พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6776-6777/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีหลังสัญญาระงับข้อพิพาท ศาลฎีกาพิพากษาให้ถอนการบังคับคดีเมื่อจำเลยปฏิบัติตามสัญญาแล้ว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารกับให้ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 1 ก่อนคดีถึงที่สุดโจทก์ที่ 1 กับจำเลยทำสัญญาระงับข้อพิพาทระหว่างกันทั้งหมดโดยไม่ติดใจบังคับคดีต่อมาโจทก์ที่ 1 นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลย เพื่อนำออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาจำเลยยื่นฟ้องและศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า โจทก์ที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาระงับข้อพิพาทและให้โจทก์ที่ 1 ชำระเงินแก่จำเลย แสดงว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญา แต่โจทก์ที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่อาจบังคับคดีตามคำพิพากษาได้ เมื่อการนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์เป็นการกระทำของผู้แทนโจทก์ที่ 1 โดยยืนยันว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยจริงหากเกิดความเสียหายผู้แทนโจทก์ที่ 1 ยินยอมรับผิดชอบเอง เมื่อศาลไม่อนุญาตให้บังคับคดีอีกต่อไป โจทก์ที่ 1 ต้องเสียค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6442/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยสัญญา กู้ยืมเงิน: ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยอัตราดอกเบี้ย แม้คู่ความมิได้ฎีกา หากเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15 ต่อปี แต่สัญญากู้ยืมเงินกำหนดให้คิดดอกเบี้ยตามอัตราที่กฎหมายกำหนด มิได้กำหนดอัตราว่าเท่าใด จึงต้องคิดดอกเบี้ยกันร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้คู่ความไม่ฎีกา ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6415/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลาชำระค่าธรรมเนียมศาลที่ชอบด้วยกฎหมาย และการส่งคำร้องอุทธรณ์ที่ไม่ถูกต้อง
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาชำระเงินค่าธรรมเนียมศาล เนื่องมาจากศาลฎีกามีคำสั่งให้ยก คำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาเสียนั้น มิใช่คำสั่งในเรื่องเกี่ยวเนื่องกับการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ดำเนินคดี อย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา อันจะต้องอุทธรณ์คำสั่งนั้นไปยังศาลฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 156 วรรคท้าย แต่เป็นการสั่งไปตามที่ ป.วิ.พ. มาตรา 23 ให้อำนาจไว้ หากจำเลยไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าว จะต้องอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ ตามมาตรา 223 ที่ศาลชั้นต้นส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยมายังศาลฎีกาจึงไม่ชอบ
การขอขยายหรือย่นระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ใน ป.วิ.พ. หรือตามที่ศาลกำหนดไว้หรือระยะเวลาที่เกี่ยวด้วย วิธีพิจารณาความแพ่งอันกำหนดไว้ในกฎหมายอื่นเพื่อให้ดำเนินหรือมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ก่อนสิ้น ระยะเวลานั้น ให้พึงทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ และศาลได้มีคำสั่งหรือคู่ความมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้น เว้นแต่ในกรณีมีเหตุสุดวิสัย ตามนัยแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 23
จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินค่าธรรมเนียมศาลเมื่อสิ้นระยะเวลาที่ศาลฎีกาได้กำหนดไว้เพื่อให้จำเลยชำระเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวแล้ว เมื่อจำเลยฎีกาว่า เหตุที่ไม่ได้ชำระภายในกำหนดเพราะหลงผิดไปว่าศาลชั้นต้นจะแจ้งคิดรายการจำนวนเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องเสียเท่าไรให้จำเลยทราบอีกครึ่งหนึ่งนั้น มิได้เป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัยที่จำเลยไม่อาจยื่นคำร้องก่อนสิ้นระยะเวลาที่ศาลกำหนดไว้ได้
