พบผลลัพธ์ทั้งหมด 713 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 715/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานจากสายตำรวจ: การรับฟังคำให้การของผู้ที่ไม่ใช่ผู้ต้องหา
คำของผู้ซึ่งมิใช่ผู้ต้องหา แต่เป็นสายให้กับตำรวจฟังเป็นพยานได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 349/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งไม่อนุญาตให้ยื่นคำให้การเกินกำหนด: การจำแนกประเภทคำสั่งและสิทธิอุทธรณ์
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำให้การของจำเลยเพราะยื่นเกินกำหนด 8 วัน นับแต่วันรับหมายเรียกเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 จำเลยมีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งได้ทันทีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228 (3) แต่จำเลยมิได้ยื่นอุทธรณ์ กลับยื่นคำร้องใหม่ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยยื่นคำให้การที่ได้ยื่นไว้ ศาลชั้นต้นไต่สวน (โดยสอบข้อเท็จจริงจากทนายจำเลย) แล้วมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ คำสั่งตอนหลังนี้ไม่ใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 จะอุทธรณ์ในทันทีไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 349/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งไม่อนุญาตยื่นคำให้การ: ความแตกต่างระหว่างคำสั่งไม่รับคำคู่ความกับคำสั่งระหว่างพิจารณา และผลต่อการอุทธรณ์
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำให้การของจำเลยเพราะยื่นเกินกำหนด8 วัน นับแต่วันรับหมายเรียกเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 จำเลยมีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งได้ทันทีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228(3)แต่จำเลยมิได้ยื่นอุทธรณ์ กลับยื่นคำร้องใหม่ของให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยยื่นคำให้การที่ได้ยื่นไว้ ศาลชั้นต้นไต่สวน (โดยสอบข้อเท็จจริงจากทนายจำเลย)แล้วมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ คำสั่งตอนหลังนี้ไม่ใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 จะอุทธรณ์ให้ทันทีไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 342/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท: ประเด็นการชำระค่าแชร์และความขัดแย้งในคำให้การ
แม้เช็คพิพาทเป็นเช็คของจำเลยสั่งจ่ายเงินสดให้แก่ผู้ถือเมื่อโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คและเรียกเก็บเงินจากธนาคารไม่ได้โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยให้ใช้เงินตามเช็คพิพาทนั้นได้ก็ตามแต่จำเลยให้การว่าจำเลยออกเช็คให้นายวงแชร์เพื่อยึดถือไว้เป็นประกันซึ่งไม่ตรงกับที่โจทก์บรรยายในฟ้องเพราะโจทก์ฟ้องว่าจำเลยออกเช็คพิพาทสั่งจ่ายเงินให้โจทก์เป็นค่าเล่นแชร์เปียหวยซึ่งโจทก์ได้จ่ายเงินให้จำเลยไปแล้ว นอกจากนั้นจำเลยยังให้การยืนยันด้วยว่าจำเลยมิได้รับชำระเงินค่าแชร์ที่เปียได้จากโจทก์ซึ่งถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ดังที่จำเลยต่อสู้จำเลยก็ไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องชำระเงินให้โจทก์ตามเช็คพิพาท รูปคดีจำต้องฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความเสียก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 181/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การต้องชัดเจน: เหตุฟ้องเคลือบคลุม/ใบมอบอำนาจไม่ชอบ ศาลไม่รับวินิจฉัยหากจำเลยไม่แสดงเหตุผล
คำให้การของจำเลยอ้างว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยจะต้องแสดงเหตุแห่งการที่อ้างว่าเคลือบคลุมนั้นด้วยว่าเคลือบคลุมอย่างไร ตรงไหน การกล่าวอ้างว่าฟ้องเคลือบคลุมลอย ๆ ต้องถือว่าคำให้การของจำเลยไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ และจำเลยให้การว่าใบมอบอำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ไม่ได้แสดงเหตุแห่งการไม่ชอบไว้เลยว่าไม่ชอบเพราะเหตุใดคดีจึงไม่มีประเด็นเช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 174/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การที่ไม่ชัดเจนว่ารับหรือปฏิเสธข้ออ้างในฟ้อง ถือเป็นคำให้การไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง
คำให้การของจำเลยในตอนแรกว่าหนังสือรับสภาพหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องทำขึ้นด้วยเจตนาเพื่อใช้ลวงเจ้าหนี้ของโจทก์ ไม่มีผลบังคับต่อกัน แล้วให้การอีกว่าถ้าหนังสือรับสภาพหนี้ใช้บังคับได้ จำเลยก็ชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ให้เจ้าหนี้โจทก์แทนโจทก์แล้ว คำให้การดังนี้มีทั้งปฏิเสธว่าหนังสือรับสภาพหนี้ไม่มีผลบังคับและมีผลบังคับ ไม่ชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างในฟ้องของโจทก์ เป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ แม้จำเลยให้การไม่ชัดแจ้งว่ายอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างในฟ้องของโจทก์ แต่เมื่อตามคำให้การนั้นจำเลยรับแล้วว่าได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้อง โจทก์ก็ไม่ต้องสืบพยานอีก การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์พยาน แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ จึงเป็นการชอบ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ แม้จำเลยให้การไม่ชัดแจ้งว่ายอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างในฟ้องของโจทก์ แต่เมื่อตามคำให้การนั้นจำเลยรับแล้วว่าได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้อง โจทก์ก็ไม่ต้องสืบพยานอีก การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์พยาน แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ จึงเป็นการชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1042-1043/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: การดำเนินกระบวนพิจารณา การสั่งรับฟ้อง และสิทธิในการยื่นคำให้การ
