พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,515 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7540/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าหน้าที่จัดการทรัพย์สินเบียดบังเงินบริจาค – อำนาจฟ้อง – เหตุบรรเทาโทษ
แม้จำเลยเป็นเจ้าอาวาสของโจทก์ร่วมและได้รับเงินเดือนประจำที่เรียกว่านิตยภัตจากเงินงบประมาณของรัฐ แต่ผู้ที่ได้รับเงินเดือนประจำที่จะถือว่าเป็น "เจ้าหน้าที่ของรัฐ" ตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตต้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ซึ่งเจ้าอาวาสไม่อยู่ในความหมายดังกล่าว และในปัจจุบันวัดจัดตั้งขึ้นโดยวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงซึ่งออกตามความใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ซึ่งกำหนดให้วัดมีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมีเจ้าอาวาสเป็นผู้แทน แต่ก็มีอำนาจอย่างจำกัดตามมาตรา 37 เฉพาะในการบำรุงวัด จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี ปกครองและสอดส่องให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ที่มีที่อยู่หรือพำนักอาศัยอยู่ในวัดนั้นปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคำสั่งของมหาเถรสมาคม และอื่นๆ อันเป็นกิจการของสงฆ์โดยเฉพาะ ส่วนที่เกี่ยวกับการบริหารราชการอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของกรมการศาสนาและกระทรวงศึกษาธิการ วัดจึงหาใช่เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนั้น พระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์ไม่ว่าในตำแหน่งเจ้าอาวาสหรือในตำแหน่งอื่นใดก็ตาม จึงหาได้อยู่ในความหมายของคำจำกัดความว่า "เจ้าหน้าที่ของรัฐ" ส่วน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา 45 ซึ่งบัญญัติว่า "ให้ถือว่าพระภิกษุซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์และไวยาวัจกร เป็นเจ้าพนักงานตามความในประมวลกฎหมายอาญา" ก็เป็นเรื่องเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้นำบทบัญญัติลักษณะความผิดเกี่ยวกับการปกครองตามประมวลกฎหมายที่ต้องการให้นำบทบัญญัติลักษณะความผิดเกี่ยวกับการปกครองตามประมวลกฎหมายอาญามาใช้บังคับแก่พระภิกษุบางตำแหน่งเท่านั้น และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ก็เป็นกฎหมายที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และฉบับปัจจุบันบัญญัติให้มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติขึ้น โดยบัญญัติถึงกระบวนการสอบสวนเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้เป็นกรณีพิเศษโดยใช้วิธีการไต่สวนเท่านั้น บุคคลอื่นๆ คงใช้กระบวนการสอบสวนตามปกติตาม ป.วิ.อ. ดังนั้น การที่พนักงานสอบสวนมิได้ส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติจึงชอบแล้ว โจทก์มีอำนาจฟ้อง
มาตรา 2 แห่ง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 28) กำหนดให้ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว มีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา คือนับตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551 เป็นต้นไป โดยไม่มีบทบัญญัติให้มีผลบังคับย้อนหลัง จึงไม่กระทบต่อกระบวนวิธีพิจารณาความอาญาที่ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้ว ดังนั้น ข้อความในมาตรา 233 วรรคสอง แห่ง ป.วิ.อ. ที่แก้ไขใหม่ ที่บัญญัติว่า ในกรณีที่จำเลยเบิกความเป็นพยาน คำเบิกความของจำเลยย่อมใช้ยันจำเลยนั้นได้ และศาลอาจรับฟังคำเบิกความนั้นประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ แต่การที่จำเลยตอบคำถามก่อนที่ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวมีผลบังคับใช้ จำเลยย่อมไม่อาจคาดหมายได้ว่าคำเบิกความของตนจะใช้รับฟังลงโทษตนเองได้ บทบัญญัติดังกล่าวมีผลเป็นโทษแก่จำเลย จึงไม่อาจมีผลย้อนหลัง และถือไม่ได้ว่าโจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว
กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2511) ออกตามความในมาตรา 40 วรรคสาม แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฯ ข้อ 5 บัญญัติให้การเก็บรักษาเงินของวัดในส่วนที่เกิน 3,000 บาท ขึ้นไปให้เก็บรักษาโดยฝากกรมการศาสนา จังหวัด อำเภอ หรือธนาคาร หรือนิติบุคคลที่กรมการศาสนาให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ให้ฝากในนามของวัด ดังนั้น การฝากเงินของวัดคือโจทก์ร่วมต้องฝากในนามของโจทก์ร่วมเท่านั้น หากมิได้ดำเนินการดังกล่าวโดยเจตนาก็เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 147 ได้ ส่วนการจัดการทรัพย์สินของวัดก็ต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวเป็นสำคัญ แต่การนำเงินค่าผาติกรรมซึ่งเป็นทรัพย์สินของโจทก์ร่วมอย่างหนึ่งไปใช้เพื่อประโยชน์ของโจทก์ร่วม โดยมิได้เบียดบังเป็นของตนเองหรือผู้อื่น การกระทำดังกล่าวเป็นเพียงการใช้เงินผิดไปจากมติมหาเถรสมาคม หรือเป็นการใช้เงินผิดระเบียบเท่านั้น
มาตรา 2 แห่ง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 28) กำหนดให้ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว มีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา คือนับตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551 เป็นต้นไป โดยไม่มีบทบัญญัติให้มีผลบังคับย้อนหลัง จึงไม่กระทบต่อกระบวนวิธีพิจารณาความอาญาที่ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้ว ดังนั้น ข้อความในมาตรา 233 วรรคสอง แห่ง ป.วิ.อ. ที่แก้ไขใหม่ ที่บัญญัติว่า ในกรณีที่จำเลยเบิกความเป็นพยาน คำเบิกความของจำเลยย่อมใช้ยันจำเลยนั้นได้ และศาลอาจรับฟังคำเบิกความนั้นประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ แต่การที่จำเลยตอบคำถามก่อนที่ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวมีผลบังคับใช้ จำเลยย่อมไม่อาจคาดหมายได้ว่าคำเบิกความของตนจะใช้รับฟังลงโทษตนเองได้ บทบัญญัติดังกล่าวมีผลเป็นโทษแก่จำเลย จึงไม่อาจมีผลย้อนหลัง และถือไม่ได้ว่าโจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว
กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2511) ออกตามความในมาตรา 40 วรรคสาม แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฯ ข้อ 5 บัญญัติให้การเก็บรักษาเงินของวัดในส่วนที่เกิน 3,000 บาท ขึ้นไปให้เก็บรักษาโดยฝากกรมการศาสนา จังหวัด อำเภอ หรือธนาคาร หรือนิติบุคคลที่กรมการศาสนาให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ให้ฝากในนามของวัด ดังนั้น การฝากเงินของวัดคือโจทก์ร่วมต้องฝากในนามของโจทก์ร่วมเท่านั้น หากมิได้ดำเนินการดังกล่าวโดยเจตนาก็เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 147 ได้ ส่วนการจัดการทรัพย์สินของวัดก็ต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวเป็นสำคัญ แต่การนำเงินค่าผาติกรรมซึ่งเป็นทรัพย์สินของโจทก์ร่วมอย่างหนึ่งไปใช้เพื่อประโยชน์ของโจทก์ร่วม โดยมิได้เบียดบังเป็นของตนเองหรือผู้อื่น การกระทำดังกล่าวเป็นเพียงการใช้เงินผิดไปจากมติมหาเถรสมาคม หรือเป็นการใช้เงินผิดระเบียบเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7365/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษและการมีอำนาจฟ้องคดีอาญา: ศาลฎีกายกเรื่องนับโทษเนื่องจากขาดหลักฐาน และยืนอำนาจฟ้องของโจทก์