การขอขยายหรือย่นระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ใน ป.วิ.พ. หรือตามที่ศาลกำหนดไว้หรือระยะเวลาที่เกี่ยวด้วย วิธีพิจารณาความแพ่งอันกำหนดไว้ในกฎหมายอื่นเพื่อให้ดำเนินหรือมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ก่อนสิ้น ระยะเวลานั้น ให้พึงทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ และศาลได้มีคำสั่งหรือคู่ความมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้น เว้นแต่ในกรณีมีเหตุสุดวิสัย ตามนัยแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 23
จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินค่าธรรมเนียมศาลเมื่อสิ้นระยะเวลาที่ศาลฎีกาได้กำหนดไว้เพื่อให้จำเลยชำระเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวแล้ว เมื่อจำเลยฎีกาว่า เหตุที่ไม่ได้ชำระภายในกำหนดเพราะหลงผิดไปว่าศาลชั้นต้นจะแจ้งคิดรายการจำนวนเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องเสียเท่าไรให้จำเลยทราบอีกครึ่งหนึ่งนั้น มิได้เป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัยที่จำเลยไม่อาจยื่นคำร้องก่อนสิ้นระยะเวลาที่ศาลกำหนดไว้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 62/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของข้อตกลงสภาพการจ้างใหม่ต่อสัญญาค้ำประกัน: ศาลฎีกาตัดสินจำกัดความรับผิดของผู้ค้ำประกันตามหลักเกณฑ์ใหม่
++ เรื่อง คดีแรงงาน ++
++ โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
++ โปรดดูย่อจากหนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม
++ เล่มที่ 1 หน้า 29 ++
++ ขอดูชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5 ++
++ โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
++ โปรดดูย่อจากหนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม
++ เล่มที่ 1 หน้า 29 ++
++ ขอดูชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5 ++
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5591/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข ไม่ใช่สัญญาเช่าซื้อ ศาลฎีกาพิพากษากลับให้คืนรถยนต์ หรือชดใช้เงินค้างชำระ
สัญญามีข้อความระบุว่าหนังสือสัญญาขายมีเงื่อนไข โดยตกลงในข้อ 1 ว่า ผู้จะขายตกลงจะขายและผู้จะซื้อตกลงจะซื้อรถยนต์พิพาทในราคา 1,235,680 บาท ในวันทำสัญญานี้ผู้จะซื้อได้ชำระเงินค่าสินค้าให้แก่ผู้จะขายแล้ว 70,000 บาท ส่วนที่ยังค้างอยู่อีก 1,165,680 บาทผู้จะซื้อสัญญาว่าจะชำระให้แก่ผู้จะขายเป็นงวดทุก ๆ เดือน งวดละ48,570 บาท ณ สำนักงานของผู้จะขายให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด 24 เดือนและข้อ 5 ระบุว่าสัญญาซื้อขายนี้ตามข้อความแห่งสัญญาจะมีผลสมบูรณ์ให้กรรมสิทธิ์ตกเป็นของผู้จะซื้อต่อเมื่อผู้จะซื้อปฏิบัติตามข้อความในสัญญานี้ทั้งหมดแล้ว และผู้จะขายมีสิทธิจะบอกเลิกสัญญาและเรียกทรัพย์สินได้เมื่อผู้จะซื้อไม่ปฏิบัติตามสัญญานี้ไม่ว่าข้อหนึ่งข้อใดก็ตาม เห็นว่า สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข ไม่มีข้อความแสดงให้เห็นว่าเป็นสัญญาเช่าซื้อที่เจ้าของทรัพย์เอาทรัพย์สินออกให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินหรือจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า โดยเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว ส่วนสัญญาข้อ 9 ที่ระบุว่าหากผู้จะซื้อผิดนัดไม่ชำระราคาสินค้าตามงวดหนึ่งงวดใด ฯลฯ ผู้จะซื้อยอมให้ถือว่าสัญญานี้เป็นอันเลิกกันทันทีตั้งแต่วาระนั้นโดยไม่จำต้องบอกกล่าวและมีสิทธิเอารถยนต์ที่จะซื้อคืนโดยไม่ต้องคืนเงินที่ผู้จะซื้อชำระแล้วนั้น เป็นข้อตกลงโดยความสมัครใจของคู่สัญญาและเป็นการรักษาผลประโยชน์ของผู้ขายมิให้เสียหายเกินกว่าความจำเป็นเมื่อผู้ซื้อผิดสัญญาเท่านั้น