พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,140 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 612/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่หากยังไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทและโอนกรรมสิทธิ์
โจทก์เป็นเพียงเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในอันที่จะให้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์เมื่อโจทก์ยังมิได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทและลูกหนี้ตามคำพิพากษายังมิได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ดินพิพาทจึงยังไม่เป็นของโจทก์การที่จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทและถือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไว้จึงหาเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ไม่โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6055/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินโดยไม่ประสงค์เป็นเจ้าของ แม้ครอบครองนาน ก็ไม่เกิดกรรมสิทธิ์
เข้าครอบครองที่ดินโดยอาศัยสิทธิของเจ้าของที่อนุญาตให้เข้าไปไม่เป็นการครอบครองโดยมีเจตนาจะเป็นเจ้าของที่ดิน หากแต่เป็นการครอบครองแทนเจ้าของเท่านั้น แม้จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ ต่อมาเจ้าของขายที่ดินให้แก่ผู้อื่น การครอบครองต่อมาก็เป็นการครอบครองแทนเจ้าของคนใหม่จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6055/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินโดยอาศัยสิทธิผู้อื่น ไม่ถือเป็นการครอบครองปรปักษ์ แม้ครอบครองนานก็ไม่เกิดกรรมสิทธิ์
เข้าครอบครองที่ดินโดยอาศัยสิทธิของเจ้าของที่อนุญาตให้เข้าไปไม่เป็นการครอบครองโดยมีเจตนาจะเป็นเจ้าของที่ดินหากแต่เป็นการครอบครองแทนเจ้าของเท่านั้น แม้จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ ต่อมาเจ้าของขายที่ดินให้แก่ผู้อื่น การครอบครองต่อมาก็เป็นการครอบครองแทนเจ้าของคนใหม่จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6028/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินมรดก: การครอบครองของทายาทและสิทธิในการเข้าทำประโยชน์
ล.มิได้ยกที่ดินพิพาทส่วนของตนให้แก่โจทก์ เมื่อ ล.ถึงแก่กรรมที่ดินพิพาทส่วนของ ล.ย่อมตกเป็นมรดกแก่ทายาททุกคน แม้โจทก์จะเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาททั้งแปลงก็ตาม แต่ที่ดินในส่วนของ ล.ถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทนทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกทุกคน โจทก์จึงหาได้สิทธิโดยการครอบครองปรปักษ์ไม่จำเลยทั้งสามเป็นบุตรของ ล.ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของ ล.ย่อมมีสิทธิในที่ดินพิพาทส่วนของ ล.ที่เป็นทรัพย์มรดกนั้น จึงมีสิทธิที่จะเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทได้โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสาม
โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทส่วนของ ล.นั้น ล.ได้ยกให้แก่โจทก์ก่อนถึงแก่กรรม เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และ ล. แต่ ล.ไม่ได้ยกให้แก่โจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไปถึงว่าที่ดินพิพาทส่วนของ ล.เป็นมรดกของ ล.จึงเป็นการวินิจฉัยโดยผลของกฎหมาย เพราะถึงแม้จะไม่ได้วินิจฉัยไว้ แต่โดยผลของกฎหมายแล้วเมื่อ ล.ถึงแก่กรรมที่ดินพิพาทส่วนของ ล.ย่อมเป็นทรัพย์มรดกของ ล.นั่นเอง จึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทส่วนของ ล.นั้น ล.ได้ยกให้แก่โจทก์ก่อนถึงแก่กรรม เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และ ล. แต่ ล.ไม่ได้ยกให้แก่โจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไปถึงว่าที่ดินพิพาทส่วนของ ล.เป็นมรดกของ ล.จึงเป็นการวินิจฉัยโดยผลของกฎหมาย เพราะถึงแม้จะไม่ได้วินิจฉัยไว้ แต่โดยผลของกฎหมายแล้วเมื่อ ล.ถึงแก่กรรมที่ดินพิพาทส่วนของ ล.ย่อมเป็นทรัพย์มรดกของ ล.นั่นเอง จึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5940/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองไม้สักแปรรูปโดยผู้ขับขี่รถบรรทุก แม้มีผู้อ้างเป็นเจ้าของ
