คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฟ้องแย้ง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 754 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5819/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องแย้งกรรมสิทธิ์ที่ดิน: เหตุฟ้องไม่ซ้ำคดีเดิม แม้ที่ดินแปลงเดียวกัน และการพิสูจน์การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยโดยอาศัยเหตุว่า โจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ว่างเปล่า แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยโดยอาศัยเหตุว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยในฐานะโจทก์เป็นเจ้าของโดยสงบและเปิดเผยเกินกว่า 10 ปี ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ซึ่งเป็นคนละเหตุกับคดีก่อน แม้ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกันโจทก์ก็ฟ้องคดีนี้ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3833/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งต้องเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม ศาลไม่รับฟ้องแย้งที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสร้างส้วมและขุดหลุมพักอุจจาระหรือน้ำโสโครกประชิดติดกับแนวเขตที่ดินโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนรำคาญอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยฟ้องแย้งให้โจทก์รื้อรั้วคอนกรีตและห้ามมิให้โจทก์ทำให้น้ำจากตึกแถวของโจทก์ไหลเข้าไปในบริเวณบ้าน ของจำเลย ดังนี้ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดืม จะรับเป็นฟ้องแย้งไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3045/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งที่ดิน: ผลผูกพันและขอบเขตการบังคับใช้ตามฟ้องแย้ง
โจทก์กับจำเลยทั้งสามได้ทำบันทึกข้อตกลงแบ่งส่วนที่ดินของตนที่มีอยู่ในที่ดินออกจากกัน จำนวน 3 แปลง แบ่งที่ดินทางทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก แปลงที่ 1 เป็นของจำเลยที่ 2แปลงที่ 2ถัดจากแปลงที่ 1 มาทางทิศใต้ เป็นของโจทก์ แปลงที่ 3 เป็นของจำเลยที่ 1 แปลงคงเหลือเป็นของจำเลยที่ 3 ส่วนเนื้อที่จะแจ้งในวันไปรังวัดและยังมีเอกสารซึ่งเป็นรูปจำลองแผนที่ มีรอยขีดเส้นแบ่งที่ดินออกเป็น4 ส่วน เขียนชื่อโจทก์ในบริเวณที่ดินด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ชื่อจำเลยที่ 3 ในบริเวณที่ดินด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสามลงชื่อรับรองเอกสารและรูปแผนที่ดังกล่าวไว้ด้วยเมื่อโจทก์กับจำเลยทั้งสามมีกรรมสิทธิ์รวมกันในที่ดินพิพาทการกำหนดลงไปในเอกสารทั้งสองฉบับว่า ผู้ใดได้ที่ดินส่วนใดย่อมเป็นการระงับข้อพิพาทอันจะมีขึ้นให้เสร็จไปเพราะเป็นการตกลงเพื่อให้เป็นที่แน่นอนไม่โต้เถียงแย่งกันเอาที่ดินส่วนนั้นส่วนนี้ ทั้งตามข้อตกลงก็ระบุว่าจะนำช่างรังวัดทำการปักหลักเขตแสดงว่ามีการตกลงกันแน่นอนแล้วมิฉะนั้นก็ย่อมจะนำช่างรังวัดที่ดินเพื่อแบ่งแยกมิได้และหลังจากรังวัดแล้วจึงจะรู้เนื้อที่ของแต่ละคนเป็นที่แน่นอนเอกสารดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงฟ้องแย้งขอให้บังคับให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้
ฟ้องแย้งเป็นเรื่องจำเลยขอให้บังคับโจทก์จะขอให้บังคับจำเลยด้วยกันมิได้ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 178.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2758/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งเคลือบคลุม, การลงชื่อในบัญชีพยาน, และการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยให้การและฟ้องแย้งเคลือบคลุมโดยมิได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธ ไม่มีเหตุผลประกอบข้ออ้างของโจทก์ว่าฟ้องแย้งเคลือบคลุมอย่างไร การที่ศาลชั้นต้นไม่กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าฟ้องแย้งเคลือบคลุมหรือไม่ จึงชอบแล้ว
