คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ทุจริต

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 532 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 629/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประนีประนอมข้อพิพาทเรื่องกระบือหายและการกักตัวผู้ต้องสงสัย ศาลตัดสินว่าไม่มีเจตนาทุจริต
ลูกบ้านได้ขอให้กำนันเอาผู้เสียหายไปสอบถามให้แน่นอนในเรื่องที่ลูกบ้านสงสัยว่าผู้เสียหายซ่อนกระบือของตนที่หายไป กำนันจึงเอาตัวผู้เสียหายไปบ้านกำนัน เรียกร้องให้ผู้เสียหายใช้ราคากระบือแก่ลูกบ้านแล้วลูกบ้านจะไม่เอาเรื่อง ผู้เสียหายก็ยอมเสียค่ากระบือให้ลูกบ้าน ๆ ก็ไม่เอาเรื่องต่อไปและกำนันได้จัดการทำหนังสือปรองดองกันไว้ แล้วไม่เอาตัวผู้เสียหายส่งไปยังพนักงานสอบสวน ดังไม่ใช่มีเจตนาจะกระทำการทุจจริตต่อหน้าที่ จึงไม่มีผิดฐานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ทางทุจริติตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 136,137,138,+42 และการที่กำนันกักตัวผู้เสียหายไว้จนชำระเงินกันแล้ว +ปล่อยนั้นเมื่อกำนันคิดว่ากำนันก็อำนาจทำได้ ไม่มีเจตนาที่จะกักขังให้ผู้เสียหายเสื่อมเสียอิสสระภาพแล้ว กำนันก็ยังไม่ผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 268,270

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 302/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องลักทรัพย์ แม้ไม่ได้กล่าวถึงการเอาทรัพย์ไป การกรีดน้ำยางโดยทุจริตถือเป็นความเสียหาย
ฟ้องของโจทก์กล่าวเป็นใจความว่า จำเลยบังอาจสมคบกันเข้ากรีดเอาน้ำมันยางในสวนของโจทก์โดยการทุจริต ซึ่งโจทก์มิได้อนุญาต และขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 288,63 ดังนี้ แม้โจทก์จะมิได้กล่าวว่าจำเลยเอาน้ำยางไปหรือลักเอาน้ำยางไป ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกรีดเอาน้ำยางของโจทก์โดยการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นการเสียหายแก่โจทก์ ขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์นับว่าเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามป.ม.วิ.อาญามาตรา 158 ครบข้อหาฐานลักทรัพย์แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1450/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่แทนกับการกระทำโดยทุจริต
กรมศุลกากรและกระทรวงมหาดไทยได้ตกลงกันมอบหมายให้คณะกรรมการอำเภอชายฝั่งทะเลที่ไม่มีนายด่านศุลกากร ทำหน้าที่เป็นนายด่านศุลกากรแทน ดังนี้ เมื่อสมุหบัญชีอำเภอ ซึ่งเป็นคณะกรรมการอำเภอได้กระทำหน้าที่นายด่านศุลกากรแทน ได้จดข้อความเท็จและทำหลักฐานเท็จรับรองการขนสินค้าขึ้นท่าอันเป็นการเสียหายแก่กรมศุลกากรจึงเป็นการกระทำในฐานะที่เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ จึงเป็นความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 230

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 763/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานทุจริต – เงินทดรองใช้ราชการ – อำนาจหน้าที่ – การปฏิบัติตามคำสั่ง
การที่จำเลยซึ่งเป็นนายทหารอากาศชั้นสัญญาบัตรประจำการมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการสโมสรทหารอากาศอันเป็นหน่วยราชการ ได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการทหารอากาศให้มีหน้าที่รับเงินทดรองใช้จ่ายทางราชการมาจัดซื้อข้าวสารมาจำหน่ายแก่ข้าราชการกองทัพอากาศ ขายได้แล้วให้นำเงินส่งแก่ทางราชการ เมื่อจำเลยทุจริตยักยอกเอาเงินนั้นไป จำเลยย่อมมีผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานทุจริตต่อหน้าที่ตาม ก.ม.อาญา ม.131
เงินที่ทางราชการมอบให้จำเลยทดลองใช้โดยเฉพาะที่ให้จำเลยทำจะเรียกว่ายืมหรืออะไรก็ตาม จำเลยไม่มีอำนาจเอาไปใช้การอื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 763/2493