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อ ได้ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อรับจ้างบรรทุกไม้สักแปรรูปของกลางจากต่างจังหวัดมุ่งหน้าจะเข้ากรุงเทพมหานคร โดยมีบุคคลที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นเจ้าของไม้ขับรถยนต์เก๋งนำทาง แต่จำเลยที่ 1 ถูกจับกุมระหว่างทาง พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยที่ 1เป็นผู้ครอบครองไม้สักแปรรูปของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5869/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: เจตนาไม่ใช่เจ้าของ ทำให้ไม่ได้กรรมสิทธิ์ แม้ครอบครองนาน
ผู้ร้องเข้าทำนาในที่ดินของ ว.ซึ่งเป็นพี่สาวโดยถือวิสาสะเพราะความเป็นญาติ ถือไม่ได้ว่าเป็นการครอบครองโดยมีเจตนาเป็นเจ้าของต่อมา ว.จดทะเบียนโอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่ บ.ซึ่งเป็นหลานผู้ร้อง โดย บ.ได้ปล่อยให้ผู้ร้องครอบครองทำนาต่อมา ก็ถือได้ว่าผู้ร้องครอบครองแทน บ.โดยมิได้มีเจตนาเป็นเจ้าของ แม้ผู้ร้องจะได้ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของผู้คัดค้านและอยู่ติดกับที่ดินของ บ.โดยผู้ร้องเข้าใจว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของ บ.ด้วยเช่นนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นการครอบครองโดยไม่มีเจตนาเป็นเจ้าของเช่นเดียวกัน แม้ผู้ร้องจะครอบครองมานานถึง 10 ปี ก็ไม่อาจได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5710/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินและบ้านโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การฟ้องขับไล่ และการกำหนดค่าเสียหาย
++ เรื่อง ขับไล่ ++
++
++ ทดสอบการทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++ ย่อข้อกฎหมายอย่างไม่เป็นทางการ
++ ขอชุดตรวจได้ที่งานย่อข้อกฎหมายระบบ CW โถงกลางชั้น 3 ++
++
++
++ การที่จะเป็นโจทก์ร่วมกันได้หรือไม่เป็นเพียงวิธีการดำเนินคดีไม่ใช่อำนาจฟ้อง จึงมิได้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ++
++
++
++ ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันฟังเป็นยุติได้ว่า
++ ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 40719,40720 และ 40721 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านไม้ปลูกอยู่ในที่ดินแปลงละ 1 หลัง มีชื่อโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นเจ้าของคนละหนึ่งโฉนดตามลำดับ ส่วนจำเลยเป็นสามีของนางสายสุนีย์ สุวรรณทัต ได้พักอาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทตลอดมา
++
++ ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกมีว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ และการที่โจทก์ทั้งสามรวมฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกัน ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น
++
++ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วว่า โจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 40719, 40720และ 40721 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านไม้คนละหนึ่งหลัง ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์แต่ละคนตามลำดับ จำเลยเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินดังกล่าวโดยความยินยอมของโจทก์ ต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอาศัยอยู่ต่อไป ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับก็คือ ให้ขับไล่และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายนับแต่วันฟ้อง จึงเป็นคำฟ้องที่ครบถ้วนตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง กำหนดไว้ ไม่จำต้องบรรยายว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทมาอย่างใด ตั้งแต่เมื่อใด ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปตั้งแต่เมื่อใด แม้จะถือว่าเป็นวันที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทำละเมิด แต่จำเลยยังคงอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทตลอดมา และโจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายนับแต่วันฟ้อง ไม่ใช่วันทำละเมิด วันเวลาเช่นว่านั้นจึงเป็นเพียงรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
++ ส่วนฎีกาข้อที่ว่า โจทก์แต่ละคนเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างและที่ดินคนละแปลง แต่ร่วมกันฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกันชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือไม่นั้น
