พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,033 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 780/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินคดีแทนกันได้ในคดีแรงงาน: การเบิกความแทนโจทก์อื่นย่อมถือว่าเป็นการนำสืบพยานหลักฐานของโจทก์นั้น
แม้โจทก์ที่ 4 และโจทก์ที่ 6 มิได้มาเบิกความต่อศาล แต่โจทก์ทั้งสองได้แต่งตั้งโจทก์ที่ 1 เป็นผู้แทนในการดำเนินคดีกระบวนพิจารณาใดที่โจทก์ที่ 1 กระทำต่อศาลหรือต่อจำเลยจึงถือว่าโจทก์ที่ 4 และโจทก์ที่ 6 กระทำต่อศาลและต่อจำเลยแล้วเช่นกัน คดีนี้โจทก์ที่ 1 ได้มาเบิกความต่อศาลและเบิกความถึงฐานะของโจทก์ที่ 4 และโจทก์ที่ 6 ว่า โจทก์ที่ 4และโจทก์ที่ 6 มีวันเข้าทำงานตำแหน่งหน้าที่ อัตราเงินเดือนและวันออกจากงานตามที่ระบุไว้ตามบัญชีท้ายฟ้อง และเบิกความว่า โจทก์ทั้งสองถูกจำเลยเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด ดังนี้จึงถือได้ว่า โจทก์ที่ 4 และโจทก์ที่ 6 โดยโจทก์ที่ 1 ได้นำสืบพยานหลักฐานตามประเด็นข้อพิพาทตามหน้าที่ของโจทก์ที่4 และโจทก์ที่ 6 แล้ว โดยหาต้องมาเบิกความด้วยตนเองไม่.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 697/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนคืนการให้เนื่องจากจำเลยประพฤติเนรคุณหมิ่นประมาทและขับไล่โจทก์
โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยซึ่งเป็นหลานและอาศัยอยู่กับจำเลยต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยเป็นภริยาน้อยผู้อื่นจึงได้พูดจาตักเตือนจำเลย จำเลยโกรธและพูดว่า 'ข้าวน้ำมึงไม่ต้องกิน ไอ้แก่หัวหงอก มึงอยู่ที่ไหนได้ก็ให้ไป' การที่จำเลยพูดกับโจทก์ด้วยถ้อยคำดังกล่าวและขับไล่โจทก์นั้นถือได้ว่าเป็นการประพฤติเนรคุณโดยการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์ย่อมฟ้องขอให้ถอนคืนการให้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 697/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนคืนการให้ทรัพย์สินเนื่องจากจำเลยประพฤติเนรคุณหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง
โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยซึ่งเป็นหลานและอาศัยอยู่กับจำเลยต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยเป็นภริยาน้อยผู้อื่นจึงได้พูดจาตักเตือนจำเลย จำเลยโกรธและพูดว่า "ข้าวน้ำมึงไม่ต้องกิน ไอ้แก่หัวหงอกมึงอยู่ที่ไหนได้ก็ให้ไป" การที่จำเลยพูดกับโจทก์ด้วยถ้อยคำดังกล่าและขับไล่โจทก์นั้นถือได้ว่าเป็นการประพฤติเนรคุณโดยการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์ย่อมฟ้องขอให้ถอนคืนการให้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีและการแก้ไขคำพิพากษาที่เป็นผลดีต่อจำเลย
แม้โจทก์ได้มอบอำนาจทุกอย่างให้หัวหน้าเขตดำเนินการและโจทก์ยังไม่ได้เพิกถอนการมอบอำนาจคืน โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องคดีได้เอง เพราะโจทก์เป็นตัวการส่วนหนัวหน้าเขตเป็นเพียงตัวแทนผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์เท่านั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยให้รื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต การกระทำของจำเลยเป็นการขัดต่อเทศบัญญัติของเทศบาลนครกรุงเทพเรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคารและข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร และขัดต่อพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคารและพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อความปลอดภัยและป้องกันอัคคีภัยการสัญจรไปมาและรักษาอาคารให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแม้ไม่มีคำว่าจะก่อให้เกิดเสียหายอย่างไรก็เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้วฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ตามกฎหมายไม่ทำให้จำเลยหลงต่อสู้แต่อย่างใด
การที่ศาลล่างทั้งสองสั่งให้จำเลยทำทางเดินกว้าง 1 เมตรในชั้นที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 แทนการให้จำเลยต้องทุบเสาคอนกรีตเสริมเหล็กออกนั้นก็เป็นผลดีแก่จำเลยอย่างที่สุดแล้วและศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจสั่งให้แก้ไขได้คำพิพากษาที่เป็นผลดีแก่จำเลยเช่นนี้ ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอ เพราะหากศาลพิพากษาให้ตามคำขอของโจทก์ที่ให้รื้อถอนอาคารส่วนที่ก่อสร้างต่อเติมจะทำให้จำเลยเสียหายยิ่งกว่าที่ให้แก้ไข.
โจทก์ฟ้องจำเลยให้รื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต การกระทำของจำเลยเป็นการขัดต่อเทศบัญญัติของเทศบาลนครกรุงเทพเรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคารและข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร และขัดต่อพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคารและพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อความปลอดภัยและป้องกันอัคคีภัยการสัญจรไปมาและรักษาอาคารให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแม้ไม่มีคำว่าจะก่อให้เกิดเสียหายอย่างไรก็เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้วฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ตามกฎหมายไม่ทำให้จำเลยหลงต่อสู้แต่อย่างใด
การที่ศาลล่างทั้งสองสั่งให้จำเลยทำทางเดินกว้าง 1 เมตรในชั้นที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 แทนการให้จำเลยต้องทุบเสาคอนกรีตเสริมเหล็กออกนั้นก็เป็นผลดีแก่จำเลยอย่างที่สุดแล้วและศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจสั่งให้แก้ไขได้คำพิพากษาที่เป็นผลดีแก่จำเลยเช่นนี้ ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอ เพราะหากศาลพิพากษาให้ตามคำขอของโจทก์ที่ให้รื้อถอนอาคารส่วนที่ก่อสร้างต่อเติมจะทำให้จำเลยเสียหายยิ่งกว่าที่ให้แก้ไข.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 651/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงสภาพการจ้างกำหนดให้จำเลยออกภาษีให้โจทก์ แม้โจทก์ต้องเสียภาษีเอง ก็ต้องจ่ายเต็มจำนวน
ศาลพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จและค่าชดเชยแก่โจทก์แม้โจทก์จะมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็ตาม แต่เมื่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกำหนดให้จำเลยต้องออกภาษีเงินได้นั้นแก่โจทก์ จำเลยจึงต้องจ่ายเงินดังกล่าวเต็มจำนวนโดยไม่หักภาษีเงินได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5850/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีโดยการมอบอำนาจ: ผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจเป็นโจทก์ได้หรือไม่ และขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 60 หรือไม่
หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ระบุว่า บริษัทผู้เสียหายขอมอบอำนาจให้ อ. กระทำการแทนโจทก์ในกิจการต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ รวมทั้งให้มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีได้ด้วย ดังนี้ อ. จึงมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีได้ หาเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 60 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5169/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดสืบพยานโจทก์เมื่อไม่สามารถนำตัวมาศาลได้ แม้ศาลให้โอกาสหลายครั้ง
ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะสั่งงดสืบพยานโจทก์ซึ่งไม่มาศาล ศาลชั้นต้นได้ให้โอกาสแก่โจทก์ถึง 5 ครั้ง เพื่อให้ดำเนินการให้ได้บุคคลทั้งสามมาสืบ ซึ่งในแต่ละครั้ง ศาลชั้นต้นได้กำชับโจทก์ให้รีบเร่งดำเนินการเพื่อให้บุคคลทั้งสามมาศาลในวันนัด แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงวันนัด โจทก์นำบุคคลทั้งสามมาศาลไม่ได้เลย ทั้งไม่สามารถแสดงเหตุผลถึงการที่บุคคลดังกล่าวไม่มาศาลโดยแถลงเพียงว่ายังไม่ได้รับทราบผลของการส่งหมายบ้างยังส่งหมายให้ไม่ได้บ้างหรือบางคนย้ายไปอยู่ที่ต่างจังหวัด แต่โจทก์ก็มิได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้ได้ตัวมาสืบ ทั้งมิได้แถลงให้ศาลทราบว่าโจทก์ยังสามารถติดตามบุคคลดังกล่าวมาสืบได้หรือไม่ เมื่อใดจึงไม่มีเหตุผลที่ศาลชั้นต้นจะเลื่อนคดีให้แก่โจทก์ และศาลชั้นต้นสั่งงดสืบบุคคลทั้งสามชอบด้วยเหตุผลแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4995-5000/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์และเจตนาการซื้อขาย การที่โจทก์ทราบว่าผู้ขายไม่มีกรรมสิทธิ์มีผลต่อสิทธิในการครอบครอง