หลังจากสืบพยานเสร็จ ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษา โจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์เพิ่งทราบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติการต้องโทษของจำเลยและขอแก้ไขฟ้องว่า จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3221/2546 ของศาลอาญา และคำขอท้ายฟ้องโจทก์ ขอให้นับโทษจำเลยเรียงติดต่อกับโทษของจำเลยในคดีดังกล่าวด้วย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาสั่งคำร้องของโจทก์ในวันนัดฟังคำพิพากษาและในวันนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น ก่อนอ่านคำพิพากษา ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขฟ้องได้ เช่นนี้ แม้จำเลยมิได้คัดค้านคำร้องขอแก้ไขฟ้องของโจทก์ กรณีก็ไม่อาจถือว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ขอแก้ไขฟ้องดังกล่าว เมื่อโจทก์มิได้แสดงให้ปรากฏต่อศาลว่า จำเลยเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวตามคำร้องของโจทก์จริงหรือไม่ และศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในคดีดังกล่าวหรือไม่เพียงใด จึงยังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยได้รับโทษจำคุกในคดีอื่นที่อาจนำโทษในคดีนี้ไปนับติดต่อได้
ตาม พ.ร.ฎ.แบ่งส่วนราชการกรมตำรวจ กระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2539 เจ้าพนักงานตำรวจกองปราบปรามมีอำนาจหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทั่วราชอาณาจักร และปฏิบัติงานตาม ป.วิ.อ. และตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับความผิดอาญาทั้งหลายทั่วราชอาณาจักร ตลอดจนให้บริการช่วยเหลือประชาชน เมื่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวนเป็นการปฏิบัติงานตาม ป.วิ.อ. พนักงานสอบสวนกองปราบปรามจึงมีอำนาจสอบสวนเกี่ยวกับความผิดอาญาทั่วราชอาณาจักรตามบทกฎหมายดังกล่าว ส่วนระเบียบกรมตำรวจว่าด้วยอำนาจสอบสวน เป็นการกำหนดระเบียบการปฏิบัติงานของหน่วยงานภายในกรมตำรวจให้เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ การที่ระเบียบดังกล่าวกำหนดลักษณะความผิดที่อยู่ในอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวนกองปราบปรามไว้ เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติราชการที่กรมตำรวจมอบหมายให้อยู่ในความรับผิดชอบของพนักงานสอบสวนกองปราบปรามเท่านั้น การที่ผู้บังคับการกองปราบปรามมีคำสั่งที่ 288/2538 แต่งตั้งพนักงานสอบสวนกองปราบปรามทำการสอบสวนคดีนี้ โดยผู้บัญชาการสอบสวนกลางอนุญาตตามที่กำหนดไว้ในระเบียบแล้ว จึงชอบด้วยกฎหมายและระเบียบกรมตำรวจ พนักงานสอบสวนกองปราบปรามจึงมีอำนาจสอบสวนและโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้
ตาม พ.ร.ฎ.แบ่งส่วนราชการกรมตำรวจ กระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2539 เจ้าพนักงานตำรวจกองปราบปรามมีอำนาจหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทั่วราชอาณาจักร และปฏิบัติงานตาม ป.วิ.อ. และตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับความผิดอาญาทั้งหลายทั่วราชอาณาจักร ตลอดจนให้บริการช่วยเหลือประชาชน เมื่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวนเป็นการปฏิบัติงานตาม ป.วิ.อ. พนักงานสอบสวนกองปราบปรามจึงมีอำนาจสอบสวนเกี่ยวกับความผิดอาญาทั่วราชอาณาจักรตามบทกฎหมายดังกล่าว ส่วนระเบียบกรมตำรวจว่าด้วยอำนาจสอบสวน เป็นการกำหนดระเบียบการปฏิบัติงานของหน่วยงานภายในกรมตำรวจให้เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ การที่ระเบียบดังกล่าวกำหนดลักษณะความผิดที่อยู่ในอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวนกองปราบปรามไว้ เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติราชการที่กรมตำรวจมอบหมายให้อยู่ในความรับผิดชอบของพนักงานสอบสวนกองปราบปรามเท่านั้น การที่ผู้บังคับการกองปราบปรามมีคำสั่งที่ 288/2538 แต่งตั้งพนักงานสอบสวนกองปราบปรามทำการสอบสวนคดีนี้ โดยผู้บัญชาการสอบสวนกลางอนุญาตตามที่กำหนดไว้ในระเบียบแล้ว จึงชอบด้วยกฎหมายและระเบียบกรมตำรวจ พนักงานสอบสวนกองปราบปรามจึงมีอำนาจสอบสวนและโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7219/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของการฟื้นฟูกิจการต่อหนี้ค้ำประกัน: การปลดเปลื้องหนี้และการไม่มีอำนาจฟ้อง