++
++ เห็นว่า แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ไว้แล้วก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ จำเลยก็มิได้โต้แย้ง จึงเป็นข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น การที่จะเป็นโจทก์ร่วมกันได้หรือไม่เป็นเพียงวิธีการดำเนินคดีไม่ใช่อำนาจฟ้อง จึงมิได้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
++
++ ปัญหาต่อไปตามฎีกาของจำเลยมีว่า บ้านและที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสามหรือของจำเลย และค่าเสียหายมีเพียงใด คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์แต่ละคนต่างมีกรรมสิทธิ์ในบ้าน และที่ดินคนละโฉนดแยกกันเป็นส่วนสัด ซึ่งตามรูปคดีโจทก์แต่ละคนอาจฟ้องตามส่วนของตนได้โดยลำพัง แม้จะฟ้องรวมกันมาเพราะถือว่าเคยเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แต่ได้แยกทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องเป็นจำนวนเท่าใดมาชัดเจน ฟ้องแย้งของจำเลยก็ได้แยกทุนทรัพย์ที่เรียกร้องจากโจทก์แต่ละคนมาชัดเจนเช่นกัน จึงต้องพิจารณาทุนทรัพย์ของคดีสำหรับฟ้องและฟ้องแย้งแต่ละรายแยกกัน เมื่อปรากฏว่าราคาทรัพย์สินที่พิพาทตามฟ้องและฟ้องแย้งแต่ละรายไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
++ จำเลยฎีกาว่า จำเลยเข้าไปครอบครองอาศัยในบ้านและที่ดินพิพาทในฐานะสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสายสุนีย์ สุวรรณทัต ไม่ใช่ด้วยความยินยอมของโจทก์ บ้านและที่ดินพิพาทตกเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ และค่าเสียหายของโจทก์แต่ละคนน้อยกว่าที่ศาล-อุทธรณ์กำหนด เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
++
++ ทดสอบการทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++ ย่อข้อกฎหมายอย่างไม่เป็นทางการ
++ ขอชุดตรวจได้ที่งานย่อข้อกฎหมายระบบ CW โถงกลางชั้น 3 ++
++
++
++ การที่จะเป็นโจทก์ร่วมกันได้หรือไม่เป็นเพียงวิธีการดำเนินคดีไม่ใช่อำนาจฟ้อง จึงมิได้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ++
++
++
++ ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันฟังเป็นยุติได้ว่า
++ ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 40719,40720 และ 40721 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านไม้ปลูกอยู่ในที่ดินแปลงละ 1 หลัง มีชื่อโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นเจ้าของคนละหนึ่งโฉนดตามลำดับ ส่วนจำเลยเป็นสามีของนางสายสุนีย์ สุวรรณทัต ได้พักอาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทตลอดมา
++
++ ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกมีว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ และการที่โจทก์ทั้งสามรวมฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกัน ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น
++
++ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วว่า โจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 40719, 40720และ 40721 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านไม้คนละหนึ่งหลัง ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์แต่ละคนตามลำดับ จำเลยเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินดังกล่าวโดยความยินยอมของโจทก์ ต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอาศัยอยู่ต่อไป ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับก็คือ ให้ขับไล่และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายนับแต่วันฟ้อง จึงเป็นคำฟ้องที่ครบถ้วนตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง กำหนดไว้ ไม่จำต้องบรรยายว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทมาอย่างใด ตั้งแต่เมื่อใด ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปตั้งแต่เมื่อใด แม้จะถือว่าเป็นวันที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทำละเมิด แต่จำเลยยังคงอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทตลอดมา และโจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายนับแต่วันฟ้อง ไม่ใช่วันทำละเมิด วันเวลาเช่นว่านั้นจึงเป็นเพียงรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
