พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,111 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2810/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับการอุทธรณ์คำพิพากษาคดีอาญา: การยื่นอุทธรณ์ข้ามลำดับ
เมื่อ ป.วิ.อ.ภาค 4 ลักษณะ 1 อุทธรณ์ มาตรา 193 วรรคหนึ่งได้บัญญัติเรื่องการอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายโดยให้อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงจะนำ ป.วิ.พ.มาตรา 223 ทวิมาอนุโลมบังคับใช้กับกรณีตามอุทธรณ์ของจำเลยที่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับการริบรถยนต์ของกลางโดยตรงมายังศาลฎีกาไม่ได้ เป็นการยื่นอุทธรณ์ข้ามลำดับของศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2713/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิโจทก์ร่วมในคดีอาญา: การพิสูจน์ความเสียหายโดยตรงและการฎีกาเมื่อศาลยกฟ้อง
ความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และความผิดฐานพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,8ทวิ,72,72 ทวิ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้ได้รับความเสียหายตามกฎหมาย จึงเป็นโจทก์ร่วมในความผิดฐานดังกล่าวไม่ได้ ส่วนความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้าม มิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 โจทก์ร่วมจึงไม่มีสิทธิฎีกาในความผิดฐานดังกล่าวเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2420/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงผ่อนชำระหนี้เช็คไม่ถือเป็นการประนีประนอมยอมความ คดีอาญาไม่ระงับ
ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองระบุว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์โดยจะขอผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์งวดแรกภายในหนึ่งสัปดาห์นับแต่วันนี้เป็นเงิน 60,000 บาทและงวดต่อไปอีกงวดละ 60,000 บาท ไปจนครบรวม 10 งวดโจทก์จึงจะถือว่าเป็นการระงับคดีอาญาที่ศาลนี้ ข้อความดังกล่าวเป็นข้อตกลงในการผ่อนชำระหนี้ตามเช็คเท่านั้น มิใช่เป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ หนี้เดิมยังอยู่ส่วนที่นำหนี้อื่นมารวมผ่อนชำระด้วยก็เพียงเพื่อความสะดวกไม่ต้องทำหนังสือหลายฉบับ ทั้งมิได้มีการเพิ่มเติมลูกหนี้แต่อย่างใดเพราะโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดตามเช็คพิพาทอยู่แล้ว จำเลยทั้งสองจะต้องชำระหนี้ดังกล่าวจนครบ จึงจะถือว่าคดี อาญาระงับ ข้อตกลงดังกล่าวจึงมิใช่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ การทำหนังสือดังกล่าวหาทำให้คดีอาญาเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 7 ไม่ สิทธินำคดี อาญามาฟ้องของโจทก์จึงไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2392/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกทรัพย์คืนในคดีฉ้อโกง ต้องมีการสูญเสียทรัพย์สินจริงก่อน
พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานฉ้อโกง ป.วิ.อ.มาตรา 43 ให้อำนาจโจทก์ขอเรียกทรัพย์สินหรือราคาคืนต่อเมื่อผู้เสียหายได้สูญเสียทรัพย์สินหรือราคาเพราะเหตุเกิดจากการฉ้อโกงนั้นแล้วเท่านั้น ส่วนการที่ผู้เสียหายถูกฉ้อโกงหลอกลวงให้นำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองค้ำประกันหนี้เงินกู้ของจำเลย โดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้สูญเสียทรัพย์สินเป็นจำนวนเงินตามที่โจทก์ขอเรียกคืน โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอเรียกให้จำเลยใช้เงินจำนวนนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2126/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ลายมือชื่อปลอมในคดีอาญา ศาลฎีกาชี้ว่าความเห็นผู้เชี่ยวชาญเป็นเพียงข้อมูลประกอบ ไม่ผูกพันศาล