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานทุจริตต่อหน้าที่ แม้ไม่มีหน้าที่โดยตรง แต่ได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ ยักยอกเงินทดรองราชการ
การที่จำเลยซึ่งเป็นนายทหารอากาศชั้นสัญญาบัตรประจำการมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการสโมสรทหารอากาศอันเป็นหน่วยราชการ ได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการทหารอากาศให้มีหน้าที่รับเงินทดรองใช้จ่ายทางราชการมาจัดซื้อข้าวสารมาจำหน่ายแก่ข้าราชการกองทัพอากาศ ขายได้แล้วให้นำเงินส่งคืนแก่ทางราชการ เมื่อจำเลยทุจริตยักยอกเอาเงินนั้นไป จำเลยย่อมมีผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 131
เงินที่ทางราชการมอบให้จำเลยทดลองใช้โดยเฉพาะที่ให้จำเลยทำจะเรียกว่ายืมหรืออะไรก็ตาม จำเลยไม่มีอำนาจเอาไปใช้การอื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 256/2493

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินที่เกิดจากเงินสินสมรสโดยไม่ได้รับความยินยอมจากคู่สมรสและมีเจตนาทุจริต
ภริยาเอาเงินสินสมรสไปซื้อสวนแล้วโอนใส่ชื่อบุตรของตนซึ่งเกิดกับสามีก่อนโดยเสน่หา โดยสามีมิได้ยินยอม ระหว่างที่สามีบอกล้างและฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมนั้น ภริยากับบุตรเลี้ยงโอนขายที่ดินนั้นให้ผู้อื่น ดังนี้ สามีฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมได้ทั้ง 2 ราย
และเมื่อสามีถอนฟ้องคดีก่อน ซึ่งฟ้องภริยาและบุตรเลี้ยง มาฟ้องใหม่โดยฟ้องภริยา บุตรเลี้ยง และบุคคลภายนอกผู้รับโอนในคดีเดียวกันดังนี้ ไม่ถือว่าเป็นฟ้องซ้ำ
คดีโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมได้เสียค่าขึ้นศาลตามราคาทรัพย์ที่พิพาท 4500 บาท และจำเลยฎีกาโดยเสียค่าขึ้นศาลตามราคาทรัพย์ที่พิพาทเช่นเดียวกัน ศาลฎีการับวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 137/2493

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้าราชการยักยอกเงินสโมสร: ความผิดฐานใช้อำนาจในทางทุจริต vs. ยักยอกทรัพย์
แม้จำเลยซึ่งเป็นข้าราชการมีหน้าที่เก็บเงินตามบิลเชื่อของสโมสรทหารซึ่งเป็นส่วนราชการแล้วยักยอกไป ถ้าโจทก์ไม่นำสืบให้ปรากฏว่าสิ่งของที่สโมสรขายเชื่อนั้นจัดหาโดยเงินของทางราชการแล้ว จำเลยไม่ผิดมาตรา 131 คงผิดเพียงมาตรา 319(3) เท่านั้น
ศาลอุทธรณ์แก้บทและกำหนดโทษของศาลชั้นต้น เป็นการแก้มากฎีกาในข้อเท็จจริงได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 99/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กำนันและราษฎรเรียกรับเงินจากผู้ต้องหาเพื่อปล่อยตัว เป็นความผิดเจ้าพนักงานทุจริต
จำเลยที่ 1 เป็นกำนัน จำเลยที่ 2 เป็นราษฎร ได้ไปจับกุมนายรัตน์ นายมิ่ง หาว่าเป็นคนร้ายใช้สากกระเดื่องขว้างปานายเหนาะน้องชายจำเลยที่ 2 มีบาดเจ็บแล้วคุมตัวนายรัตน นายมิ่งมาที่บ้านจำเลยที่ 1 จำเลยได้เรียกเอาเงินจากนายรัตน นายมิ่งคนละ 150 บาท และว่าถ้าให้เงินจะเลิกคดีปล่อยตัวไป นายรัตน นายมิ่งขอให้เงินเพียงคนละ 100 บาท จำเลยที่ 1 ก็ยอม พวกของนายรัตน นายมิ่งได้นำเงินมาให้แก่จำเลยที่ 1 ๆ รับเงินแล้วพูดว่าเลิกได้ แล้วนายรัตน, นายมิ่งก็พากันกลับบ้าน การกระทำดังนี้ย่อมเป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานกระทำการทุจจริตในหน้าที่ ส่วนการที่จำเลยขู่ว่า ถ้าไม่หาเงินมาให้นั้นจะส่งไปให้พวกบ้านหนองนาแซงฆ่าเสียนั้น ถ้าเป็นความจริงกลับจะทำให้ความผิดของจำเลยมีโทษหนักขึ้น หาใช่จะทำให้ความผิดของจำเลยสูญหายไปหมดมิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 99/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานเรียกรับเงินเพื่อแลกกับการปล่อยตัวผู้ต้องหา เป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานกระทำทุจริตในหน้าที่
จำเลยที่ 1 เป็นกำนัน จำเลยที่ 2 เป็นราษฎร ได้ไปจับกุมนายรัตน์ นายมิ่งหาว่าเป็นคนร้ายใช้สากกระเดื่องขว้างปานายเหนาะน้องชายจำเลยที่ 2 มีบาดเจ็บ แล้วคุมตัวนายรัตน์นายมิ่งมาที่บ้านจำเลยที่ 1 จำเลยได้เรียกเอาจากนายรัตน์นายมิ่งคนละ 150 บาท และว่าถ้าให้เงินจะเลิกคดีปล่อยตัวไปนายรัตน์นายมิ่งขอให้เงินเพียงคนละ 100 บาท จำเลยที่ 1 ก็ยอม พวกของนายรัตน์นายมิ่งได้นำเงินมาให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 รับเงินแล้วพูดว่าเลิกได้ แล้วนายรัตน์นายมิ่งก็พากันกลับบ้านการกระทำดังนี้ย่อมเป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานกระทำการทุจริตในหน้าที่ ส่วนการที่จำเลยขู่ว่า ถ้าไม่หาเงินมาให้นั้นจะส่งไปให้พวกบ้านหนองนาแซงฆ่าเสียนั้น ถ้าเป็นความจริงกลับจะทำให้ความผิดของจำเลยมีโทษหนักขึ้น หาใช่จะทำให้ความผิดของจำเลยสูญหายไปหมดมิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 712/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานใช้อำนาจในทางทุจริตเรียกทรัพย์จากประชาชน แม้ไม่ใช่การปล้นทรัพย์ ก็มีความผิดตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 - 2 เป็นพลตำรวจ ได้สมคบกันไปจับผู้เสียหายมา 2 คน บอกว่าสงสัยว่าลักควายของจำเลยที่ 3 และใส่กุญแจมือพามาบ้านจำเลยที่ 4 ในระหว่างเดินทาง จำเลยที่ 1 ได้เอาปืนยาวตีศีรษะผู้เสียหายให้เอาเงินมาคนละ 300 บาท ถ้าไม่ให้จะฆ่าทิ้งเสียในคืนนี้ ผู้เสียหายยอมรับจะให้คนละ 250 บาท แต่เวลานั้นยังไม่มีเงิน จำเลยจึงบอกให้ผู้เสียหายขายควายและให้เอา เรือนที่บ้านและไร่ยาสูบขายฝากผู้อื่นไว้แล้วจำเลยที่ 1 ก็รับเอาเงินที่ขายควายและขายฝากเรือน ที่บ้านและไร่ยาสูบไปดังนี้ การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตามมาตรา 270 และมาตรา 136 ฐานใช้อำนาจและตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจจริต หาใช่เป็นการปล้นทรัพย์ เพราะมิใช่การขู่เข็ญชิงเอาทรัพย์ไปจากความครอบครองของเจ้าทรัพย์ หากแต่เป็นการที่จำเลยบังคับให้เขาให้หรือให้เขาหาทรัพย์ หรือผลประโยชน์อันมิควรจะได้ตามกฎหมายมาให้แก่ตัวมันโดยมันเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจและตำแหน่งหน้าที่บังคับโดยทางอันมิชอบ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 268, 270, 301 แต่ข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์สืบสมว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 270, 136 แต่โจทก์อ้างบทหรือมาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 192 วรรค 4.
of 54