พบผลลัพธ์ทั้งหมด 587 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2041/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์รถยนต์ถูกริบแล้ว ผู้ซื้อโดยสุจริตก็ไม่ได้รับกรรมสิทธิ์
เมื่อศาลพิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลางแล้ว เจ้าของรถไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันนั้นอีกต่อไป ผู้ร้องซื้อรถยนต์ของกลางขณะที่ผู้ขายไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ แม้ผู้ร้องจะซื้อโดยสุจริตและแก้ทะเบียนเป็นของผู้ร้องแล้ว ผู้ร้องก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางไม่มีสิทธิร้องขอรถยนต์ของกลางคืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2041/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ถูกริบเมื่อศาลมีคำพิพากษา แม้ซื้อโดยสุจริตก็ไม่ได้รับกรรมสิทธิ์
เมื่อศาลพิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลางแล้ว เจ้าของรถไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันนั้นอีกต่อไปผู้ร้องซื้อรถยนต์ของกลางขณะที่ผู้ขายไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ แม้ผู้ร้องจะซื้อโดยสุจริตและแก้ทะเบียนเป็นของผู้ร้องแล้วผู้ร้องก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางไม่มีสิทธิร้องขอรถยนต์ของกลางคืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1941/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายรถยนต์ผ่อนชำระไม่ใช่สัญญาเช่าซื้อ เจ้าของรถไม่มีสิทธิเรียกร้องคืน
เอกสารมีข้อความว่า "หนังสือสัญญาขายรถยนต์"และซื้อขาย กันในราคาสุทธิ 30,000 บาท ชำระเงินงวดแรกแล้วจำนวนหนึ่งส่วนที่เหลือผ่อนชำระเป็นงวด ๆ ละเดือนจนกว่าจะครบ หากผู้ซื้อค้างชำระเงินถึง 3 งวด ฝ่ายผู้ขายจะยึดรถคืน และพยานผู้ร้องต่างยืนยันว่าผู้ร้องขายรถของกลางกันแล้ว ย่อมถือได้ว่าเป็นการซื้อขายรถยนต์โดยผ่อนชำระราคา หาใช่เป็นการเช่าซื้อไม่ แม้จะมีข้อความว่าถ้าผู้ซื้อค้างชำระเงินถึง 3 งวด ฝ่ายผู้ขายจะขอยึดรถคืนก็เป็นแต่เพียงการตกลงกันไว้ล่วงหน้าถึงสิทธิของผู้ขายในเมื่อผู้ซื้อผิดสัญญาไม่ชำระราคาเท่านั้น หาทำให้สัญญานี้กลายเป็นสัญญาเช่าซื้อไปไม่ ผู้ร้องจึงมิใช่เจ้าของอันแท้จริงที่จะมีสิทธิร้องขอคืน รถยนต์ของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 128/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: การประเมินความเสียหายต่อร่างกาย, รถยนต์ และค่าทนทุกข์ทรมาน
โจทก์ถูกรถจำเลยชน รอยแผลเป็นซึ่งไม่ทำให้โจทก์เสียบุคลิกและโจทก์ต้องทนทุกข์ทรมาน เป็นความเสียหายอันมิใช่ตัวเงินซึ่งไม่ซ้ำซ้อนกัน โจทก์เรียกได้ตาม มาตรา 446 รถยนต์ราคา 70,000 บาท ถูกชนแล้วขายซากรถไป 10,000 บาท เรียกค่าเสียหายที่ขาดเงินไป 60,000 บาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1258/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิด: ผู้ครอบครองรถยนต์ต้องรับผิดเมื่อเกิดอุบัติเหตุ แม้ไม่ได้เป็นผู้ขับ
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะจำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์โดยประมาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ประการหนึ่ง และให้รับผิดในฐานะจำเลยเป็นผู้ครอบครองรถยนต์ขณะเกิดเหตุ ตามมาตรา 437 อีกประการหนึ่ง ฉะนั้น แม้คดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องศาลพิพากษาถึงที่สุดว่า ต. เป็นคนขับรถจำเลยก็ตาม ในคดีนี้ศาลก็ยังต้องวินิจฉัยต่อไปว่าความรับผิดของจำเลยตามมาตรา 437 มีเพียงใด ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า มาตรา 437 มุ่งหมายให้มีข้อสันนิษฐานเป็นคุณแก่ฝ่ายที่มิใช่ยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล โจทก์จำเลยต่างเป็นผู้ครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล ไม่อาจบังคับใช้บทบัญญัติ มาตรา 437 ได้นั้น เป็นการกล่าวเกี่ยวกับภาระแห่งการพิสูจน์หรือหน้าที่นำสืบ มิใช่วินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 437 ที่ศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่นั้นชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1258/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดจากรถยนต์: ศาลต้องพิจารณาความรับผิดทั้งฐานผู้ขับและผู้ครอบครองรถยนต์ แม้คดีอาญาพิพากษาแล้ว