ในวันที่จำเลยยื่นบัญชีระบุพยาน ศาลยังมิได้สั่งในวันนั้นต่อมาภายหลังทนายจำเลยยื่นคำร้องขอลงชื่อในบัญชีพยานศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตและสั่งรับบัญชีพยานจำเลยในวันเดียวกันด้วย ถือได้ว่าเมื่อศาลมีคำสั่งรับบัญชีพยานของจำเลยทนายจำเลยได้ลงชื่อในบัญชีพยานโดยถูกต้องแล้ว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้รับเงิน 500,000 บาทจากจำเลยเป็นการตอบแทนการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยโจทก์จะออกจากที่ดินของจำเลยภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และได้ทำบันทึกเพิ่มเติมสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า โจทก์จะออกจากห้องเช่าภายใน 7 วัน นับแต่ผู้เช่าอื่นรายสุดท้ายซึ่งจำเลยได้ดำเนินการบังคับคดีได้ขนย้ายออกไปจากที่ดินเมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยย่อมมีสิทธิบังคับคดีกับโจทก์ โจทก์จะเรียกค่าเสียหายจากจำเลยมิได้และเมื่อโจทก์ผิดสัญญาโจทก์ก็ต้องคืนเงิน 500,000 บาทให้จำเลยตามฟ้องแย้ง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2758/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องแย้งเคลือบคลุม, การรับบัญชีพยาน, และการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยให้การและฟ้องแย้งเคลือบคลุมโดยมิได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธ ไม่มีเหตุผลประกอบข้ออ้างของโจทก์ว่าฟ้องแย้งเคลือบคลุมอย่างไร การที่ศาลชั้นต้นไม่กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าฟ้องแย้งเคลือบคลุมหรือไม่ จึงชอบแล้ว
ในวันที่จำเลยยื่นบัญชีระบุพยาน ศาลยังมิได้สั่งในวันนั้นต่อมาภายหลังทนายจำเลยยื่นคำร้องขอลงชื่อในบัญชีพยานศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตและสั่งรับบัญชีพยานจำเลยในวันเดียวกันด้วย ถือได้ว่าเมื่อศาลมีคำสั่งรับบัญชีพยานของจำเลยทนายจำเลยได้ลงชื่อในบัญชีพยานโดยถูกต้องแล้ว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้รับเงิน 500,000 บาทจากจำเลยเป็นการตอบแทนการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยโจทก์จะออกจากที่ดินของจำเลยภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และได้ทำบันทึกเพิ่มเติมสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า โจทก์จะออกจากห้องเช่าภายใน 7 วัน นับแต่ผู้เช่าอื่นรายสุดท้ายซึ่งจำเลยได้ดำเนินการบังคับคดีได้ขนย้ายออกไปจากที่ดินเมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยย่อมมีสิทธิบังคับคดีกับโจทก์ โจทก์จะเรียกค่าเสียหายจากจำเลยมิได้และเมื่อโจทก์ผิดสัญญาโจทก์ก็ต้องคืนเงิน 500,000 บาทให้จำเลยตามฟ้องแย้ง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 248/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตฟ้องแย้งในคดีแบ่งแยกที่ดิน: การเรียกร้องสิทธิทางภาระจำยอมไม่เกี่ยวกับการแบ่งแยกที่ดิน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินกรรมสิทธิ์รวม จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ครอบครองที่ดินกันมาไม่ตรงตามฟ้อง และยังมีทางเดินจากที่ดินส่วนที่จำเลยครอบครองออกไปสู่คลองสาธารณประโยชน์ซึ่งเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิม ใช้เดิน ติดต่อกันมาหลายสิบปีแล้ว ขอให้โจทก์ไปจดทะเบียนทางภารจำยอม ดังนี้การที่จำเลยจะมีสิทธิเดิน ผ่านที่ดินของโจทก์หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับการแบ่งแยกที่ดินฟ้องแย้งจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 