กฎหมายฟื้นฟูกิจการกำหนดให้เจ้าหนี้ในมูลหนี้เงินทั้งหลายของลูกหนี้ที่มีอยู่ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการทุกประเภทไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกำหนดชำระแล้วหรือไม่ หรือมีเงื่อนไขก็ตามได้เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ทั้งนี้เพื่อให้หนี้สินทั้งปวงของลูกหนี้ที่มีอยู่แล้วก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการนั้นได้รับการชำระสะสางไปภายในกรอบของกฎหมายฟื้นฟูกิจการ และเมื่อศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนแล้ว จะทำให้ลูกหนี้และเจ้าหนี้มาผูกพันกันตามที่กำหนดไว้ตามแผนฟื้นฟูกิจการเท่านั้น ส่วนหนี้อื่น ๆ ในมูลหนี้ที่อาจขอรับชำระหนี้ได้นั้นลูกหนี้จะได้รับการปลดเปลื้องไป และต่อมาเมื่อศาลมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการเนื่องจากลูกหนี้ได้ปฏิบัติตามแผนครบถ้วนแล้ว ในส่วนหนี้ที่อาจขอรับชำระหนี้ได้ ลูกหนี้ก็คงต้องรับผิดเฉพาะหนี้ที่เจ้าหนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้แล้ว ซึ่งยังค้างชำระอยู่ตามที่กำหนดไว้ในแผน เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ได้ตกลงผูกพันตนเข้าค้ำประกันหนี้ที่จำเลยมีต่อบริษัท ท. ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ จึงถือว่า มูลหนี้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการอันเป็นหนี้ที่อาจขอรับชำระได้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/27 วรรคหนึ่ง ส่วนที่โจทก์ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์นั้น ก็เนื่องจากบริษัท ท. เจ้าหนี้ ได้ยื่นคำขอ รับชำระหนี้ไว้เต็มจำนวนแล้ว ตามมาตรา 90/27 วรรคสอง ประกอบมาตรา 101 ทั้งนี้เนื่องจากมูลหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อบริษัท ท. และมูลหนี้ตามภาระค้ำประกันนั้นเป็นมูลหนี้จำนวนเดียวกัน หาใช่มูลหนี้ของโจทก์เป็นหนี้ที่ไม่อาจขอรับชำระหนี้ได้ เมื่อต่อมาศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนและจำเลยได้ชำระหนี้ตามแผนครบถ้วนแล้ว และศาลได้มีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ จึงไม่มีหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิดตามแผนอีกต่อไป การที่โจทก์ได้ชำระหนี้ให้แก่บริษัท ท. นั้น โจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยรับผิดในการที่จะใช้สิทธิไล่เบี้ยในฐานะผู้ค้ำประกันที่ได้ชำระหนี้ไปหาได้ไม่ เนื่องจากหนี้ดังกล่าวนั้นจำเลยได้รับการปลดเปลื้องไปแล้ว โดยคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนและคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ ทั้งโจทก์จะรับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ในการที่จะสวมสิทธิของเจ้าหนี้ที่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้ในการฟื้นฟูกิจการของจำเลยในหนี้ที่ยังค้างอยู่ก็ไม่อาจทำได้เนื่องจากจำเลยได้ชำระหนี้ตามแผนครบถ้วนแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6806/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับขนของทางทะเล: อายุความ, ความรับผิดของตัวแทน, และอำนาจฟ้องของเจ้าของสินค้า