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะจำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์โดยประมาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420ประการหนึ่ง และให้รับผิดในฐานะจำเลยเป็นผู้ครอบครองรถยนต์ขณะเกิดเหตุตามมาตรา 437 อีกประการหนึ่งฉะนั้น แม้คดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องศาลพิพากษาถึงที่สุดว่า ต. เป็นคนขับรถจำเลยก็ตาม ในคดีนี้ศาลก็ยังต้องวินิจฉัยต่อไปว่าความรับผิดของจำเลยตามมาตรา 437 มีเพียงใด ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่ามาตรา 437มุ่งหมายให้มีข้อสันนิษฐานเป็นคุณแก่ฝ่ายที่มิใช่ยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล โจทก์จำเลยต่างเป็นผู้ครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล ไม่อาจบังคับใช้บทบัญญัติมาตรา 437 ได้นั้น เป็นการกล่าวเกี่ยวกับภาระแห่งการพิสูจน์หรือหน้าที่นำสืบ มิใช่วินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 437ที่ศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่นั้นชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อรถยนต์: อายุความ 10 ปี และความรับผิดของผู้เช่าซื้อต่อเจ้าของรถ
จำเลยเช่าซื้อรถยนต์ของโจทก์ โจทก์เอาประกันภัยรถคันนี้ไว้โดยจำเลยเป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัย รถยนต์ถูกลัก โจทก์เรียกรถและราคาคืนจากจำเลยได้โดยมีอายุความ 10 ปี ตาม มาตรา 164 จำเลยจะเกี่ยงให้โจทก์เรียกเอาจากผู้รับประกันภัยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 770/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้เช่าซื้อในการเรียกร้องค่าทดแทนจากประกันภัย แม้ไม่ใช่เจ้าของรถ
ผู้เช่าซื้อรถยนต์มีสิทธิยึดถือใช้ประโยชน์และรับผิดในความเสียหายแก่รถ เป็นผู้มีส่วนได้เสียเอาประกันภัยรถนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 700/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมอำพรางสัญญาซื้อขายเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดการเช่าซื้อรถยนต์ ศาลวินิจฉัยสัญญาสิ้นผล
โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกมาจากจำเลยที่ 1 เพื่อนำไปเข้าร่วมเดินรถกับบริษัทสหรถเมล์เล็กธนบุรี จำกัด ผู้ได้รับอนุญาตให้เดินรถประจำทาง ตามระเบียบของกระทรวงคมนาคม บริษัทฯ จะต้องมีรถของตนเอง ถ้าจะนำรถของผู้อื่นมาร่วมจะต้องโอนทะเบียนรถให้เป็นของบริษัทฯ เสียก่อน โจทก์จึงขอให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อขายรถให้โจทก์เพื่อโจทก์จะได้นำสัญญาซื้อขายไปโอนทะเบียนรถยนต์ให้เป็นของบริษัทฯการทำสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ก็เพื่อช่วยเหลือโจทก์ให้นำรถยนต์ที่โจทก์เช่าซื้อจากจำเลยที่ 1 เข้าร่วมในกิจการเดินรถของบริษัทฯ ได้เท่านั้น คู่สัญญาไม่มีเจตนาผูกพันกันตามสัญญาซื้อขาย แต่มีเจตนาผูกพันกันตามสัญญาเช่าซื้อสัญญาซื้อขายเป็นแต่เพียงการแสดงเจตนาลวงและเป็นนิติกรรมอำพราง จึงไม่มีผลบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 เมื่อโจทก์ค้างชำระค่าเช่าซื้อหลายงวดติดต่อกัน จำเลยที่ 1 ก็มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ และยึดรถกลับคืนได้ ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
เอกสารซึ่งเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญในคดี แม้จำเลยจะไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารให้โจทก์ ศาลก็มีอำนาจรับฟังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)
เอกสารซึ่งเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญในคดี แม้จำเลยจะไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารให้โจทก์ ศาลก็มีอำนาจรับฟังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 419/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปล้นทรัพย์โดยใช้รถยนต์ ความผิดฐานมีอาวุธ และการลดโทษจากคำให้การ
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองร่วมกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์โดยใช้รถยนต์เป็นพาหนะ และโดยจำเลยที่ 2 มีอาวุธติดตัวไปด้วย พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี จำคุกจำเลยคนละ 18 ปี คดีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงจำคุกคนละ 9 ปี โจทก์ฎีกาว่าที่ศาลอุทธรณ์ลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่งไม่ชอบ จำเลยทั้งสองไม่ฎีกา เมื่อศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าในการปล้นทรัพย์นี้จำเลยที่ 2 กับพวกมิได้มีอาวุธแต่อย่างใด แม้ปัญหาข้อนี้จำเลยจะมิได้ฎีกาขึ้นมาก็ตาม แต่ก็เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เอง และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าวจำเลยที่ 2 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี ทั้งเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลฎีกาพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วยได้