คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
บังคับคดี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,691 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3635/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ต้องดำเนินการตามลำดับที่ตกลง หากยังไม่ได้ขายทอดตลาดทรัพย์จำนอง การหักบัญชีเงินฝากถือเป็นการผิดสัญญา
เมื่อโจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว หากคู่ความฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็จะต้องมีการบังคับคดีให้เป็นไปตามสัญญาดังกล่าว ปรากฏว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและจำเลยได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วแต่ยังขายไม่ได้ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมจำเลยจะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของโจทก์ได้ ก็ต่อเมื่อการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้การที่ยังขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไม่ได้มิใช่กรณีขายแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ จำเลยจึงยังไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของโจทก์ การที่จำเลยหักบัญชีเงินฝากของ จทก์ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงเป็นการปฏิบัติ นอกเหนือและผิดไปจากที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยไม่อาจทำได้ และจำเลยจะอ้างว่าเป็นการหักกลบลบหนี้ ก็มิได้เพราะโจทก์และจำเลยมีข้อสัญญาที่จะต้องปฏิบัติ ต่อกันอยู่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3635/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ต้องดำเนินการตามลำดับที่กำหนด หากยังไม่ได้ขายทอดตลาดทรัพย์จำนอง การหักเงินจากบัญชีฝากจึงเป็นการผิดสัญญา
โจทก์กับพวกเคยถูกจำเลยฟ้องและตกลงทำสัญญาประนีประนอม ยอมความต่อหน้าศาลว่า โจทก์กับพวกยอมร่วมกันชำระเงินจำนวน 17,188,274.38 บาท ให้แก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ในต้นเงิน 13,400,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ โดยโจทก์กับพวกจะชำระทั้งหมดภายในกำหนด 6 เดือน นับแต่วันทำ สัญญาประนีประนอมยอมความ หากผิดนัด ยอมให้จำเลยยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอ ชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของโจทก์กับพวกชำระหนี้จนครบศาลได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้วหากคู่ความฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็จะต้องมีการบังคับคดีให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ต่อมาโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา และจำเลยได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด เมื่อยังขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไม่ได้การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความจึงยังไม่เสร็จสิ้นและจะต้องดำเนินการต่อไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความและ คำพิพากษาตามยอมจำเลยจะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของ โจทก์ได้ก็ต่อเมื่อการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยย่อมไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของโจทก์การที่จำเลยหักบัญชีเงินฝากของโจทก์ชำระหนี้ตามสัญญา ประนีประนอมยอมความ จึงเป็นการปฏิบัตินอกเหนือและผิดไปจาก ที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยจะอ้างว่าเป็น การหักกลบลบหนี้มิได้เพราะโจทก์และจำเลยมีข้อสัญญาที่จะต้อง ปฏิบัติต่อกันอยู่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3630/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการรับผิดในกรณีที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวน ผู้ซื้อจากการขายทอดตลาดมีสิทธิเรียกร้องเงินคืนได้หรือไม่
โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาให้รับผิดต่อโจทก์ผู้เป็นบุคคลภายนอกอันเกิดจากการ นำยึด และขายทรัพย์สินโดยมิชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 284 วรรคสอง ซึ่งมิได้มีกฎหมายบัญญัติในเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีกำหนดสิบปีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 193/30 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อโจทก์ฟ้องคดี ยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ได้ใช้ราคาซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งของศาลชั้นต้นอันเป็นวันเริ่มนับอายุความนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ เมื่อปรากฏภายหลังว่าที่ดินที่จำเลยคดีนี้ในฐานะเจ้าหนี้คำพิพากษาให้นำยึดและโจทก์เป็นผู้ซื้อได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งของศาลเป็นที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติตามกฎกระทรวงฉบับที่ 1,085(พ.ศ. 2527) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน2527 และปัจจุบันกลายเป็นอ่างเก็บน้ำที่กรมชลประทานก่อสร้างขึ้น แต่เดิมที่ดินแปลงนี้เป็นที่ดิน น.ส.3 ก. ซึ่งทางราชการออกให้ไว้แก่ส. ซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีที่มีการขายทอดตลาดดังกล่าวตั้งแต่ก่อนที่จะมีกฎกระทรวงกำหนดให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติ กรณีย่อมมีผลทำให้ ส.ยังคงมีสิทธิครอบครองที่ดินนั้นอยู่ต่อไป ตามมาตรา 12 วรรคสุดท้ายแห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินไปจากการขายทอดตลาด แต่ไม่ได้ สิทธิครอบครองในที่ดินที่ซื้อมา โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้ จำเลยผู้นำยึดคืนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดนั้นได้ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้บริเวณพื้นที่ตาม น.ส.3 ก.ที่ดินพิพาทตามฟ้องเป็นเขตป่าไม้ถาวร กรณียังต้องฟังข้อเท็จจริงให้แน่ชัดเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นกรณีสิทธิในที่ดินที่บุคคลมีอยู่ตามป.ที่ดิน กล่าวคือ น.ส.3 ก.รายนี้ออกโดยชอบด้วยกฎหมายดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 12 วรรคสุดท้าย แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 อันเป็นประเด็นที่รวมอยู่ในประเด็นที่ว่า โจทก์มี อำนาจฟ้องให้จำเลยคืนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินตามฟ้อง หรือไม่ เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นสาระสำคัญอันทำให้ผลคดี เปลี่ยนแปลง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานทำให้มีข้อเท็จจริง ไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัยคดี จึงจำต้องทำการสืบพยานโจทก์ และจำเลยต่อไปให้สิ้นกระแสความ กรณีเป็นเรื่องที่มิได้ ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยการพิจารณาตามมาตรา 243(2) ประกอบด้วยมาตรา 247 ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่าง ทั้งสองตลอดจนคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาเฉพาะประเด็นดังกล่าวต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3529/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอม: การชำระหนี้ต่างตอบแทนและการร้องขอให้บังคับคดีภายในอายุความ
ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมและมีคำสั่งท้ายคำพิพากษาว่าบังคับตามยอม ทั้งมีคำสั่งไว้ที่หน้าสำนวนว่า บังคับตามยอม หากไม่ปฏิบัติตามจะถูกยึดทรัพย์ตาม ป.วิ.พ. โดยโจทก์กับจำเลยได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ ถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้มีคำบังคับกำหนดวิธีที่จะปฏิบัติตามคำบังคับนั้นไว้และจำเลยทราบคำบังคับนั้นแล้ว เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์จะต้องร้องขอให้บังคับคดีอีกชั้นหนึ่ง
โจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์ประสงค์จะบังคับคดีโดยนำเงิน18,200,000 บาท มาวางศาลเพื่อชำระแก่จำเลยตามคำพิพากษาตามยอมและคำบังคับ อันเป็นการชำระหนี้ต่างตอบแทนในการขอให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอม แต่คำบังคับของศาลไม่มีกรณีต้องดำเนินการทางเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือต้องยื่นคำขอให้ออกหมายบังคับคดี การยื่นคำร้องดังกล่าวของโจทก์ถือได้ว่าเป็นการร้องขอให้บังคับคดีตาม ป.วิ.พ.