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า 1 ปี นับแต่วันส่งมอบของจึงขาดอายุความ 1 ปี ตาม พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 46 ทั้งหากเป็นกรณีละเมิดคดีโจทก์ก็ขาดอายุความ 1 ปี แล้วเช่นเดียวกันนั้น คดีนี้ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า ตามฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องผู้ขนส่งส่งมอบสินค้าให้ผู้รับตราส่งโดยผู้รับตราส่งไม่ได้เวนคืนต้นฉบับใบตราส่ง เป็นการที่ผู้ขนส่งปฏิบัติผิดสัญญารับขนของทางทะเล จำเลยในฐานะตัวแทนของผู้ขนส่งซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศจึงต้องรับผิด ซึ่งในกรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ใน พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 และใน ป.พ.พ. ว่าด้วยการรับขน คดีของโจทก์จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ดังนี้ อุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นข้อนี้มิได้โต้แย้งว่าคำวินิจฉัยของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางดังกล่าวนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ทั้งคำวินิจฉัยของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางก็ชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาว่าจำเลยเป็นตัวแทนของบริษัท ส. ผู้ขนส่งตัวการซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่สิงค์โปร์หรือไม่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบโดยจำเลยมิได้โต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า ในการขนส่งสินค้าพิพาทโจทก์จะแจ้งชนิด ประเภท ปริมาณสินค้าให้จำเลยทราบเพื่อจองระวางเรือ จำเลยจะแจ้งชื่อเรือ วันและสถานที่รับสินค้าเพื่อให้โจทก์ส่งมอบสินค้าตามกำหนดโดยจำเลยออกใบตราส่งในนามของบริษัท ส. ผู้รับขนและออกหนังสือรับรองระวางหรือตู้สินค้าให้โจทก์ หลังจากส่งสินค้าแต่ละคราวให้จำเลยแล้ว โจทก์จะนำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเรียกเก็บเงินระหว่างประเทศจากผู้ซื้อผ่านธนาคาร ก. ตามวิธีสากลทั่วไป ซึ่งจำเลยเองนำสืบรับว่า จำเลยเป็นตัวแทนผู้ขนส่งติดต่อประสานงานกับโจทก์ จำเลยลงชื่อในใบตราส่งแทนผู้ขนส่ง จำเลยประกอบกิจการเป็นตัวแทนและนายหน้าให้ผู้รับจัดการขนส่งสินค้าทางทะเลและเป็นตัวแทนผู้ขนส่งหรือผู้ขนส่งอื่นในการดำเนินธุรกิจเนื่องจากการรับขนของทะเล ดังนี้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยทำสัญญารับขนของทางทะเลคดีนี้กับโจทก์แทนผู้ขนส่ง เมื่อปรากฏว่าผู้ขนส่งสินค้าพิพาทมีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศจำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญารับขนของทางทะเลแต่ลำพังตนเอง ตามนัยแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 824 แม้จำเลยจะไม่ใช่ผู้ขนส่งหรือผู้ขนส่งอื่นก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยหลุดพ้นความรับผิด
ปัญหาว่าจำเลยเป็นตัวแทนของบริษัท ส. ผู้ขนส่งตัวการซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่สิงค์โปร์หรือไม่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบโดยจำเลยมิได้โต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า ในการขนส่งสินค้าพิพาทโจทก์จะแจ้งชนิด ประเภท ปริมาณสินค้าให้จำเลยทราบเพื่อจองระวางเรือ จำเลยจะแจ้งชื่อเรือ วันและสถานที่รับสินค้าเพื่อให้โจทก์ส่งมอบสินค้าตามกำหนดโดยจำเลยออกใบตราส่งในนามของบริษัท ส. ผู้รับขนและออกหนังสือรับรองระวางหรือตู้สินค้าให้โจทก์ หลังจากส่งสินค้าแต่ละคราวให้จำเลยแล้ว โจทก์จะนำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเรียกเก็บเงินระหว่างประเทศจากผู้ซื้อผ่านธนาคาร ก. ตามวิธีสากลทั่วไป ซึ่งจำเลยเองนำสืบรับว่า