หาทำให้สัญญาซื้อขายโดยมีเงื่อนไขกลับกลายเป็นสัญญาเช่าซื้อไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5541/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงใหม่ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยให้การรับสารภาพว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ข้อเท็จจริงในคดีจึงต้องรับฟังเป็นยุติถึงการกระทำความผิดของจำเลยได้ตามที่โจทก์ฟ้อง จำเลยไม่อาจที่จะโต้แย้งเป็นอย่างอื่นได้ การที่จำเลยอุทธรณ์ขึ้นมาว่ามิได้มีเจตนากระทำผิด เป็นอุทธรณ์โต้แย้งข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุติไปแล้ว อันถือได้ว่าเป็นการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัยให้ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 45 และ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5476/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทนายจำเลยไม่ให้ความร่วมมือในการกำหนดแนวทางพิจารณาคดี ทำให้ศาลสั่งงดสืบพยานจำเลยไม่ชอบ ศาลฎีกายกคำพิพากษา
การนัดพร้อมเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินคดีตามข้อกำหนดคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2540 ข้อ 27ข้อกำหนดดังกล่าวเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีพิเศษสำหรับคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศต้องใช้เป็นหลักในการพิจารณาคดี กรณีไม่อาจนำหลักเกณฑ์ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งซึ่งใช้กับคดีแพ่งสามัญในส่วนที่ได้กำหนดไว้ในข้อกำหนดดังกล่าวแล้วมาใช้บังคับได้
วันที่ศาลกำหนดที่จะให้มีการกำหนดแนวทางการดำเนินคดีมีความสำคัญอย่างยิ่งที่คู่ความจะต้องให้ความร่วมมือกับศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศในการร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางในการดำเนินคดีเพื่อให้สามารถดำเนินกระบวนพิจารณาไปได้ด้วยความสะดวก รวดเร็ว และเที่ยงธรรม ทนายจำเลยซึ่งรับว่าความคดีการค้าระหว่างประเทศย่อมต้องทราบกฎหมายหรือข้อกำหนดดังกล่าวเป็นอย่างดีและมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายวิธีพิจารณาความสำหรับคดีชำนัญพิเศษนั้นเพื่อรักษาประโยชน์ของจำเลยซึ่งเป็นตัวความ
ทนายจำเลยไม่มาศาลในวันนัดพร้อมเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินคดีเป็นความผิดของทนายจำเลยเองที่ไม่ได้สนใจและเอาใจใส่ในการดำเนินคดีนี้ เมื่อเป็นความผิดของทนายจำเลยเองที่ไม่ให้ ความร่วมมือกับศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ในการกำหนดแนวทางในการดำเนินคดีและกำหนดวันสืบพยานโจทก์ ในวันที่ทนายจำเลยว่างทนายจำเลยจึงยกเอาเหตุที่ตนไม่อาจมาศาล ในวันนัดสืบพยานโจทก์ได้ โดยอ้างเหตุที่ตนติดว่าความที่ศาลอื่น ซึ่งได้นัดไว้ก่อนแล้วว่าเป็นเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้ตามมาตรา 27แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศฯมาเพื่อขอเลื่อนคดีไม่ได้
วันที่ศาลกำหนดที่จะให้มีการกำหนดแนวทางการดำเนินคดีมีความสำคัญอย่างยิ่งที่คู่ความจะต้องให้ความร่วมมือกับศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศในการร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางในการดำเนินคดีเพื่อให้สามารถดำเนินกระบวนพิจารณาไปได้ด้วยความสะดวก รวดเร็ว และเที่ยงธรรม ทนายจำเลยซึ่งรับว่าความคดีการค้าระหว่างประเทศย่อมต้องทราบกฎหมายหรือข้อกำหนดดังกล่าวเป็นอย่างดีและมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายวิธีพิจารณาความสำหรับคดีชำนัญพิเศษนั้นเพื่อรักษาประโยชน์ของจำเลยซึ่งเป็นตัวความ
ทนายจำเลยไม่มาศาลในวันนัดพร้อมเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินคดีเป็นความผิดของทนายจำเลยเองที่ไม่ได้สนใจและเอาใจใส่ในการดำเนินคดีนี้ เมื่อเป็นความผิดของทนายจำเลยเองที่ไม่ให้ ความร่วมมือกับศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ในการกำหนดแนวทางในการดำเนินคดีและกำหนดวันสืบพยานโจทก์ ในวันที่ทนายจำเลยว่างทนายจำเลยจึงยกเอาเหตุที่ตนไม่อาจมาศาล ในวันนัดสืบพยานโจทก์ได้ โดยอ้างเหตุที่ตนติดว่าความที่ศาลอื่น ซึ่งได้นัดไว้ก่อนแล้วว่าเป็นเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้ตามมาตรา 27แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศฯมาเพื่อขอเลื่อนคดีไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5110/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพยายามฆ่าและครอบครองอาวุธปืนเถื่อน ศาลฎีกาแก้ไขบทปรับโทษให้ถูกต้อง