++ ส่วนฎีกาข้อที่ว่า โจทก์แต่ละคนเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างและที่ดินคนละแปลง แต่ร่วมกันฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกันชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือไม่นั้น
++
++ เห็นว่า แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ไว้แล้วก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ จำเลยก็มิได้โต้แย้ง จึงเป็นข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น การที่จะเป็นโจทก์ร่วมกันได้หรือไม่เป็นเพียงวิธีการดำเนินคดีไม่ใช่อำนาจฟ้อง จึงมิได้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
++
++ ปัญหาต่อไปตามฎีกาของจำเลยมีว่า บ้านและที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสามหรือของจำเลย และค่าเสียหายมีเพียงใด คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์แต่ละคนต่างมีกรรมสิทธิ์ในบ้าน และที่ดินคนละโฉนดแยกกันเป็นส่วนสัด ซึ่งตามรูปคดีโจทก์แต่ละคนอาจฟ้องตามส่วนของตนได้โดยลำพัง แม้จะฟ้องรวมกันมาเพราะถือว่าเคยเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แต่ได้แยกทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องเป็นจำนวนเท่าใดมาชัดเจน ฟ้องแย้งของจำเลยก็ได้แยกทุนทรัพย์ที่เรียกร้องจากโจทก์แต่ละคนมาชัดเจนเช่นกัน จึงต้องพิจารณาทุนทรัพย์ของคดีสำหรับฟ้องและฟ้องแย้งแต่ละรายแยกกัน เมื่อปรากฏว่าราคาทรัพย์สินที่พิพาทตามฟ้องและฟ้องแย้งแต่ละรายไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
++ จำเลยฎีกาว่า จำเลยเข้าไปครอบครองอาศัยในบ้านและที่ดินพิพาทในฐานะสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสายสุนีย์ สุวรรณทัต ไม่ใช่ด้วยความยินยอมของโจทก์ บ้านและที่ดินพิพาทตกเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ และค่าเสียหายของโจทก์แต่ละคนน้อยกว่าที่ศาล-อุทธรณ์กำหนด เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5468/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท: การรุกล้ำที่ดินและการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองปลูกสร้างและต่อเติมอาคารรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 145 ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินจำเลยที่ 1 เป็นความกว้างประมาณ 50 เซนติเมตร ยาวตลอดแนวที่ดินโจทก์ประมาณ 16 เมตร ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมรุกล้ำออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่า อาคารที่จำเลยที่ 2 ปลูกสร้างนั้นมิได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์แต่อย่างใด หากที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยที่ 2 ก็ครอบครองโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาตั้งแต่ปี 2522 จนถึงปัจจุบันเกินกว่า10 ปี จึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 โดยการครอบครองแล้ว ขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้ง ขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 145 ด้านที่ติดกับที่ดินจำเลยที่ 1 กว้างประมาณ 50 เซนติเมตร ยาวประมาณ 50 เมตร ตลอดแนวที่ติดกับที่ดินจำเลยที่ 1 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 โดยการครอบครอง คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์หรือจำเลยที่ 2 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท หากคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง จำเลยที่ 2ก็ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2ได้ ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมโดยตรง หาใช่ฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไขแต่อย่างใดไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5333/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงประเภทวัตถุออกฤทธิ์และการลงโทษตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 58 (พ.ศ.2532) เรื่องเปลี่ยนแปลงประเภทวัตถุออกฤทธิ์ ตามความใน พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ย่อมมีผลบังคับเช่นกฎหมาย
