พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,244 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7223/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายเวลาอุทธรณ์โดยผู้ไม่มีอำนาจทำให้การอุทธรณ์พ้นกำหนด ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยชอบแล้ว
ศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้ผู้ประกันประกันตัวจำเลยไปในระหว่างอุทธรณ์วันสุดท้ายที่จำเลยอาจยื่นอุทธรณ์ได้ผู้รับมอบอำนาจจากผู้ประกันได้มายื่นคำร้องต่อศาลเมื่อเวลา16.25นาฬิกาขอเลื่อนส่งตัวจำเลยและขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปเป็นเวลา7วันศาลชั้นต้นอนุญาตและจำเลยได้นำอุทธรณ์มายื่นภายในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตแต่ผู้ประกันจำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์คดีนี้เพราะมิใช่คู่ความในคดีจึงไม่มีสิทธิร้องขอหรือมอบอำนาจให้ผู้อื่นร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ดังนั้นคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์จึงไม่ชอบไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิยื่นอุทธรณ์เกินกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา198เมื่อฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยมิได้ยื่นในกำหนดที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยและพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา210แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7173/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์เฉพาะประเด็นสินสมรสและอำนาจปกครองบุตร ศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขอและกระทบสิทธิที่ยุติแล้ว
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วจำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการแบ่งสินสมรสและการปกครองบุตรเท่านั้นส่วนโจทก์มิได้อุทธรณ์ฉะนั้นคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่โจทก์และจำเลยหย่ากันจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นการที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิพากษาให้บุตรอยู่ในความปกครองของโจทก์ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาจึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นทั้งหมดรวมตลอดถึงประเด็นเรื่องการหย่าซึ่งยุติไปแล้วโดยมิได้วินิจฉัยประเด็นเรื่องการแบ่งสินสมรสด้วยเช่นนี้เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243(1)ศาลฎีกาเห็นสมควรยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่มิชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวและวินิจฉัยประเด็นเรื่องการแบ่งสินสมรสที่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยไปเสียเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก โจทก์บรรยายฟ้องขอแบ่งสินสมรสจากจำเลยโดยระบุว่ามีสินสมรสอยู่3รายการคือรถยนต์นั่งยี่ห้อมาสด้าที่ดินโฉนดที่1912พร้อมบ้าน1หลังและที่ดินโฉนดที่10733ซึ่งถือกรรมสิทธิ์รวมกับผู้อื่นอยู่โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในสินสมรสดังกล่าวกึ่งหนึ่งจึงเป็นคำฟ้องที่โจทก์ขอแบ่งสินสมรสกึ่งหนึ่งของสินสมรสที่มีอยู่นั่นเองและตามรายงานกระบวนพิจารณาโจทก์แถลงประสงค์ที่จะได้สินสมรสไว้โดยแบ่งจำนวนเงินให้แก่จำเลยเช่นกันมิใช่มุ่งประสงค์เฉพาะแต่เพียงจำนวนเงินส่วนแบ่งสินสมรสจำนวน352,000บาทที่ระบุมาเท่านั้นส่วนที่โจทก์ตีราคาเป็นจำนวนเงินดังกล่าวมาก็เป็นการตีราคาทรัพย์สินเป็นทุนทรัพย์เพื่อประโยชน์ในการคิดคำนวณค่าขึ้นศาลหาใช่เป็นข้อจำกัดแห่งคำฟ้องที่จะต้องแบ่งตามจำนวนเงินที่ตีราคาไม่ศาลจึงชอบที่พิพากษาให้จำเลยแบ่งสินสมรสทั้ง3รายการเฉพาะส่วนของโจทก์และจำเลยให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7003/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: เช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน และศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ที่จำเลยฎีกาว่า เช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้เพราะจำเลยสั่งจ่ายให้ผู้เสียหายโดยมีเจตนาค้ำประกันการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อรถแม็คโคร มิใช่เพื่อชำระหนี้ค่าเช่าซื้อจึงไม่มีความผิดและขอให้รอการลงโทษจำคุกไว้ เป็นฎีกาที่โต้เถียงดุลพินิจของศาลในการรับฟังพยานหลักฐานและการลงโทษจำเลยอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6857/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีเช่าซื้อรถยนต์: ทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาททำให้ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง และประเด็นการชำระค่าเช่าซื้อที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยได้