248/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งแยกที่ดินกรรมสิทธิ์รวม และสิทธิทางเดิน: ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินกรรมสิทธิ์รวม จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ครอบครองที่ดินกันมาไม่ตรงตามฟ้อง และยังมีทางเดินจากที่ดินส่วนที่จำเลยครอบครองออกไปสู่คลองสาธารณประโยชน์ ซึ่งเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมใช้เดินติดต่อกันมาหลายสิบปีแล้ว ขอให้โจทก์ไปจดทะเบียนทางภาระจำยอม ดังนี้การที่จำเลยจะมีสิทธิเดินผ่านที่ดินของโจทก์หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับการแบ่งแยกที่ดิน ฟ้องแย้งจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1454/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรวมพิจารณาฟ้องแย้งค่าเสียหายกับฟ้องเดิมในสัญญาต่างตอบแทน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่า บ้านและอาคารโจทก์โดยไม่ได้ทำสัญญาเช่าขอให้ขับไล่ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทน ขอให้ศาลบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาต่างตอบแทนโดยยินยอมให้จำเลยเช่า อาคารและบ้านมีกำหนดเวลา20 ปี หากโจทก์ไม่อาจให้เช่า ได้ก็ขอให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินเดือนละ 500,000 บาท คำขอให้ชดใช้ค่าเสียหายจึงเกี่ยวเนื่องกับคำขอที่บังคับให้ปฏิบัติตามสัญญานั่นเอง เมื่อศาลล่างยอมรับฟ้องแย้งในส่วนที่ขอให้บังคับตามสัญญาต่างตอบแทน คำขอในส่วนค่าเสียหายเดือนละ500,000 บาท จึงเกี่ยวกับฟ้องเดิม ศาลล่างจึงต้องรับฟ้องแย้งในส่วนนี้ด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1454/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องขับไล่-ฟ้องแย้งสัญญาเช่า: ศาลต้องรับฟ้องแย้งทั้งหมดเมื่อเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารและบ้านซึ่งจำเลยเช่าจากโจทก์โดยมิได้ทำหนังสือสัญญาเข่าและไม่มีกำหนดระยะเวลาเช่า จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า สัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทน ขอให้บังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาต่างตอบแทนโดยยินยอมให้จำเลยเช่าอาคารและบ้านเป็นเวลา 20 ปี หากโจทก์ไม่อาจให้เช่าได้ก็ขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ500,000 บาท คำขอให้ชดใช้ค่าเสียหายจึงเกี่ยวเนื่องกับคำขอที่บังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาและเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมด้วย ศาลต้องรับฟ้องแย้งไว้ทั้งหมด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1330/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไขไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม ไม่รวมพิจารณาได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้รื้อถอนลวดหนามที่จำเลยและบริวารได้เข้าไปครอบครองในที่ดินทางหลวง ซึ่งอยู่ในความควบคุมดูแลของโจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้ขยายเขตทางหลวงรุกล้ำในที่ดินจำเลย หากศาลฟังว่าทางหลวงดังกล่าวมีการขยายเขตถูกต้องและมีแนวเขตเข้ามาในที่ดินจำเลยแล้วโจทก์ต้องใช้ค่าที่ดินและอาคารและค่ารื้อถอนให้จำเลย เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข ซึ่งการที่จำเลยจะต้องรื้อรั้วลวดหนามออกไปจากทางหลวงดังกล่าวและโจทก์จะต้องใช้ค่าชดเชยที่ดินแก่จำเลยหรือไม่ ยังไม่เป็นที่แน่นอนต้องรอจนศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อลวดหนามตามฟ้องเดิมก่อน ฟ้องแย้งจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม.(ที่มา-ส่งเสริม)
of 76