จำเลยเป็นคนร้ายยิงผู้เสียหายที่ 1 โดยมีเจตนาฆ่า แต่กระสุนปืนพลาดไปถูกผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสอง การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้ปรับบทลงโทษไว้ สมควรระบุให้ชัดเจน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีอาวุธปืนพกซึ่งเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ จำนวน 1 กระบอก กับมีกระสุนปืนขนาดเดียวกันจำนวน 5 นัด ซึ่งอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวสามารถใช้ยิงได้ไว้ในครอบครอง โดยจำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ และจำเลยพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควรและไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ทั้งมิใช่กรณีที่ต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ,72, 72 ทวิ ป.อ.มาตรา 33, 80, 91, 288, 371 ริบของกลาง การที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทความผิดจำเลยฐานพาอาวุธปืนไปในงานรื่นเริงตามมาตรา 8 ทวิ วรรคสองมาด้วย จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยไม่ปรับบทความผิดตามมาตราดังกล่าว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีอาวุธปืนพกซึ่งเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ จำนวน 1 กระบอก กับมีกระสุนปืนขนาดเดียวกันจำนวน 5 นัด ซึ่งอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวสามารถใช้ยิงได้ไว้ในครอบครอง โดยจำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ และจำเลยพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควรและไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ทั้งมิใช่กรณีที่ต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ,72, 72 ทวิ ป.อ.มาตรา 33, 80, 91, 288, 371 ริบของกลาง การที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทความผิดจำเลยฐานพาอาวุธปืนไปในงานรื่นเริงตามมาตรา 8 ทวิ วรรคสองมาด้วย จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยไม่ปรับบทความผิดตามมาตราดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5100/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพกพาอาวุธร้ายแรงเข้าศาลฯ ถือเป็นการละเมิดอำนาจศาลและไม่เคารพกฎหมาย ศาลฎีกายืนโทษจำคุก
อาคารที่ทำการศาลยุติธรรมเป็นสถานที่อำนวยความยุติธรรม ให้แก่ประชาชนผู้มีอรรถคดี บุคคลผู้มีอรรถคดีต้องมีความมั่นใจ และมีความอบอุ่นในความปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง การที่ ผู้ถูกกล่าวหาพกพาอาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงดังกล่าวเข้าไปใน บริเวณที่ทำการศาล แสดงถึงความไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย ถือได้ว่าเป็นความผิดร้ายแรง ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาลงโทษ จำคุกผู้ถูกกล่าวหา 2 เดือนและไม่รอการลงโทษเหมาะสมแก่ พฤติการณ์แห่งรูปคดีและเป็นคุณแก่จำเลยมากแล้ว ไม่มีเหตุ ที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4933/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกข้อข้อโต้แย้งใหม่ในชั้นฎีกาที่ไม่เคยกล่าวอ้างในศาลล่าง และการใช้ดุลพินิจลงโทษที่เหมาะสม
จำเลยให้การรับสารภาพและโจทก์นำสืบพยานหลักฐานได้สมฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว จำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาที่ว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่ชัดแจ้งพอที่จะรับฟังว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายไว้ การที่จำเลยเพิ่งหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกาจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15