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ประทับฟ้อง หมายเรียกจำเลยแก้คดี ดังนี้ เป็นการสั่งรับฟ้องคดีส่วนอาญาและส่วนแพ่งแล้ว ไม่จำต้องสั่งรับฟ้องส่วนแพ่งอีก
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้น จำเลยมีสิทธิยื่นคำให้การในวันนัดสืบพยานโจทก์ได้มิใช่ต้องยื่นคำให้การแก้คดีภายใน 8 วัน และโจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน เมื่อปรากฏว่าโจทก์ทราบคำสั่งศาลเรื่องวันนัดสืบพยานโจทก์แล้วศาลก็ไม่ต้องแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ให้ทราบอีก ทั้งไม่จำเป็นต้องมีการนัดพร้อม นัดชี้สองสถานแต่อย่างใด
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้น จำเลยมีสิทธิยื่นคำให้การในวันนัดสืบพยานโจทก์ได้มิใช่ต้องยื่นคำให้การแก้คดีภายใน 8 วัน และโจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน เมื่อปรากฏว่าโจทก์ทราบคำสั่งศาลเรื่องวันนัดสืบพยานโจทก์แล้วศาลก็ไม่ต้องแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ให้ทราบอีก ทั้งไม่จำเป็นต้องมีการนัดพร้อม นัดชี้สองสถานแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1010/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำให้การล่าช้าเนื่องจากความเข้าใจผิดเรื่องวันรับหมาย และการไต่สวนคำร้องเพื่อแก้ไขความผิดพลาด
จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีในวันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2518 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ครบกำหนดยื่นคำให้การวันที่ 31 ตุลาคม 2518 จำเลยยื่นคำให้การเลยกำหนดจึงไม่รับคำให้การ และสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ นัดสืบพยานโจทก์ จำเลยยื่นคำร้องว่าไม่ได้จงใจขาดนัดเพราะจำเลยป่วยเป็นไข้ และจำวันรับหมายผิด จึงบอกวันรับหมายกับทนายผิดไป ทนายจึงยื่นคำให้การล่วงเลยกำหนดไป 1 วัน ศาลชั้นต้นสั่งว่าการบอกวันรับหมายผิดไม่ใช่ข้อแก้ตัวให้ยกคำร้อง จำเลยโต้แย้งคำสั่งไว้แล้ว ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์ ไปตามนัด แล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี เมื่อปรากฏตามใบรับหมายเรียกท้ายรายงานเจ้าหน้าที่ผู้ส่งหมายว่า จำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องในวันที่ 25 ตุลาคม 2518 ซึ่งถ้าเป็นความจริง คำให้การที่จำเลยยื่นไว้ก็เป็นการยื่นในกำหนดเวลาตามกฎหมายและคำร้องขอยื่นคำให้การของจำเลยก็อ้างเหตุเจ็บป่วย จึงมีเหตุสมควรที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนและสั่งคำร้องของจำเลย แล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1010/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำให้การล่าช้าเนื่องจากความเข้าใจผิดเรื่องวันรับหมาย และการไต่สวนคำร้องยื่นคำให้การ
จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีในวันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2518ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ครบกำหนดยื่นคำให้การวันที่ 31 ตุลาคม 2518 จำเลยยื่นคำให้การเลยกำหนดจึงไม่รับคำให้การ และสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยยื่นคำร้องว่าไม่ได้จงใจขาดนัดเพราะจำเลยป่วยเป็นไข้ และจำวันรับหมายผิดจึงบอกวันรับหมายกับทนายผิดไป ทนายจึงยื่นคำให้การล่วงเลยกำหนดไป 1 วัน ศาลชั้นต้นสั่งว่าการบอกวันรับหมายผิดไม่ใช่ข้อแก้ตัวให้ยกคำร้อง จำเลยโต้แย้งคำสั่งไว้แล้ว ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์ไปตามนัด แล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี เมื่อปรากฏตามใบรับหมายเรียกท้ายรายงานเจ้าหน้าที่ผู้ส่งหมายว่าจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องในวันที่ 25 ตุลาคม2518 ซึ่งถ้าเป็นความจริง คำให้การที่จำเลยยื่นไว้ก็เป็นการยื่นในกำหนดเวลาตามกฎหมายและคำร้องขอยื่นคำให้การของจำเลยก็อ้างเหตุเจ็บป่วยจึงมีเหตุสมควรที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนและสั่งคำร้องของจำเลย แล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2833/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยประเด็นแย่งการครอบครองที่ดินโดยศาลต้องสอดคล้องกับคำให้การของผู้ถูกฟ้อง หากไม่สอดคล้องศาลไม่มีอำนาจวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและให้รื้อถอนบ้านเรือนของจำเลยซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่โจทก์ซื้อมาและครอบครองอยู่ จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินที่จำเลยปลูกเรือนเป็นของนายเอิบ นางไข่บัวงาม หรือเป็นที่ดินที่ทางราชการหวงห้ามไว้ให้เป็นที่ว่างเปล่า และโจทก์ไม่ได้ซื้อที่ดินกับรับโอนโดยสุจริต ดังนั้นตามคำให้การจำเลยไม่อาจมีเรื่องจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินที่จำเลยปลูกเรือนอยู่จากโจทก์จึงไม่มีการอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ได้ ศาลก็ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นการวินิจฉัยขัดแย้งกับประเด็นที่จำเลยต่อสู้ไว้ในคำให้การและไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้ ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วยกเรื่องการอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบ