พบผลลัพธ์ทั้งหมด 5,764 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1892/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสิทธิเรียกร้องค่าบริการโทรศัพท์: การฟ้องคดีเกิน 2 ปี นับจากวันที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องทำให้คดีขาดอายุความ
การที่โจทก์จัดให้มีบริการโทรศัพท์และเรียกเก็บเงินประกอบธุรกิจใช้บริการโทรศัพท์ถือว่าโจทก์เป็นบุคคลผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาสินจ้างอันพึงจะได้รับในการนั้น สิทธิเรียกร้องค่าใช้บริการโทรศัพท์ของโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(7) เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องเกินกว่า2 ปี นับแต่วันที่โจทก์สามารถใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินค่าใช้บริการคดีโจทก์จึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1708/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีสัญญาซื้อขาย: นับแต่วันผิดนัดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขาย จำเลยทั้งสองให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ซึ่งศาลชอบที่จะวินิจฉัยได้จากคำฟ้องประกอบกับสัญญาจะซื้อจะขายในคำฟ้องปรากฏข้อความชัดเจนว่าจำเลยทั้งสองตกลงจดทะเบียนโอนที่ดินในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2528ส่วนหนังสือสัญญาซื้อขายก็ปรากฏข้อความว่าจำเลยทั้งสองจะทำการโอนกรรมสิทธิ์กันให้ถูกต้องตามกฎหมายในปี2528 อันเป็นการแสดงว่าจำเลยทั้งสองต้องจดทะเบียนโอนที่ดินภายใน วันที่ 31 ธันวาคม 2528 เป็นอย่างช้าที่สุด ดังนั้น เมื่อจำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ดำเนินการทางทะเบียนให้แก่โจทก์ภายในเวลาดังกล่าว สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามสัญญาจึงเกิดขึ้นตั้งแต่วันถัดจากวันที่ 31 ธันวาคม 2528 เป็นต้นไป เมื่อสิทธิเรียกร้องของโจทก์ในคดีนี้มิได้มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงต้องอยู่ในกำหนดอายุความ 10 ปี ตามที่ ป.พ.พ. มาตรา 193/30บัญญัติไว้ โจทก์จึงชอบที่จะใช้สิทธิฟ้องคดีอย่างช้าภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2538 แต่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีในวันที่ 1 กรกฎาคม 2542 เกินกว่ากำหนด 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตามบทบัญญัติ แห่ง ป.พ.พ. มาตรา193/9 ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1708/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีสัญญาซื้อขาย: คำนวณจากวันผิดนัดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์
ในคำฟ้องปรากฏข้อความว่าจำเลยตกลงจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายให้โจทก์ในวันที่ 11กุมภาพันธ์ 2528 ส่วนหนังสือสัญญาจะซื้อขายก็ปรากฏข้อความว่าจำเลยจะทำการโอนกรรมสิทธิ์กันในปี 2528 แสดงว่าจำเลยต้องจดทะเบียนโอนภายในวันที่ 31 ธันวาคม2528 เป็นอย่างช้าที่สุด ดังนั้น เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ดำเนินการทางทะเบียนให้แก่โจทก์ภายในเวลาดังกล่าว สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาจึงเกิดขึ้นตั้งแต่วันถัดจากวันที่ 31 ธันวาคม 2528 เป็นต้นไปและสิทธิเรียกร้องของโจทก์มิได้มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 โจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิฟ้องคดีอย่างช้าภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2538 แต่โจทก์ฟ้องจำเลยวันที่ 1 กรกฎาคม2542 เกินกว่ากำหนด 10 ปี จึงขาดอายุความ ตามมาตรา 193/9
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 139/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สินสมรสระหว่างสามีภริยา การแบ่งทรัพย์สินหลังหย่า และอายุความในการฟ้องเรียกคืน