จำเลยเป็นตัวแทนผู้ขนส่งติดต่อประสานงานกับโจทก์ จำเลยลงชื่อในใบตราส่งแทนผู้ขนส่ง จำเลยประกอบกิจการเป็นตัวแทนและนายหน้าให้ผู้รับจัดการขนส่งสินค้าทางทะเลและเป็นตัวแทนผู้ขนส่งหรือผู้ขนส่งอื่นในการดำเนินธุรกิจเนื่องจากการรับขนของทะเล ดังนี้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยทำสัญญารับขนของทางทะเลคดีนี้กับโจทก์แทนผู้ขนส่ง เมื่อปรากฏว่าผู้ขนส่งสินค้าพิพาทมีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศจำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญารับขนของทางทะเลแต่ลำพังตนเอง ตามนัยแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 824 แม้จำเลยจะไม่ใช่ผู้ขนส่งหรือผู้ขนส่งอื่นก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยหลุดพ้นความรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6078/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คไม่มีมูลหนี้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่ต้องรับผิด
เช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้จึงไม่มีหนี้ตามเช็คพิพาทที่จำเลยที่ 1 ผู้สลักหลังอาวัลผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดแก่โจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 อำนาจฟ้องเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 1 ไม่ได้ต่อสู้และฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5860/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีอาญาเกี่ยวกับเอกสารปลอม: โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากสัญญากู้เป็นเอกสารปลอม ทำให้ไม่เกิดความเสียหาย
โจทก์เคยฟ้องขอให้บังคับจำเลยกับ ม. ร่วมกันชำระหนี้พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยเชื่อว่าสัญญากู้ที่จำเลยทำไว้แก่โจทก์ในคดีดังกล่าวเป็นเอกสารที่โจทก์ทำปลอมขึ้น ผลแห่งคำพิพากษานั้นย่อมผูกพันคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง โจทก์ไม่อาจฟ้องบังคับให้จำเลยกับ ม. รับผิดต่อโจทก์ได้ แม้จะได้ความว่าจำเลยปลอมสัญญาค้ำประกันอันเป็นเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม ก็ไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงไม่เป็นผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) ไม่มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลตามมาตรา 28 (2) ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 537/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจโจทก์ร่วมและประเด็นความประมาทของผู้ขับขี่ กรณีรถชน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยและผู้ตายต่างขับรถมาด้วยความประมาท ตามคำฟ้องของโจทก์ถือว่าผู้ตายมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) ส. โจทก์ร่วมซึ่งเป็นภรรยาของผู้ตาย จึงไม่มีอำนาจเข้ามาจัดการแทนผู้ตายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) และไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการซึ่งเป็นโจทก์เดิมได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ ส. เข้าร่วมเป็นโจทก์จึงไม่ชอบ ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้าง แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5149/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของคณะกรรมการสำนักสงฆ์ที่มิได้มีฐานะเป็นนิติบุคคลในการฟ้องคดีเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดิน
ป.วิ.พ. มาตรา 1 (11) คำว่า คู่ความ หมายความว่า บุคคลผู้ยื่นคำฟ้องหรือถูกฟ้องต่อศาล ฯลฯ ผู้ที่จะเป็นคู่ความในคดีได้นั้นจะต้องเป็นบุคคลตามกฎหมาย ตาม ป.พ.พ. ได้แก่ บุคคลธรรมดา และนิติบุคคล สำหรับนิติบุคคลจะมีขึ้นได้ก็แต่โดยอาศัยอำนาจตาม ป.พ.พ. หรือกฎหมายอื่น ดังบัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 65 โจทก์เป็นคณะกรรมการสำนักสงฆ์วัดหนองเวียนโสภาศรัทธารามหรือวัดหนองเวียนวัฒนาราม เป็นเพียงกลุ่มบุคคลซึ่งรวมตัวกันโดยไม่มีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล จึงไม่อาจเป็นคู่ความได้ เมื่อตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่ากรรมการโจทก์คนใดได้ฟ้องคดีในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือผู้ครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4946/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีฟ้องเท็จ: กรณีตัวการร่วมและอำนาจของกรรมการในการดำเนินคดีแทนสมาคม
แม้จำเลยบรรยายฟ้องว่าโจทก์ทั้งสิบสองร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลว่า เอาความอันเป็นเท็จฟ้องจำเลยต่อศาล แต่ความจริงเป็นกรณีที่สมาคม ย. เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่าโจทก์ทั้งสิบสองกระทำการในฐานะกรรมการอำนวยการซึ่งเป็นผู้แทนของสมาคมที่เป็นนิติบุคคลและเป็นผู้มีอำนาจดำเนินกิจการของสมาคม ย. ตาม ป.พ.พ. มาตรา 70 และ 86 ประกอบกับธรรมนูญและข้อบังคับของสมาคมกำหนดให้คณะกรรมการอำนวยการของสมาคม ทำหน้าที่บริหารงานของสมาคม ทั้งในขณะที่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 11 ทำหนังสือมอบให้โจทก์ที่ 12 ฟ้องจำเลยดังกล่าว โจทก์ที่ 1 เป็นผู้รักษาการในตำแหน่งนายกสมาคม ย. โดยคณะกรรมการอำนวยการมีมติให้โจทก์ที่ 1 มีอำนาจในการสั่งการและลงนามในเอกสารใดๆ เสมือนเป็นนายกสมาคมทุกประการ ถือได้ว่าโจทก์ทั้งสิบสองเป็นตัวการร่วมกับสมาคม ย. ฟ้องจำเลยด้วย จำเลยจึงมีอำนาจฟ้องโจทก์ทั้งสิบสองเป็นคดีอาญาดังกล่าวได้ ที่จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสิบสองเป็นคดีดังกล่าวจึงไม่เป็นฟ้องเท็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4095/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตั้งทนายความให้จำเลยเมื่อแถลงไม่ต้องการ และอำนาจฟ้องคดีเช็ค
ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 3 มีนาคม 2551 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วและมีคำสั่งว่าคดีโจทก์มีมูลตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา จึงสอบถามจำเลยเรื่องทนายความ เป็นการสอบถามในชั้นพิจารณา มิใช่ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง กรณีจึงไม่อาจนำ ป.วิ.อ. มาตรา 134/1 วรรคสอง ประกอบมาตรา 171 มาใช้บังคับได้ และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 40 ก็ไม่ได้กำหนดรายละเอียดของสิทธิในกระบวนการยุติธรรม หากแต่กำหนดหลักการอันเป็นสาระสำคัญไว้เท่านั้น กรณีจึงต้องบังคับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 173 วรรคสอง ศาลชั้นต้นเพิ่งอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังกับสอบคำให้การจำเลยตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 20 มีนาคม 2551 ดังนี้ ถือว่าในวันที่ 3 มีนาคม 2551 ศาลชั้นต้นยังไม่ได้เริ่มพิจารณาคดี เมื่อต่อมาในวันที่ 20 มีนาคม 2551 ศาลชั้นต้นอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง สอบคำให้การจำเลย และสอบจำเลยเรื่องทนายความแล้ว จำเลยแถลงไม่ต้องการทนายความและให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นได้บันทึกคำให้การของจำเลยไว้แล้ว จึงเป็นกรณีที่ก่อนเริ่มพิจารณาศาลชั้นต้นได้ถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่แล้ว เมื่อจำเลยแถลงไม่ต้องการทนายความย่อมไม่มีกรณีที่ศาลชั้นต้นต้องตั้งทนายความให้จำเลย กระบวนการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 173 วรรคสองแล้ว