จำเลยครอบครองเพโมลีนโดยไม่ได้รับอนุญาตจำนวนเดียวกับที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วจึงไม่ต้องปรับบทลงโทษในความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก
การมีเพโมลีนไว้ในความครอบครองเพื่อขาย มิใช่เป็นความผิดในตัวเอง แต่เป็นความผิดเพราะมีประกาศกระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ซึ่งแต่เดิมจัดอยู่ในวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ซึ่งจำเลยได้รับอนุญาตให้ขายได้ ตามสภาพและพฤติการณ์จำเลยอาจไม่รู้ว่าการมีเพโมลีนไว้ในครอบครองเพื่อขายเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย และหากจำเลยสามารถนำพยานหลักฐานมีพิสูจน์เช่นว่านั้นได้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดได้ตาม ป.อ.มาตรา 64
พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535ให้ยกเลิกมาตรา 13 เดิมและใช้ความใหม่แทน และให้เพิ่มความเป็นมาตรา 13 ทวิการกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา 13 ทวิ และมีโทษตามมาตรา 89ซึ่งมาตรา 89 ที่แก้ไขใหม่มีโทษเบากว่าโทษตามมาตรา 89 เดิม จึงต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 89 ที่แก้ไขใหม่เพราะเป็นกฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลย ตาม ป.อ.มาตรา 3
จำเลยครอบครองเพโมลีนโดยไม่ได้รับอนุญาตจำนวนเดียวกับที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วจึงไม่ต้องปรับบทลงโทษในความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก
การมีเพโมลีนไว้ในความครอบครองเพื่อขาย มิใช่เป็นความผิดในตัวเอง แต่เป็นความผิดเพราะมีประกาศกระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ซึ่งแต่เดิมจัดอยู่ในวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ซึ่งจำเลยได้รับอนุญาตให้ขายได้ ตามสภาพและพฤติการณ์จำเลยอาจไม่รู้ว่าการมีเพโมลีนไว้ในครอบครองเพื่อขายเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย และหากจำเลยสามารถนำพยานหลักฐานมีพิสูจน์เช่นว่านั้นได้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดได้ตาม ป.อ.มาตรา 64
พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535ให้ยกเลิกมาตรา 13 เดิมและใช้ความใหม่แทน และให้เพิ่มความเป็นมาตรา 13 ทวิการกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา 13 ทวิ และมีโทษตามมาตรา 89ซึ่งมาตรา 89 ที่แก้ไขใหม่มีโทษเบากว่าโทษตามมาตรา 89 เดิม จึงต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 89 ที่แก้ไขใหม่เพราะเป็นกฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลย ตาม ป.อ.มาตรา 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5333/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองเพโมลีนหลังประกาศเปลี่ยนประเภทวัตถุออกฤทธิ์ และการใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่ที่เป็นคุณต่อจำเลย
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 58(พ.ศ. 2532)เรื่องเปลี่ยนแปลงประเภทวัตถุออกฤทธิ์ ตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ย่อมมีผลบังคับเช่นกฎหมาย จำเลยครอบครองเพโมลีน โดยไม่ได้รับอนุญาตจำนวนเดียวกับที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วจึงไม่ต้องปรับบทลงโทษในความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก การมีเพโมลีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย มิใช่เป็นความผิดในตัวเอง แต่เป็นความผิดเพราะมีประกาศกระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ซึ่งแต่เดิมจัดอยู่ในวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ซึ่งจำเลยได้รับอนุญาตให้ขายได้ตามสภาพและพฤติการณ์จำเลยอาจไม่รู้ว่าการมีเพโมลีนไว้ในครอบครองเพื่อขายเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย และหากจำเลยสามารถนำพยานหลักฐานมีพิสูจน์เช่นว่านั้นได้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 64 พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2535 ให้ยกเลิกมาตรา 13 เดิมและใช้ความใหม่แทน และให้เพิ่มความเป็นมาตรา 13 ทวิ การกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา 13 ทวิ และมีโทษตามมาตรา ซึ่งมาตรา 89 ที่แก้ไขใหม่มีโทษเบากว่าโทษตามมาตรา 89 เดิม จึงต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 89 ที่แก้ไขใหม่เพราะเป็นกฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3