ว. และ ห. อยู่กินฉันสามีภริยาที่ประเทศมาเลเซียประมาณ 90 ปีมาแล้ว จึงเป็นสามีภริยาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม ห. ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2484 อันเป็นปีที่ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 แล้ว จึงต้องนำกฎหมายลักษณะผัวเมียมาใช้กับการแบ่งสินสมรส โดยบทที่ 72 กำหนดให้ทรัพย์ที่บิดามารดาหรือญาติฝ่ายหญิงหรือชายให้ไว้ในวันแต่งงานให้เป็นสินเดิมถ้าให้เมื่ออยู่กินเป็นผัวเมียกันแล้วให้เป็นสินสมรส ดังนั้นถ้าได้ทรัพย์มาก่อนปี 2484 ก็ต้องแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยากันตามบทที่ 68 คือ ถ้าชายและหญิงต่างมีสินเดิม ให้คืนสินเดิมแก่แต่ละฝ่าย ส่วนสินสมรสให้แบ่งเป็น 3 ส่วน ชายได้ 2 ส่วนหญิงได้ 1 ส่วน ถ้าต่างฝ่ายไม่มีสินเดิมก็แบ่งสินสมรสแบบเดียวกันแต่ถ้าได้ทรัพย์มาภายหลังจากที่คู่สมรสของตนถึงแก่กรรมไปแล้วทรัพย์ดังกล่าวย่อมไม่ใช่สินสมรสที่จะแบ่งระหว่างสามีภริยาอีกต่อไป เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทได้มาก่อนปี 2484 จึงเป็นสินสมรสที่ต้องแบ่งระหว่างสามีภริยาตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย โดย ว. ได้ 2 ส่วน ห. ได้ 1 ส่วน หลังจากนั้นส่วนของ ว. จึงตกทอดเป็นมรดกที่ ว. มีสิทธิทำพินัยกรรมยกให้แก่จำเลยที่ 1ถึงที่ 3 กับจำเลยร่วมที่ 2 และที่ 3 ได้ ส่วนของ ห. นั้น โจทก์ผู้จัดการมรดกย่อมมีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ว. ส่งมอบทรัพย์ดังกล่าวแก่โจทก์เพื่อจัดแบ่งให้แก่ทายาทของ ห. โดย ว. หามีสิทธิทำพินัยกรรมยกทรัพย์ส่วนที่มิใช่ของตนให้แก่ทายาทตามพินัยกรรมไม่
ทรัพย์อันเป็นสินสมรสที่ยังไม่ได้แบ่งนั้น โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกมีสิทธิติดตามเอาคืนมาเพื่อจัดการแบ่งแก่ทายาทได้แม้เกิน 10 ปีนับแต่ ห. ถึงแก่กรรม คดีหาขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1748 ไม่
ทรัพย์อันเป็นสินสมรสที่ยังไม่ได้แบ่งนั้น โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกมีสิทธิติดตามเอาคืนมาเพื่อจัดการแบ่งแก่ทายาทได้แม้เกิน 10 ปีนับแต่ ห. ถึงแก่กรรม คดีหาขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1748 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1373/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความขาด เมื่อการหักเงินจากบัญชีที่ไม่ได้รับความยินยอม ไม่ถือเป็นการรับสภาพหนี้
ใบสมัครบัตรวีซ่า ซึ่งจำเลยที่ 1 ระบุในช่องการชำระเงินว่าให้โจทก์หักจากบัญชีประเภทออมทรัพย์ สาขาเขาย้อย โดยระบุหมายเลขบัญชีไว้ และจำเลยที่ 1ยังมีหนังสือแจ้งผู้จัดการโจทก์ สาขาเขาย้อย ให้หักเงินจากบัญชีออมทรัพย์ดังกล่าวในการชำระค่าสินค้าและบริการที่เกิดจากการใช้บัตรวีซ่าด้วย ทั้งตามใบแจ้งยอดบัญชีโจทก์ก็แจ้งจำเลยที่ 1 ว่าจะตัดบัญชีตามหมายเลขบัญชีที่ระบุไว้ในใบสมัคร ดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิหักเงินจากบัญชีออมทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ตามหมายเลขบัญชีดังกล่าวเท่านั้น ไม่มีสิทธิหักเงินจากบัญชีประเภทอื่น การที่โจทก์หักเงินจากบัญชีอื่นโดยที่จำเลยที่ 1 ไม่ยินยอมจึงเป็นการไม่ชอบ ต้องถือว่าโจทก์หักเงินจากบัญชีของจำเลยที่ 1 ครั้งสุดท้ายในวันที่มีการหักเงินออกจากบัญชีดังกล่าวโดยชอบ อันจะเป็นการรับสภาพหนี้ที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/14(1) เมื่อเริ่มนับอายุความใหม่จนถึงวันฟ้อง เป็นเวลาเกินกว่า 2 ปีคดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(7)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 114/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีแพ่ง เริ่มนับแต่วันที่โจทก์รู้ตัวผู้ต้องรับผิด แม้จะมีการพิจารณาภายในของโจทก์เพิ่มเติม
คณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งทำการสอบสวนแล้วมีความเห็นว่า จำเลยเป็นผู้ต้องรับผิดและแจ้งให้เลขาธิการของโจทก์ทราบ ถือได้ว่าโจทก์ได้รู้ถึงผู้ที่ต้องรับผิดทางแพ่งว่าเป็นจำเลยตั้งแต่ก่อนหรืออย่างช้าที่สุดในวันที่เลขาธิการของโจทก์มีบันทึกถึงผู้ทรงคุณวุฒิด้านให้คำปรึกษากฎหมาย กระทรวงหมาดไทย คือวันที่ 29 ธันวาคม 2537 แม้ต่อมาเลขาธิการของโจทก์จะเสนอขอความเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านให้คำปรึกษากฎหมาย กระทรวงมหาดไทยก็ตาม แต่ผลการพิจารณาก็มิได้เปลี่ยนแปลงตัวผู้รับผิดทางแพ่งแต่อย่างใด และแม้เลขาธิการของโจทก์จะลงนามเห็นชอบให้ดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนฯ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2538 ก็ตาม ก็ไม่ทำให้การรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนของโจทก์อันเป็นการเริ่มนับอายุความเปลี่ยนแปลงไป เพราะมิฉะนั้นแล้วอายุความก็ขยายออกไปได้เรื่อย ๆ แล้วแต่ความล่าช้าในการดำเนินการของโจทก์ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2539 พ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 114/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีแพ่ง: เริ่มนับเมื่อใดเมื่อโจทก์ทราบตัวผู้รับผิด แม้มีการพิจารณาภายใน
คณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่ง สรุปผลว่าจำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์โดยแจ้งให้เลขาธิการโจทก์ทราบเมื่อวันที่27 กันยายน 2537 จึงถือได้ว่าโจทก์รู้ถึงผู้ที่ต้องรับผิดในทางแพ่งว่าเป็นจำเลยตั้งแต่ก่อนหรืออย่างช้าที่สุดในวันที่โจทก์มีบันทึกถึงผู้ทรงคุณวุฒิแม้ต่อมาเลขาธิการโจทก์จะเสนอขอความเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิก็ตามแต่ผลการพิจารณาก็มิได้เปลี่ยนแปลงตัวผู้รับผิดทางแพ่งแต่อย่างใดและแม้เลขาธิการโจทก์จะลงนามเห็นชอบให้ดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2538 ก็ไม่ทำให้การรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนของโจทก์อันเป็นการเริ่มนับอายุความเปลี่ยนแปลงไป เพราะมิฉะนั้นแล้วอายุความก็จะขยายออกไปได้เรื่อย ๆแล้วแต่ความล่าช้าของโจทก์ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีวันที่ 15 มีนาคม 2539พ้นกำหนด 1 ปีนับแต่วันรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง คดีโจทก์จึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้บัตรเครดิต: เริ่มนับใหม่เมื่อมีการรับสภาพหนี้ แม้โจทก์ผ่อนผันการบังคับสิทธิ
หลังจากที่จำเลยชำระหนี้ตามบัตรเครดิตวีซ่าและมาสเตอร์การ์ดบางส่วนให้ธนาคารโจทก์ในครั้งสุดท้ายแล้ว ต่อจากนั้นจำเลยไม่เคยใช้บัตรเครดิตดังกล่าวของโจทก์อีกเลยทั้งโจทก์เองก็มิได้ออกเงินทดรองให้แก่จำเลยต่อไปด้วย ใบแจ้งยอดบัญชีที่โจทก์ส่งให้จำเลยในแต่ละเดือนต่อมาก็ล้วนแต่เป็นการคิดบวกรวมดอกเบี้ยที่จำเลยผิดนัด เบี้ยปรับที่จำเลยชำระหนี้ล่าช้าเข้ากับต้นเงินที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น การที่โจทก์ยังให้โอกาสจำเลยนำเงินมาชำระโจทก์ต่อไปอีก จึงมิได้หมายความว่าโจทก์ไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ติดค้างโดยทันที เพียงแต่โจทก์ผ่อนผันไม่บังคับสิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยเท่านั้น ซึ่งเห็นได้จากการที่โจทก์คิดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับที่ชำระหนี้ล่าช้าเป็นการตอบแทนที่จำเลยไม่ชำระหนี้ให้ครบถ้วนตามวันที่ถึงกำหนดชำระตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญา โจทก์จึงสามารถบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดได้ทันทีตามใบแจ้งยอดบัญชี อายุความจึงเริ่มนับอีกครั้งเมื่อจำเลยชำระหนี้บางส่วนแก่โจทก์ครั้งสุดท้ายตามหนี้บัตรเครดิตแต่ละใบ ซึ่งเป็นการรับสภาพหนี้อันทำให้อายุความสะดุดหยุดลงแล้วเริ่มนับอายุความใหม่ มิใช่เริ่มนับแต่วันที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดโดยไม่ผ่อนผันให้จำเลยค้างชำระหนี้แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้บัตรเครดิต: เริ่มนับใหม่เมื่อมีการชำระหนี้บางส่วน แม้จะมีการผ่อนผันการชำระหนี้ทั้งหมด
โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ให้บริการประเภทบัตรเครดิตแก่สมาชิกซึ่งทำให้สมาชิกสามารถใช้บัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้จ่ายค่าสินค้าที่ซื้อจากร้านค้าหรือค่าบริการที่ใช้จากสถานบริการแทนการชำระด้วยเงินสด การที่โจทก์ได้ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนหรือให้สมาชิกเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกในภายหลังก็เป็นการเรียกเอาเงินที่โจทก์ได้ทดรองไป จึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/34(7)
จำเลยใช้บัตรซิตี้แบงก์วีซ่าครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2540 ครบกำหนดต้องชำระหนี้ภายในวันที่ 12 กันยายน 2540 และจำเลยใช้บัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2540 ครบกำหนดต้องชำระหนี้ภายในวันที่ 22สิงหาคม 2540 ซึ่งวันที่จำเลยต้องชำระหนี้บัตรเครดิตทั้งสองใบดังกล่าวเป็นวันที่โจทก์ย่อมบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระได้ ต่อมาจำเลยชำระหนี้บางส่วนตามบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าให้โจทก์ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2540 และชำระหนี้บางส่วนตามบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดให้โจทก์เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2540 อันเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้นมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(1) และมาตรา 193/15 โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2543 พ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2540 และวันที่ 27 ธันวาคม 2540 อันเป็นวันเริ่มนับอายุความใหม่ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ
นับแต่จำเลยชำระหนี้บางส่วนให้โจทก์ครั้งสุดท้ายแล้ว จำเลยไม่เคยใช้บัตรเครดิตของโจทก์อีก ทั้งโจทก์มิได้ออกเงินทดรองให้แก่จำเลย ใบแจ้งยอดบัญชีที่โจทก์ส่งให้จำเลยแต่ละเดือนต่อมาล้วนแต่เป็นการคิดบวกรวมดอกเบี้ยที่จำเลยผิดนัด เบี้ยปรับที่จำเลยชำระหนี้ล่าช้าเข้ากับต้นเงินที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น การที่โจทก์ยังให้โอกาสจำเลยนำเงินมาชำระให้โจทก์ต่อไปอีกก็มิได้หมายความว่าโจทก์ไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ติดค้างดังกล่าวแล้วให้แก่โจทก์โดยทันที เพียงแต่โจทก์ผ่อนผันไม่บังคับสิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยเท่านั้น ทั้งโจทก์ก็คิดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับที่ชำระหนี้ล่าช้าเป็นการตอบแทนที่จำเลยไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนตามวันที่ถึงกำหนดชำระอายุความจึงเริ่มนับอีกครั้งเมื่อจำเลยชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์ครั้งสุดท้ายตามหนี้บัตรเครดิตแต่ละใบมิใช่เริ่มนับตั้งแต่วันที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดโดยไม่ผ่อนผันให้จำเลยค้างชำระหนี้อีกต่อไป
จำเลยใช้บัตรซิตี้แบงก์วีซ่าครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2540 ครบกำหนดต้องชำระหนี้ภายในวันที่ 12 กันยายน 2540 และจำเลยใช้บัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2540 ครบกำหนดต้องชำระหนี้ภายในวันที่ 22สิงหาคม 2540 ซึ่งวันที่จำเลยต้องชำระหนี้บัตรเครดิตทั้งสองใบดังกล่าวเป็นวันที่โจทก์ย่อมบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระได้ ต่อมาจำเลยชำระหนี้บางส่วนตามบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าให้โจทก์ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2540 และชำระหนี้บางส่วนตามบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดให้โจทก์เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2540 อันเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้นมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(1) และมาตรา 193/15 โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2543 พ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2540 และวันที่ 27 ธันวาคม 2540 อันเป็นวันเริ่มนับอายุความใหม่ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ
นับแต่จำเลยชำระหนี้บางส่วนให้โจทก์ครั้งสุดท้ายแล้ว จำเลยไม่เคยใช้บัตรเครดิตของโจทก์อีก ทั้งโจทก์มิได้ออกเงินทดรองให้แก่จำเลย ใบแจ้งยอดบัญชีที่โจทก์ส่งให้จำเลยแต่ละเดือนต่อมาล้วนแต่เป็นการคิดบวกรวมดอกเบี้ยที่จำเลยผิดนัด เบี้ยปรับที่จำเลยชำระหนี้ล่าช้าเข้ากับต้นเงินที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น การที่โจทก์ยังให้โอกาสจำเลยนำเงินมาชำระให้โจทก์ต่อไปอีกก็มิได้หมายความว่าโจทก์ไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ติดค้างดังกล่าวแล้วให้แก่โจทก์โดยทันที เพียงแต่โจทก์ผ่อนผันไม่บังคับสิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยเท่านั้น ทั้งโจทก์ก็คิดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับที่ชำระหนี้ล่าช้าเป็นการตอบแทนที่จำเลยไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนตามวันที่ถึงกำหนดชำระอายุความจึงเริ่มนับอีกครั้งเมื่อจำเลยชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์ครั้งสุดท้ายตามหนี้บัตรเครดิตแต่ละใบมิใช่เริ่มนับตั้งแต่วันที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดโดยไม่ผ่อนผันให้จำเลยค้างชำระหนี้อีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9854/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกถอนคืนการให้เนื่องจากประพฤติเนรคุณ ต้องฟ้องภายใน 6 เดือนนับแต่วันทราบเหตุ หรือภายใน 10 ปี
บุคคลผู้ชอบที่จะฟ้องเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณได้นั้น ต้องฟ้องคดีภายในหกเดือนนับแต่เหตุประพฤติเนรคุณนั้นได้ทราบถึงผู้นั้น และห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นเวลาสิบปีภายหลังเหตุการณ์เช่นว่านั้นตามป.พ.พ. มาตรา 533 บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวไม่ได้ให้สิทธิเลือกจะฟ้องคดีภายในหกเดือนหรือสิบปี
แม้ผู้ให้ยังมีชีวิตอยู่และยากไร้ ผู้รับให้มีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูผู้ให้ตามความจำเป็นและผู้รับให้สามารถให้ได้ตลอดเวลาที่ผู้ให้ยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม แต่เหตุประพฤติเนรคุณทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อนับถึงวันฟ้องเกินกว่าหกเดือนนับแต่วันที่ผู้ให้ได้ทราบถึงเหตุเหล่านั้น คดีจึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 533 วรรคหนึ่ง
แม้ผู้ให้ยังมีชีวิตอยู่และยากไร้ ผู้รับให้มีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูผู้ให้ตามความจำเป็นและผู้รับให้สามารถให้ได้ตลอดเวลาที่ผู้ให้ยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม แต่เหตุประพฤติเนรคุณทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อนับถึงวันฟ้องเกินกว่าหกเดือนนับแต่วันที่ผู้ให้ได้ทราบถึงเหตุเหล่านั้น คดีจึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 533 วรรคหนึ่ง