มาตรา 271 เมื่อเป็นการร้องขอให้บังคับคดีภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา และการร้องขอให้บังคับคดีของโจทก์ชอบด้วยกฎหมาย การที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีเพื่อให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมและคำบังคับก็ย่อมชอบด้วยกฎหมายด้วย แม้การบังคับคดีจะยังไม่แล้วเสร็จภายในสิบปีก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3529/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำพิพากษาตามยอมและการบังคับคดีภายในสิบปี ศาลพิพากษายืนคำสั่งบังคับคดีชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมและมีคำสั่งท้ายคำพิพากษาว่าบังคับตามยอม ทั้งมีคำสั่งไว้ที่หน้าสำนวนว่า บังคับ ตามยอม หากไม่ปฏิบัติตามจะถูกยึดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยโจทก์กับจำเลยได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ ถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้มีคำบังคับกำหนดวิธีที่จะปฏิบัติตามคำบังคับนั้นไว้และจำเลยทราบคำบังคับนั้นแล้ว เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์จะ ต้องร้องขอให้บังคับคดีอีกชั้นหนึ่ง โจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์ประสงค์จะบังคับคดีโดยนำเงิน18,200,000 บาท มาวางศาลเพื่อชำระแก่จำเลยตามคำพิพากษาตามยอมและคำบังคับ อันเป็นการชำระหนี้ต่างตอบแทนในการขอให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมแต่คำบังคับของศาลไม่มีกรณีต้องดำเนินการทางเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือต้องยื่นคำขอให้ออกหมายบังคับคดี การยื่นคำร้องดังกล่าวของโจทก์ถือได้ว่าเป็นการร้องขอให้บังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 เมื่อเป็นการร้องขอให้บังคับคดีของโจทก์ชอบด้วยกฎหมาย การที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีเพื่อให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมและคำบังคับก็ย่อมชอบ ด้วยกฎหมายด้วย แม้การบังคับคดีจะยังไม่แล้วเสร็จภายใน สิบปีก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3423/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการตั้งผู้จัดการทรัพย์สิน: รายได้จากสวนผลไม้ไม่เพียงพอชำระหนี้
จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีหนี้ตามคำพิพากษาที่จะต้องชำระ ให้โจทก์รวม 14,000,000 บาทเศษ สวนผลไม้ที่โจทก์นำยึดสามารถให้ผลผลิตและรายได้ปีละไม่ต่ำกว่า4,500,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 2 และที่ 3 อ้างว่าสามารถชำระหนี้แก่โจทก์ได้ภายในเวลาไม่เกิน 5 ปีนั้น เป็นเพียงการคาดคะเนว่าจะมีรายได้จากผลผลิตการเกษตร ซึ่งยังไม่แน่นอน อีกทั้งกว่าจะชำระให้โจทก์ เสร็จสิ้นก็เป็นเวลาประมาณ 5 ปี และโจทก์ ก็มิได้ให้ความยินยอม ถือไม่ได้ว่ารายได้ ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 อาจเพียงพอที่จะชำระหนี้ ตามคำพิพากษา กรณีจึงไม่ต้องด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 307ที่จะตั้งผู้จัดการทรัพย์และนำรายได้ประจำปี จากทรัพย์ดังกล่าวชำระหนี้แทนการขายทอดตลาดทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3350/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายทอดตลาดบังคับคดีต้องได้ราคาสูงสุดตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย แม้ประเมินราคาต่ำกว่าตลาด
ตามประเพณีของธนาคารจะให้วงเงินรับจำนองทรัพย์ต่ำกว่าราคาที่เป็นจริงสำหรับราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นเพียงการประมาณราคาเพื่อนำมาคำนวณค่าธรรมเนียม ในกรณียึดแล้วไม่มีการขาย และเพื่อดูว่าทรัพย์สินที่ยึด เพียงพอที่จะบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาหรือไม่ เป็นการ ประเมินแบบคร่าว ๆ มิใช่ประเมินตามราคาท้องตลาดที่แท้จริง แต่การขายทอดตลาดผู้ทอดตลาดอาจคำนวณราคาโดยอาศัยวงเงิน ที่โจทก์รับจำนองประกอบกับประเพณีของธนาคารที่จะรับจำนอง ในวงเงินที่ต่ำกว่าราคาทรัพย์ที่แท้จริงและจำเลยไม่จำเป็น ต้องคัดค้างการประเมินราคาของเจ้าพนักงานบังคับคดี เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะประเมินราคาให้เหมาะสม โดยให้ขายได้ราคาสูงสุดเท่าที่จะสามารถประมูลขายได้ เมื่อพฤติการณ์น่าเชื่อว่าหากมีการประกาศขายใหม่จะมี ผู้สู้ราคาสูงกว่าในครั้งนี้ การอนุญาตให้ขายของเจ้าพนักงาน บังคับคดีในครั้งนี้จึงมิได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการ ขายทอดตลาด เป็นการบังคับคดีฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 153 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 308 ซึ่งศาลเพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงาน บังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 334/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าธรรมเนียมศาลในการขอเพิกถอนการบังคับคดีและการพิจารณาความสมเหตุสมผลของการขายทอดตลาด
การยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้มีคำสั่งยกเลิกกระบวนวิธีการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้น ผู้ร้องจะต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลท้าย ป.วิ.พ.คือ ค่าคำร้องตามตาราง 2 (3) จำนวน 20 บาท และค่าคำสั่งตามตาราง 2 (7) อีกจำนวน 50 บาท ส่วนชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 (2) (ก) จำนวน 200 บาท และเสียค่าคำสั่งตามตาราง2 (7) อีกจำนวน 100 บาท
คดีนี้จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกกระบวนวิธีการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296วรรคสอง โดยจำเลยเพียงแต่เสียค่าคำร้อง แต่มิได้เสียค่าคำสั่ง เป็นการเสียค่าธรรมเนียมศาลไม่ครบ แต่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นรับคำร้องทำการไต่สวนจนมีคำสั่งชี้ขาดแล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยจะจงใจหลีกเลี่ยงไม่ยอมเสีย ศาลฎีกาเห็นสมควรให้โอกาสแก่จำเลยเสียค่าธรรมเนียมศาลให้ครบ
การขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่พิพาทกันนี้ในราคา46,200,000 บาท ได้มีการประกาศขายมาแล้ว 10 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 11โดยขายทอดตลาดครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2532 ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 15พฤษภาคม 2538 ใช้เวลาขายรวม 5 ปีเศษ ผู้เข้าประมูลทุกครั้งมีแต่โจทก์และอ.ผู้เคยเป็นภริยาของจำเลยเข้าประมูลเท่านั้น ไม่มีผู้อื่นสนใจเข้าประมูล ราคาที่ประมูลอยู่ระหว่าง 45,000,000 บาท ถึง 46,000,000 บาท บางครั้งไม่มีผู้เข้าสู้ราคา จำเลยรับว่าจะหาผู้มาสู้ราคา แต่ไม่เคยจัดหามา การที่จะให้ไปประกาศขายทอดตลาดใหม่อีกก็ไม่แน่ว่าจะขายได้ราคาดีขึ้น จึงไม่มีเหตุจะเพิกถอนการขายทอดตลาดตามคำร้องของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 334/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีขายทอดตลาด: การปฏิบัติตามขั้นตอนและราคาที่เหมาะสม แม้ต่ำกว่าราคาประเมิน แต่ไม่มีผู้นำสู้ราคาสูงกว่า
ก่อนเริ่มขายทอดตลาด เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ปักธงสัญลักษณ์การขายทอดตลาด อ่านประกาศโฆษณาการขายทอดตลาด เงื่อนไข ข้อสัญญา และคำเตือนโดยเปิดเผยแล้วโดยจำเลยที่ 2 มิได้คัดค้านว่าการขายทอดตลาดดังกล่าวผิดระเบียบ จึงต้องถือว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินกระบวนวิธีการบังคับคดีไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการนำทรัพย์สิน ของจำเลยที่ 2 ออกประกาศขายมาแล้ว 10 ครั้ง ครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 11 ใช้เวลาขายรวม 5 ปีเศษ ผู้เข้าประมูลทุกครั้ง มีเพียงโจทก์และนายสาวอ. โดยไม่มีผู้อื่นสนใจร่วมเข้าประมูลราคาที่ประมูลแต่ละครั้งไม่แตกต่างกัน แม้จำเลยที่ 2 รับว่าจะหาผู้มาสู้ราคา แต่ไม่เคยจัดหามา การที่จะให้ทำการประกาศขายทอดตลาดใหม่อีกก็ไม่แน่ว่าจะขายทรัพย์ได้ราคาดีขึ้นจึงไม่มีเหตุที่ศาลจะเพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำร้อง ของ จำเลยที่ 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3312/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจตัวแทน-หุ้นส่วนที่มิได้เปิดเผยชื่อ: สิทธิในชั้นบังคับคดี
ตามที่ปรากฏในสำนวนจำเลยไม่เคยกล่าวถึงการเป็นหุ้นส่วนกับผู้ร้องหรือการเป็นตัวแทนของผู้ร้อง ผู้ร้องเป็นตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อ จึงไม่อาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกอันมีต่อตัวแทนก่อนที่จะรู้ว่าผู้ร้องเป็นตัวแทนนั้น ตาม ป.พ.พ.มาตรา 806 และในเรื่องหุ้นส่วนผู้ร้องผู้เป็นหุ้นส่วนจะถือเอาสิทธิใด ๆ แก่บุคคลภายนอกในกิจการค้าขายซึ่งไม่ปรากฏชื่อของตนนั้นหาได้ไม่ตามมาตรา 1049 เช่นกัน สิทธิของผู้ร้องที่อาจมีอยู่หรือได้มาก็โดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่มีอยู่และแสดงออกต่อบุคคลภายนอกหรือโจทก์เท่านั้นเสมือนหนึ่งเป็นบุคคลคนเดียวกันกับจำเลยหรือเป็นบริวารของจำเลย ดังนั้น ในชั้นบังคับคดีผู้ร้องย่อมไม่อาจอ้างอำนาจพิเศษตาม ป.วิ.พ.มาตรา 296 จัตวา(3) มาใช้ยันแก่โจทก์ได้
of 270