คดีที่โจทก์จำเลยที่1และที่2โต้เถียงกันว่าจำเลยที่1และที่2ได้โอนสิทธิการเช่าซื้อให้แก่โจทก์หรือไม่และโจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้วหรือไม่หากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทส่วนคำขอท้ายฟ้องที่ขอให้จำเลยร่วมกันโอนใส่ชื่อโจทก์ในสมุดคู่มือทะเบียนรถยนต์พิพาทนั้นเป็นเพียงผลจากการที่ศาลได้พิพากษาว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทนั่นเองจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์อันได้แก่ราคารถยนต์นั่นเองซึ่งไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง การที่จำเลยที่1และที่2ให้การต่อสู้ว่าไม่เคยโอนสิทธิการเช่าซื้อรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์โจทก์ชำระเงินให้จำเลยเป็นค่าเช่ารถยนต์และชำระหนี้มิใช่ค่าเช่าซื้อนั้นก็เท่ากับปฏิเสธอยู่ในตัวว่าโจทก์ไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์พิพาทและศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลยที่1และที่2ครบถ้วนแล้วหรือไม่จึงชอบที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบถ้วนและยกขึ้นเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่1ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6745/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์ในการทุเลาการบังคับคดีและการห้ามฎีกาในเรื่องเดียวกัน
ตามคำร้องของจำเลยทั้งสองที่ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้งดการบังคับคดีและรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองไว้ก่อนจนกว่าศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งเกี่ยวกับการขอให้พิจารณาใหม่นั้น แท้จริงแล้วเนื้อหาของคำร้องเป็นเรื่องการขอทุเลาการบังคับในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ไม่ใช่เป็นเรื่องงดการบังคับคดี แม้ศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งมาในเรื่องงดการบังคับคดีก็ถือได้ว่าเป็นคำสั่งอันเกี่ยวกับการทุเลาการบังคับของศาลอุทธรณ์นั่นเอง กรณีเช่นนี้เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งประการใดแล้วก็เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ ซึ่งกฎหมายไม่ประสงค์จะให้ศาลฎีกาไปเกี่ยวข้องกับการขอทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ การขอทุเลาการบังคับตาม ป.วิ.พ.มาตรา 231ประกอบ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153 จึงเป็นเรื่องที่กฎหมายกำหนดวิธีการไว้เป็นพิเศษ ไม่อยู่ในบังคับแห่งการอุทธรณ์และฎีกาอย่างเรื่องอื่น ๆดังนั้น ฎีกาจำเลยทั้งสองที่ว่า หากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการบังคับคดีและรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองไปก่อนแล้ว และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกลับคำสั่งศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยทั้งสองดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ จำเลยทั้งสองจะได้รับความเสียหาย ทั้งหนี้ที่โจทก์นำมาเป็นมูลฟ้องคดีนี้ยังไม่อาจกำหนดจำนวนได้แน่นอน และเป็นหนี้ที่ไม่อาจขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายได้ ซึ่งเป็นฎีกาโต้แย้งคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในเรื่องทุเลาการบังคับ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6721/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากจำเลยไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และศาลแก้ไขค่าทนายความที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อ้างเหตุคนละอย่างกับเหตุที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยการที่จำเลยฎีกาโดยคัดลอกเอาข้อความที่อุทธรณ์มาเป็นฎีกาโดยไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไรที่ถูกแล้วศาลอุทธรณ์ควรวินิจฉัยอย่างไรจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยใช้ค่าทนายความ20,000บาทแทนโจทก์เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดน่าจะเกิดจากการพิมพ์ผิดพลาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา143จึงให้แก้ไขค่าทนายความในศาลชั้นต้นเป็น3,000บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6557/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ การนำเอกสารเข้าสืบเกินสิทธิ และผลกระทบต่อการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ ประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องเท่านั้น และจำเลยมีสิทธิเพียงอ้างตนเองเป็นพยานกับซักค้านพยานโจทก์เท่านั้น ไม่มีสิทธินำพยานจำเลยเข้าสืบไม่ว่าพยานบุคคลหรือพยานเอกสารตาม ป.วิ.พ. มาตรา 199 วรรคสอง การที่ทนายความจำเลยทั้งสองนำสำเนาหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน ให้ตัวโจทก์ดูประกอบการถามค้านตัวโจทก์ตัวโจทก์ไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าว แล้วทนายความจำเลยทั้งสองส่งเอกสารนั้นต่อศาลชั้นต้นนั้นตัวโจทก์ไม่ได้เบิกความรับรองเอกสารดังกล่าวเท่ากับจำเลยทั้งสองเรียกพยานหลักฐานของตนเข้าสืบฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายดังกล่าว สำเนาหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน จึงต้องห้ามมิให้รับฟัง ที่ศาลอุทธรณ์นำเอกสารดังกล่าวมาวินิจฉัยประกอบพยานหลักฐานของโจทก์ว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องเป็นเอกสารปลอมจึงเป็นการไม่ชอบ เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมาย ศาลฎีกามีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่แทนข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6557/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำเอกสารหลักฐานของจำเลยเข้าสืบโดยไม่ได้รับอนุญาต และการวินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยศาลอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ ประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องและจำเลยมีสิทธิเพียงอ้างตนเองเป็นพยานกับซักค้านพยานโจทก์เท่านั้น ไม่มีสิทธินำพยานจำเลยเข้าสืบไม่ว่าพยานบุคคลหรือพยานเอกสาร การที่ทนายจำเลยทั้งสองนำสำเนาหนังสือสัญญากู้ยืมเงินให้โจทก์ดูประกอบการถามค้าน โจทก์ไม่ตอบคำถามแล้วทนายจำเลยทั้งสองส่งเอกสารนั้นต่อศาล แสดงว่าโจทก์ไม่ได้เบิกความรับรองเอกสารนั้นเท่ากับจำเลยทั้งสองเรียกพยานหลักฐานของตนเข้าสืบ จึงต้องห้ามมิให้รับฟังการที่ศาลอุทธรณ์นำเอกสารดังกล่าวมาวินิจฉัยประกอบพยานหลักฐานของโจทก์ว่า หนังสือสัญญากู้ยืมเงินเป็นเอกสารปลอมจึงไม่ชอบ เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมายศาลฎีกามีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5958/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาลอุทธรณ์ และการตัดสินนอกคำฟ้องในคดีซื้อขายข้าวสาร
ศาลอุทธรณ์ภาคใดมีเขตอำนาจเพียงใดจะต้องเป็นไปตามที่ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์ภาค พ.ศ. 2532 และพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน ที่ตั้ง เขตศาลและวันเปิดทำการของ ศาลอุทธรณ์ภาค พ.ศ. 2532 กำหนดไว้ มิใช่คู่ความเลือกเองได้การที่โจทก์ขออุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งมิได้มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี อันเป็นการเข้าใจผิดหรือพิมพ์ผิดพลาดเมื่อศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์แล้วส่งมายังศาลอุทธรณ์ภาค 2ซึ่งมีเขตอำนาจตามกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมมีอำนาจพิพากษาได้ ตามคำฟ้องของโจทก์ได้แสดงซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันสั่งซื้อข้าวสารไปจากโจทก์หลายครั้ง โดยจำเลยที่ 1 มอบหมายให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้มาติดต่อขอซื้อข้าวสารจากโจทก์ และค้างชำระราคาอยู่ตามจำนวนที่ฟ้อง ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินดังกล่าวให้โจทก์ ไม่มีข้อหาว่าจำเลยที่ 2 กระทำการแทนจำเลยที่ 1และเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 อันพอจะถือได้ว่าจำเลยที่ 1ได้เชิดจำเลยที่ 2 หรือยอมให้จำเลยที่ 2 เชิดตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการซื้อสินค้าของโจทก์ไป ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 และยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ด้วยนั้น จึงเป็นการนอกคำฟ้องและนอกข้อหาของโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5958/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาลอุทธรณ์ และการตัดสินนอกฟ้อง: การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นเกินขอบเขตคำฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาคใดมีเขตอำนาจเพียงใดจะต้องเป็นไปตามที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์ภาคพ.ศ.2532และพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนที่ตั้งเขตศาลและวันเปิดทำการของศาลอุทธรณ์ภาคพ.ศ.2532กำหนดไว้มิใช่คู่ความเลือกเองได้การที่โจทก์ขออุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค1ซึ่งมิได้มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเห็นได้ว่าเป็นการเข้าใจผิดหรือพิมพ์ผิดพลาดเมื่อศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์แล้วส่งมายังศาลอุทธรณ์ภาค2ซึ่งมีเขตอำนาจตามกฎหมายศาลอุทธรณ์ภาค2จึงมีอำนาจพิพากษาคดีนี้ได้ ตามคำฟ้องของโจทก์ได้แสดงซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยที่1และที่2ร่วมกันสั่งซื้อข้าวสารชนิดต่างๆไปจากโจทก์หลายครั้งโดยจำเลยที่1มอบหมายให้จำเลยที่2เป็นผู้มาติดต่อขอซื้อข้าวสารจากโจทก์โจทก์ส่งมอบข้าวสารให้ตามที่จำเลยทั้งสองสั่งซื้อหลายครั้งจำเลยทั้งสองได้รับมอบสินค้าและชำระราคาให้โจทก์แล้วบางส่วนคงค้างชำระอยู่เป็นเงิน1ล้านบาทเศษขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ไม่มีข้อหาว่าจำเลยที่2กระทำการแทนจำเลยที่1และเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่1อันพอจะถือได้ว่าจำเลยที่1ได้เชิดจำเลยที่2หรือยอมให้จำเลยที่2เชิดตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่1ในการซื้อสินค้าของโจทก์ไปแต่อย่างใดดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค2วินิจฉัยว่าจำเลยที่2เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่1ในการซื้อข้าวสารระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1และยกฟ้องสำหรับจำเลยที่2ซึ่งมิได้อุทธรณ์ด้วยนั้นจึงเป็นการตัดสินนอกคำฟ้องและนอกข้อหาของโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142อันเป็นการมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตามมาตรา243(1)ประกอบมาตรา247มีเหตุอันสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาใหม่