญาในความผิด พ.ร.บ.การเล่นแชร์
จำเลยเป็นนายวงแชร์จัดให้มีการเล่นแชร์รวม 7 วง จำเลยรวบรวมเงินจากผู้เสียหายและโจทก์ร่วมซึ่งเป็นสมาชิกวงแชร์ไปแล้วหลายงวด จำเลยจัดให้มีการประมูลแชร์ไปแล้วหลายงวด โดยสถานที่จัดประมูลแชร์คือที่ร้านของจำเลย การประมูลแชร์ตามวาระมีไปแล้วหลายครั้ง ผู้ที่ประมูลแชร์ได้ต่างก็ได้รับเงินไปแล้ว และตามคำฟ้องโจทก์ ผู้เสียหายและโจทก์ร่วมยังไม่เคยประมูลแชร์ได้จึงยังไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินกองกลางที่จำเลยรวบรวมไป เงินค่าแชร์แต่ละงวดที่ผู้เสียหายและโจทก์ร่วมส่งให้จำเลยไปแล้ว เมื่อผู้ใดประมูลแชร์ได้ก็ย่อมจะตกได้แก่ผู้นั้นไป กรรมสิทธิ์ในเงินที่ส่งไปแล้วมิได้เป็นของผู้เสียหายและโจทก์ร่วมต่อไปอีก และหากผู้เสียหายและโจทก์ร่วมไม่สามารถประมูลแชร์ได้เพราะแชร์ล้มเลิกไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม จำเลยในฐานะที่เป็นเจ้ามือแชร์ก็จะต้องรับผิดแทน ความรับผิดในกรณีเช่นนี้เป็นความผิดในทางแพ่ง ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยยักยอกเงินของผู้เสียหายและโจทก์ร่วม
แม้ตามฟ้องจะปรากฏว่าวันเวลาที่โจทก์อ้างว่าจำเลยจัดให้มีการเล่นแชร์แต่ละวงจะแตกต่างกันอยู่ และไม่มีวันใดมีการเริ่มเล่นแชร์ขึ้นใหม่พร้อมกันถึง 3 วง ก็ตาม แต่ตาม พ.ร.บ.การเล่นแชร์ พ.ศ. 234 มาตรา 6 บัญญัติไว้แต่เพียงว่าห้ามมิให้บุคคลธรรมดาเป็นนายวงแชร์หรือจัดให้มีการเล่นแชร์มีจำนวนวงแชร์รวมกันมากกว่าสามวงเท่านั้น มิได้บัญญัติว่าจะต้องจัดให้มีการเล่นแชร์ที่มากกว่าสามวงดังกล่าวขึ้นมาพร้อม ๆ กันในวันเดียวกัน จึงจะเป็นความผิดเมื่อแชร์ที่จำเลยจัดให้มีการเล่นทั้งหมดซึ่งมีจำเลยเป็นนายวงแชร์อยู่มีจำนวนรวมกันอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันมากกว่า 3 วง ตามที่จำกัดจำนวนไว้ในกฎหมาย ย่อมต้องถือว่าการกระทำของจำเลยเข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 6
พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.การเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4, 6, 17 และ ป.อ. มาตรา 352, 91 สำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์เป็นความผิดที่รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย ราษฎรไม่เป็น ผู้เสียหาย โจทก์ร่วมคงเป็นผู้เสียหายและเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้เฉพาะข้อหาตาม ป.อ. มาตรา 352 เท่านั้น ไม่เป็นผู้เสียหายและไม่มีสิทธิเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในข้อหาตาม พ.ร.บ.การเล่นแชร์ ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วมในข้อหาตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์จึงเป็นการไม่ชอบ แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอุทธรณ์และฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง
แม้ตามฟ้องจะปรากฏว่าวันเวลาที่โจทก์อ้างว่าจำเลยจัดให้มีการเล่นแชร์แต่ละวงจะแตกต่างกันอยู่ และไม่มีวันใดมีการเริ่มเล่นแชร์ขึ้นใหม่พร้อมกันถึง 3 วง ก็ตาม แต่ตาม พ.ร.บ.การเล่นแชร์ พ.ศ. 234 มาตรา 6 บัญญัติไว้แต่เพียงว่าห้ามมิให้บุคคลธรรมดาเป็นนายวงแชร์หรือจัดให้มีการเล่นแชร์มีจำนวนวงแชร์รวมกันมากกว่าสามวงเท่านั้น มิได้บัญญัติว่าจะต้องจัดให้มีการเล่นแชร์ที่มากกว่าสามวงดังกล่าวขึ้นมาพร้อม ๆ กันในวันเดียวกัน จึงจะเป็นความผิดเมื่อแชร์ที่จำเลยจัดให้มีการเล่นทั้งหมดซึ่งมีจำเลยเป็นนายวงแชร์อยู่มีจำนวนรวมกันอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันมากกว่า 3 วง ตามที่จำกัดจำนวนไว้ในกฎหมาย ย่อมต้องถือว่าการกระทำของจำเลยเข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 6
พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.การเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4, 6, 17 และ ป.อ. มาตรา 352, 91 สำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์เป็นความผิดที่รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย ราษฎรไม่เป็น ผู้เสียหาย โจทก์ร่วมคงเป็นผู้เสียหายและเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้เฉพาะข้อหาตาม ป.อ. มาตรา 352 เท่านั้น ไม่เป็นผู้เสียหายและไม่มีสิทธิเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในข้อหาตาม พ.ร.บ.การเล่นแชร์ ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วมในข้อหาตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์จึงเป็นการไม่ชอบ แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอุทธรณ์และฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2923/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รับของโจร: โจทก์ต้องพิสูจน์ว่าจำเลยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด
ในคดีความผิดฐานรับของโจรนั้น โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่าจำเลยรับจำนำรถจักรยานยนต์ของกลางไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ไม่ใช่ว่าเมื่อจำเลยเป็นผู้ครอบครองรถจักรยานยนต์ของกลางแล้วจำเลยต้องนำสืบแก้ตัวว่าตนไม่รู้ว่าเป็นของที่ได้มาจากการกระทำความผิด เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยรับจำนำรถจักรยานยนต์ของกลางโดยรู้ว่าเป็นรถจักรยานยนต์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ พยานโจทก์จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจร ลำพังคำรับสารภาพชั้นจับกุม แต่จำเลยให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาคดี จะนำมาฟังลงโทษจำเลยว่ากระทำความผิดฐานรับของโจรหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2550/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสันนิษฐานการปลอมปนน้ำมันเชื้อเพลิงและการใช้เครื่องหมายการค้าผู้อื่นโดยมิชอบ
จำเลยยอมรับว่า จำเลยมีน้ำมันเครื่องซึ่งเป็นน้ำมันหล่อลื่นคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดตามที่โจทก์ฟ้องเป็นปริมาณเกินกว่า 200 ลิตร จึงเข้าข้อสันนิษฐานตามมาตรา 25 ตรี วรรคสามแห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิงฯ ที่ใช้บังคับในขณะเกิดเหตุคดีนี้ซึ่งบัญญัติว่า "ผู้ใดมีไว้ในครอบครองซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพต่ำกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดมีปริมาณตั้งแต่สองร้อยลิตรขึ้นไป ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นผู้กระทำการปลอมปนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจำหน่าย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้มีน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อใช้ในกิจการของตน หรือได้น้ำมันเชื้อเพลิงนั้นมาโดยไม่ทราบว่าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพต่ำกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด" ดังนั้นข้อเท็จจริงจึงสันนิษฐานได้แล้วว่า จำเลยปลอมปนน้ำมันเครื่องเพื่อจำหน่าย จำเลยมีหน้าที่นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าว
การที่จำเลยปลอมปนน้ำมันหล่อลื่นแล้วบรรจุใส่ถังซึ่งมีตราเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายประทับอยู่เพื่อจำหน่ายแก่ประชาชนที่ต้องการซื้อ โดยจำเลยมีเจตนาให้ประชาชนที่ซื้อน้ำมันหล่อลื่นนั้นหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าของผู้เสียหายเป็นการครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 272(1) แล้ว แม้ถังน้ำมันหล่อลื่นที่มีตราเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายติดอยู่จะวางอยู่ในบริเวณห้างหุ้นส่วนจำกัด ป. ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิด ห่างจากชุมชนและจำเลยไม่ได้นำไปแสดงแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชนทั่วไปก็ตาม