แม้ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญผู้ตรวจพิสูจน์จะเห็นว่าลายมือ มีคุณลักษณะและรูปลักษณะของการเขียนแตกต่างกัน น่าจะไม่ใช่ ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันก็ตาม เมื่อพิจารณาโดยตลอดแล้วการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อโจทก์ที่ปรากฎอยู่ในหนังสือ รับสภาพหนี้เป็นเอกสารที่ทำไว้เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2536 ไม่ปรากฎว่าโจทก์มีเอกสารที่ได้ทำขึ้นในช่วง ระยะใกล้เคียงกับวันดังกล่าวซึ่งเป็นการเขียนแบบบรรจงส่งไปตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบลายมือชื่อโจทก์ด้วยทั้งรูปแบบการเขียนลายมือชื่อโจทก์ที่ระยะเวลาใกล้เคียงกับเอกสารที่จะต้องตรวจพิสูจน์ก็ไม่มี ดังนั้น ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นเพียงความเห็นตามหลักวิชาการเท่านั้น เนื่องจากลายมือชื่อโจทก์มีคุณสมบัติการเขียนรูปลักษณะของตัวอักษรแตกต่างกับลายมือชื่อโจทก์ในใบแต่งทนายความซึ่งเป็นลายมือเขียนหวัดและเวลาเขียนต่างกันตามกาลเวลา ผลการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อโจทก์จึงเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น เมื่อจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธและยืนยันว่าเป็นลายมือชื่อโจทก์ และการวินิจฉัยลายมือชื่อในเอกสารว่าเป็นลายมือชื่อปลอมหรือไม่ ไม่มี กฎหมายบังคับให้ศาลต้องฟังตามข้อสันนิษฐานหรือข้อพิสูจน์เป็นหลักฐานของผู้เชี่ยวชาญก่อนแต่อย่างใด ทั้งมิใช่ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นอย่างไรแล้วศาลต้องฟังเสมอไป เมื่อโจทก์ยังมี ภาระหน้าที่นำสืบว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำความผิด การที่โจทก์รับว่าเช็คทั้งสามฉบับอยู่ในความครอบครองของ จำเลยที่ 1 ตลอดมาย่อมแสดงว่าจำเลยที่ 1 รู้เห็นในลักษณะ ลายมือชื่อโจทก์มาก่อนที่มีการทำหนังสือสัญญารับสภาพหนี้ จึงไม่มีเหตุผลประการใดที่จำเลยทั้งสองจะทำการปลอมลายมือชื่อ ของโจทก์เป็นแบบตัวบรรจงให้แตกต่างออกไปให้เห็นได้โดยประจักษ์พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักมั่นคงพอที่จะฟังลงโทษจำเลยทั้งสองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2069/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินคดีอาญาโดยจำเลยมีทนายความแล้ว การให้การรับสารภาพและไม่ติดใจซักค้านพยาน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ซึ่งคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินกว่าที่รัฐมนตรีกำหนดไว้ในครอบครองเพื่อขาย อันเป็นคดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไปแต่ไม่ถึงประหารชีวิต ในวันเริ่มพิจารณาศาลชั้นต้นได้สอบจำเลยเรื่องทนายความแล้ว จำเลยแถลงว่า จะหาทนายความเอง ศาลชั้นต้นจึงสั่งให้นัดสืบพยานโจทก์ ต่อมาเมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยตั้ง ช.เป็นทนายความ และ ช.ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการตาม ป.วิ.อ.มาตรา 173วรรคสอง แล้ว และเมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ที่เลื่อนไป จำเลยยื่นคำร้องว่าจำเลยขอให้การรับสารภาพและขอให้ศาลลงโทษจำเลยสถานเบา ศาลชั้นต้นสอบจำเลยแล้วยืนยันให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพไปในวันนั้น แม้ในวันดังกล่าวทนายจำเลยจะไม่มาศาลก็ไม่ทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นในวันดังกล่าวเสียไปเพราะจำเลยมีทนายความแล้ว และการที่จำเลยให้การรับสารภาพและขอให้ศาลลงโทษจำเลยสถานเบา โดยไม่ได้ขอให้ศาลเลื่อนคดีไปเพราะทนายความไม่มาศาล แสดงว่าจำเลยไม่ติดใจที่จะให้ทนายความจำเลยซักค้านพยานโจทก์แก้ต่างในการพิจารณาคดีวันดังกล่าวแต่อย่างใด การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2069/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีอาญาเมื่อจำเลยมีทนายความแล้ว การดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่มีทนายความไม่ถือว่าผิด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ซึ่งคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินกว่าที่รัฐมนตรีกำหนดไว้ในครอบครองเพื่อขายอันเป็นคดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไปแต่ไม่ถึงประหารชีวิต ในวันเริ่มพิจารณาศาลชั้นต้นได้สอบจำเลยเรื่องทนายความแล้ว จำเลยแถลงว่า จะหาทนายความเองศาลชั้นต้นจึงสั่งให้นัดสืบพยานโจทก์ ต่อมาเมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยตั้ง ช.เป็นทนายความและช.ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีศาลชั้นต้นอนุญาต จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 173 วรรคสอง แล้ว และเมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ที่เลื่อนไป จำเลยยื่นคำร้องว่าจำเลยขอให้การรับสารภาพและขอให้ศาลลงโทษจำเลยสถานเบา ศาลชั้นต้นสอบจำเลยแล้วยืนยันให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพไปในวันนั้น แม้ในวันดังกล่าวทนายจำเลยจะไม่มาศาลก็ไม่ทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นในวันดังกล่าวเสียไปเพราะจำเลยมีทนายความแล้วและการที่จำเลยให้การรับสารภาพและขอให้ศาลลงโทษจำเลยสถานเบา โดยไม่ได้ขอให้ศาลเลื่อนคดีไปเพราะทนายความไม่มาศาล แสดงว่าจำเลยไม่ติดใจที่จะให้ทนายความจำเลยซักค้าน พยานโจทก์แก้ต่างในการพิจารณาคดีวันดังกล่าวแต่อย่างใดการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2024/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานในคดีอาญา: การพิจารณาความขัดแย้งและพิรุธของคำเบิกความ
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน แม้พยานโจทก์ทั้งสามจะอ้างว่ารู้จักจำเลยมาก่อนเป็นเวลานานและจำเลยเป็นคน หมู่บ้านเดียวกัน แต่การที่ ส. มองลอดผ่านช่องลมออกไปแล้วเห็นและจำได้ว่าเป็นจำเลยนั้นยังน่าสงสัย เพราะลักษณะของ ช่องลมเป็นอิฐบล็อกมีช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ อยู่ก้อนละ 4 ช่อง ประมาณ 10 ก้อน ประกอบกับการนั่งอยู่ตามตำแหน่งที่ ส. เบิกความนั้น สายตาจะมองเห็นได้โดยจำกัดมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเวลากลางคืน แม้ใต้ถุนบ้านผู้เสียหายซึ่งอยู่ ข้าง ๆ บ้านหลังที่ ส.ลุกออกมานั่งจะมีไฟฟ้าเปิดอยู่ก็ตามก็ไม่น่าเชื่อว่าแสงสว่างจากไฟฟ้าใต้ถุนบ้านดังกล่าวจะส่องถึง อย่างชัดเจนจนสามารถทำให้ ส. ซึ่งต้องมองลอดช่องลมออกมาเห็นได้ชัดว่าคนร้ายเป็นจำเลย ยิ่งกว่านั้นรอยงัดแงะของ คนร้ายอยู่ที่ประตูหลังบ้าน แต่พยานโจทก์ทั้งสามรู้ตัวตั้งแต่ เสียงสุนัขเห่า การที่ ส.เห็นจำเลยเดินเข้ามาจากทางหน้าบ้านเป็นเวลาเดียวกันกับที่ผู้เสียหายเปิดประตูออกจากบ้านแยกกัน เดินดูเหตุการณ์กับ ง. จำเลยจะมีเวลาที่ไหนไปงัดแงะประตูได้ทัน การที่ผู้เสียหายอ้างว่า ง. ระบุชื่อจำเลยเป็นคนร้ายให้ผู้เสียหายทราบก็แตกต่างกับคำเบิกความของ ง.เพราะง. เบิกความว่า เมื่อผู้เสียหายถามว่าจำชายที่วิ่งมาหาได้หรือไม่ ง.ตอบว่าจำได้ เป็นคนบ้านเดียวกัน เห็นกันทุกวันแต่มิได้ ระบุเจาะจงลงไปว่าเป็นจำเลย คำเบิกความที่ไม่ลงรอยกันเช่นนี้ทำให้ไม่อาจรับฟังเป็นความจริงไปทางใดทางหนึ่งได้จึงมีพิรุธอยู่ ส่วน ท. อ้างว่าคืนเกิดเหตุได้เดินกลับจากหาปลาขณะเดินมาอีก 10 เมตร จะถึงบ้านผู้เสียหายได้ยินเสียง ร้องว่า คน คน คน แล้วเห็นจำเลยวิ่งสวนพยานไปนั้น แต่เมื่อ ท. เดินผ่านบ้านผู้เสียหายเห็นคนชุมนุมกันอยู่ ผู้เสียหายบอกว่ามีคนงัดบ้าน แต่ ท. ก็ไม่สนใจฟังว่าใครเป็นคนงัดคำเบิกความของ ท. จึงขัดต่อเหตุผล รับฟังไม่ได้เพราะผู้เสียหายเป็นผู้ใหญ่บ้าน ท. เป็นลูกบ้านซึ่งสนใจเหตุการณ์ถึงกับย้อนกลับมาฟังว่าชุมนุมกันเรื่องอะไรหาก ท.รู้เห็นจริงมีหรือที่จะไม่เล่าเรื่องเห็นจำเลยให้ผู้เสียหายฟัง ส่วนพนักงานสอบสวนเป็นเพียงพยานบอกเล่าไม่รู้เห็นเหตุการณ์ดังนั้น พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงไม่อาจฟังลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 186/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานในคดีอาญา: ความสอดคล้องของคำเบิกความกับพยานหลักฐานอื่น และเหตุผลที่น่าเชื่อถือ
คำเบิกความของพยานในชั้นพิจารณาจะมีน้ำหนักน่ารับฟัง หรือไม่ มากน้อยเพียงใด ต้องพิเคราะห์รายละเอียดเหตุผลแวดล้อมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นข้อประกอบศาลจึงอาจหยิบยกข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ปรากฏเกี่ยวข้องกับคำเบิกความของพยานนั้นในชั้นสอบสวนมาเปรียบเทียบได้หาได้ถูกจำกัดให้รับฟังได้แต่เฉพาะคำเบิกความพยานในชั้นพิจารณา ในขณะเดียวกันคำให้การของพยานในชั้นสอบสวนจะมีน้ำหนักน่ารับฟังมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและเหตุผลที่ปรากฏ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1818/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว โจทก์มีสิทธิฟ้องภายใน 10 ปี
ประเด็นในคดีอาญาและคดีนี้เป็นประเด็นเดียวกันว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเลินเล่อหรือไม่ กรณีจึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อโจทก์ที่ 1 เป็นผู้รับช่วงสิทธิของโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยมาฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้อันเกิดจากมูลละเมิดในการที่จำเลยกระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ที่ 2ผู้เอาประกันภัยเสียหาย โจทก์ที่ 1 จึงชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่โจทก์ที่ 2 มีอยู่ในมูลหนี้ต่อจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 226 วรรคหนึ่ง เมื่อคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว โดยศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ก่อนที่โจทก์ที่ 2 ได้ยื่นฟ้องคดีแพ่ง สิทธิของโจทก์ที่ 2 ที่จะฟ้องคดีแพ่งย่อมมีตามกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/32 ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 51 วรรคสาม เมื่อโจทก์ที่ 1 เป็นผู้รับช่วงสิทธิของโจทก์ที่ 2 ที่มีอยู่ดังกล่าว สิทธิของโจทก์ที่ 1 จึงย่อมมีอายุความ 10 ปี เช่นเดียวกัน