โจทก์กล่าวในฟ้องว่า โจทก์รับซื้อฝากที่ดินมีโฉนดมาโดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์รับโอนที่พิพาทเพียงว่า "โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามฟ้องเพราะโจทก์ไม่ได้ซื้อมาจากเจ้าของกรรมสิทธิ์และสัญญาขายฝากไม่สมบูรณ์" ย่อมหมายความได้ว่า โจทก์ทราบว่าผู้ขายไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์แล้วยังรับซื้อไว้อีก พอถือได้แล้วว่าจำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนที่พิพาทโดยไม่สุจริต ไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง ดังนั้นจำเลยจึงมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่า จำเลยได้อยู่ในที่พิพาทโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4726/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการใช้ดุลพินิจไม่สั่งจำหน่ายคดีเมื่อโจทก์ไม่ได้ขอให้ศาลสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
แม้โจทก์ไม่ได้ยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การภายในกำหนดเวลาตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 198 วรรคแรก กำหนดไว้ ศาลก็มีอำนาจใช้ดุลพินิจไม่สั่งจำหน่ายคดีได้ โดยพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ในการดำเนินคดีของโจทก์เมื่อปรากฎว่าการที่โจทก์มิได้ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การเป็นเพราะเข้าใจว่าจำเลยที่ 1อาจยื่นคำให้การใหม่ตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตในครั้งหลังจึงได้รอไว้เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งดังกล่าวในวันนัดสืบพยานโจทก์เช่นนี้แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ยื่นให้การภายในกำหนดเวลาที่ศาลกำหนดให้ ศาลย่อมใช้ดุลพินิจสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การแทนที่จะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4726/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ยื่นคำขอจำหน่ายคดีหลังจำเลยยื่นคำให้การใหม่ ศาลใช้ดุลพินิจสั่งให้ดำเนินคดีต่อไปได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 เป็นบทบัญญัติให้อำนาจศาลที่จะใช้ดุลพินิจมีคำสั่งจำหน่ายคดีในกรณีที่โจทก์ไม่ยื่นคำขอภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ซึ่งปกติศาลย่อมจะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีแต่คดีนี้โจทก์เคยยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การมาครั้งหนึ่งแล้ว ต่อมาศาลมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 1มีโอกาสยื่นคำให้การใหม่และเลื่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ออกไป การที่โจทก์ไม่ได้มีคำขอให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การใหม่อีกครั้งหนึ่งอาจเพราะโจทก์เข้าใจว่าจำเลยที่ 1ยื่นคำให้การใหม่แล้ว ดังนั้น เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งจำหน่ายคดี ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง และเมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การตามที่โจทก์มีคำขอนั้นจึงชอบแล้ว