การที่จำเลยปลอมปนน้ำมันหล่อลื่นแล้วบรรจุใส่ถังซึ่งมีตราเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายประทับอยู่เพื่อจำหน่ายแก่ประชาชนที่ต้องการซื้อ โดยจำเลยมีเจตนาให้ประชาชนที่ซื้อน้ำมันหล่อลื่นนั้นหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าของผู้เสียหายเป็นการครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 272(1) แล้ว แม้ถังน้ำมันหล่อลื่นที่มีตราเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายติดอยู่จะวางอยู่ในบริเวณห้างหุ้นส่วนจำกัด ป. ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิด ห่างจากชุมชนและจำเลยไม่ได้นำไปแสดงแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชนทั่วไปก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2460/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามฆ่าจากการใช้อาวุธปืนยิงผู้อื่น ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ.ม. 371 ลงโทษปรับ 60 บาท แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามพ.ร.บ อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 ม.8 ทวิ วรรคสองและ 72 ทวิ วรรคสอง อีกบทหนึ่ง และให้ลงโทษจำเลยตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มี โทษหนักที่สุด แต่ศาลอุทธรณ์ก็ยังคงลงโทษปรับจำเลย 60 บาท ซึ่งเป็นโทษปรับไม่เกิน 40,000 บาท และไม่ใช่กรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลย จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
การที่ผู้เสียหายที่ 3 และ ท. เบิกความตอบโจทก์ แต่ไม่ได้เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลย ก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้ศาลรับฟังคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์เพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยมีความผิดหรือบริสุทธิ์ ตาม ป.วิ.อ. ม.226 ประกอบกับในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยเป็รผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสาม
การที่จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นอันเป็นอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงและใช้ทำอันตรายให้ถึงแก่ความตายได้ยิงผู้เสียหายทั้งสามกับพวกในระยะใกล้ และกระสุนปีนถูกผู้เสียหายทั้งสามบรเวณลำคอ อก คาง ใบหน้า และต้นแขน ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า หาใช่เพียงเจตนาทำร้าย เมื่อผู้เสียหายทั้งสามไม่ถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นและไม่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ เพราะไม่ปรากฏข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของจำเลยว่าฝ่ายผู้เสียหายทั้งสามได้ข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสามในขณะนั้นตาม ป.อ.ม.72
การที่ผู้เสียหายที่ 3 และ ท. เบิกความตอบโจทก์ แต่ไม่ได้เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลย ก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้ศาลรับฟังคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์เพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยมีความผิดหรือบริสุทธิ์ ตาม ป.วิ.อ. ม.226 ประกอบกับในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยเป็รผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสาม
การที่จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นอันเป็นอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงและใช้ทำอันตรายให้ถึงแก่ความตายได้ยิงผู้เสียหายทั้งสามกับพวกในระยะใกล้ และกระสุนปีนถูกผู้เสียหายทั้งสามบรเวณลำคอ อก คาง ใบหน้า และต้นแขน ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า หาใช่เพียงเจตนาทำร้าย เมื่อผู้เสียหายทั้งสามไม่ถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นและไม่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ เพราะไม่ปรากฏข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของจำเลยว่าฝ่ายผู้เสียหายทั้งสามได้ข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสามในขณะนั้นตาม ป.อ.ม.72
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2448/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าโดยเจตนาหลังป้องกันตนเกินสมควร และเหตุบันดาลโทสะที่ไม่สมเหตุผล
ผู้ตายใช้มีดฟันจำเลยแล้วต่างล้มลงแย่งมีดกัน จำเลยลุกขึ้นได้ก่อนชักอาวุธปืนออกมายิงผู้ตาย 1 นัด ผู้ตายมุดหนีไปใต้แคร่จำเลยก้มมองและส่ายอาวุธปืนไปมาแล้วเดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่งของแคร่ยิงผู้ตายอีก 2 นัด จากนั้นจำเลยใช้มีดของผู้ตายฟันผู้ตายตรงส่วนของร่างกายที่โผล่พ้นออกมานอกแคร่มากกว่า 3 ครั้งโดยผู้ตายไม่มีโอกาสจะทำร้ายจำเลยได้อีก ภยันตรายเป็นอันผ่านพ้นและสิ้นสุดลงแล้ว จำเลยจึงไม่อาจกระทำการป้องกันสิทธิของตนได้ทั้งการกระทำดังกล่าวเป็นการหาโอกาสเลือกยิงและฟันผู้ตายโดยเจตนาฆ่าผู้ตาย มิใช่เป็นการกระทำในขณะไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมอันจะอ้างได้ว่าเป็นเหตุบันดาลโทสะ
ความผิดฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมืองหมู่บ้าน หรือที่ชุมนุมชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376กับความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามมาตรา 288 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามมาตรา 90
ความผิดฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมืองหมู่บ้าน หรือที่ชุมนุมชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376กับความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามมาตรา 288 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามมาตรา 90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2410/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความผิดของจำเลยแต่ละคนในคดีปล้นทรัพย์ ต้องอาศัยพยานหลักฐานที่แตกต่างกัน และไม่ถือเป็นเหตุในลักษณะคดีหากพยานไม่เชื่อมโยง
ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายใดจะเป็นเหตุในลักษณะคดีหรือไม่ ต้องพิจารณาเป็นเรื่อง ๆ ไป ข้อเท็จจริงใดที่รับฟังต้องฟังถึงจำเลยคนอื่นเช่นเดียวกัน ย่อมเป็นเหตุในลักษณะคดี สำหรับคดีนี้พยานหลักฐานที่ใช้วินิจฉัยจำเลยที่ 5 แตกต่างจากจำเลยที่ 6 คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสองแยกกันเป็นคนละส่วนและมีข้อที่แตกต่างกัน รวมทั้งพยานอื่นที่เกี่ยวข้องกับจำเลยทั้งสองด้วย ดังนั้น พยานหลักฐานที่จะใช้วินิจฉัยความผิดของจำเลยที่ 5 จึงแตกต่างไปจากจำเลยที่ 6 มิใช่พยานชุดเดียวกันทั้งหมด จึงไม่เป็นเหตุในลักษณะคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2410/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความผิดของจำเลยแต่ละคนในคดีปล้นทรัพย์ และเหตุในลักษณะคดี
ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายใดจะเป็นเหตุในลักษณะคดีหรือไม่ต้องพิจารณาเป็นเรื่อง ๆ ไป ข้อเท็จจริงใดที่รับฟังต้องฟังถึงจำเลยคนอื่นเช่นเดียวกัน ย่อมเป็นเหตุในลักษณะคดีเมื่อคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 6แยกกันเป็นคนละส่วนและมีข้อที่แตกต่างกันรวมทั้งพยานอื่นที่เกี่ยวข้องกับจำเลยด้วย พยานหลักฐานที่จะใช้วินิจฉัยความผิดของจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นผู้อุทธรณ์จึงแตกต่างไปจากจำเลยที่ 6มิใช่พยานชุดเดียวกันทั้งหมด จึงไม่เป็นเหตุในลักษณะคดีศาลอุทธรณ์พิพากษาให้มีผลยกฟ้องไปถึงจำเลยที่ 6ที่มิได้อุทธรณ์ไม่ได้