คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สินสมรส

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 858 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3129/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องสอดเป็นฟ้องซ้อน: สิทธิเจ้าของร่วมสินสมรสถูกโต้แย้งในคดีขับไล่
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์แล้วผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่า โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าแล้วขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ผู้ร้องยื่นคำร้องสอดว่าผู้ร้องเป็นภรรยาของจำเลย ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นสินสมรสผู้ร้องมีส่วนเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง จำเลยนำไปขายฝากโดยผู้ร้องไม่ทราบ เมื่อผู้ร้องทราบได้ฟ้องจำเลยขอให้ลงชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดินพิพาทคดีอยู่ระหว่างพิจารณา ก่อนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทจะหลุดเป็นสิทธิแก่โจทก์ผู้ร้องได้ขอไถ่การขายฝากแต่โจทก์ไม่ให้ไถ่ ผู้ร้องได้ฟ้องโจทก์และจำเลยว่าสมคบกันไม่ยอมให้ผู้ร้องไถ่ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา และที่จำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์เป็นการฉ้อฉลโดยจำเลยมีเจตนาจะให้ผิดสัญญาเพื่อโจทก์จะได้ฟ้องขับไล่จำเลยกับบริวารคือผู้ร้อง จึงขอร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยเพื่อขอให้ศาลรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) คำร้องสอดของผู้ร้องดังกล่าวเป็นการตั้งสิทธิเข้ามาในฐานะเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม เป็นปฏิปักษ์แก่ทั้งโจทก์และจำเลย หาใช่เข้ามาเพียงเป็นจำเลยต่อสู้คดีกับโจทก์โดยเฉพาะไม่ซึ่งถ้าศาลรับคำร้องสอดไว้ โจทก์จำเลยก็ต้องให้การแก้คำร้องสอด คำร้องสอดของผู้ร้องจึงเป็นคำฟ้อง และผู้ร้องอยู่ในฐานะเป็นโจทก์ ทั้งสิทธิที่ผู้ร้องอ้างว่าถูกโจทก์จำเลยโต้แย้งนี้ ผู้ร้องได้ฟ้องโจทก์จำเลยต่อศาลไว้ก่อน คดีอยู่ระหว่างพิจารณา คำร้องสอดของผู้ร้องจึงเป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา173(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3129/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องสอดเป็นฟ้องซ้อน: สิทธิสินสมรสและการฉ้อฉลสัญญาเช่า
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์แล้วผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่า โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าแล้วขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ผู้ร้องยื่นคำร้องสอดว่าผู้ร้องเป็นภรรยาของจำเลย ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นสินสมรสผู้ร้องมีส่วนเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง จำเลยนำไปขายฝากโดยผู้ร้องไม่ทราบ เมื่อผู้ร้องทราบได้ฟ้องจำเลยขอให้ลงชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดินพิพาทคดีอยู่ระหว่างพิจารณา ก่อนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทจะหลุดเป็นสิทธิแก่โจทก์ผู้ร้องได้ขอไถ่การขายฝากแต่โจทก์ไม่ให้ไถ่ ผู้ร้องได้ฟ้องโจทก์และจำเลยว่าสมคบกันไม่ยอมให้ผู้ร้องไถ่ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา และที่จำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์เป็นการฉ้อฉลโดยจำเลยมีเจตนาจะให้ผิดสัญญาเพื่อโจทก์จะได้ฟ้องขับไล่จำเลยกับบริวารคือผู้ร้อง จึงขอร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยเพื่อขอให้ศาลรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) คำร้องสอดของผู้ร้องดังกล่าวเป็นการตั้งสิทธิเข้ามาในฐานะเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม เป็นปฏิปักษ์แก่ทั้งโจทก์และจำเลย หาใช่เข้ามาเพียงเป็นจำเลยต่อสู้คดีกับโจทก์โดยเฉพาะไม่ซึ่งถ้าศาลรับคำร้องสอดไว้ โจทก์จำเลยก็ต้องให้การแก้คำร้องสอด คำร้องสอดของผู้ร้องจึงเป็นคำฟ้อง และผู้ร้องอยู่ในฐานะเป็นโจทก์ ทั้งสิทธิที่ผู้ร้องอ้างว่าถูกโจทก์จำเลยโต้แย้งนี้ ผู้ร้องได้ฟ้องโจทก์จำเลยต่อศาลไว้ก่อน คดีอยู่ระหว่างพิจารณา คำร้องสอดของผู้ร้องจึงเป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา173(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2952/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีสินสมรสหลังแก้กฎหมาย & ฟ้องซ้อนจากคดีเดิม
หญิงมีสามีฟ้องคดีภายหลังที่บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่แก้ไขใหม่มีผลใช้บังคับแล้ว อำนาจจัดการสินสมรสต้องใช้บทบัญญัติในบรรพ 5 ใหม่บังคับ ซึ่งมาตรา 1476 ได้บัญญัติให้สามีและภรรยาเป็นผู้จัดการสินสมรสร่วมกัน
โจทก์เป็นหญิงมีสามีได้ยื่นฟ้องคดีเกี่ยวกับการจัดการสินสมรสโดยลำพัง แต่ปรากฏในสำนวนว่าสามีโจทก์มาเบิกความเป็นพยานต่อศาลว่า ได้ให้ความยินยอมแก่โจทก์ในการฟ้องคดีนี้ตามกฎหมายแล้วตลอดมา จึงถือได้ว่าสามีโจทก์อนุญาตหรือยินยอมให้โจทก์ฟ้องคดีโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือในสำนวนความแล้ว และถือได้ว่าเป็นการแก้ไขในเรื่องความสามารถของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 แล้วด้วยโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
จำเลยที่ 1 เคยฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลย ขอให้ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายโดยรื้อถอนสิ่งปิดกั้นทางเดินทางเดียวกันกับคดีนี้ ขณะที่คดีดังกล่าวกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ที่ 2 ก็นำเรื่องเดียวกันนั้นมาฟ้องแย้งในคดีนี้อีก แม้คดีก่อนจำเลยที่ 2 จะมิได้ร่วมเป็นโจทก์ด้วย แต่จำเลยที่ 2 ก็อยู่ในฐานะที่จะได้รับประโยชน์หรือโทษจากผลแห่งคำพิพากษาในคดีก่อนเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 และการที่ฟ้องแย้งมีคำขอบังคับให้จดทะเบียนทางเดินเป็นทางการจำยอมอันเป็นคำขอให้บังคับเพิ่มเติมจากคดีก่อน ประเด็นที่พิพาทกันในคดีก่อนกับที่จำเลยฟ้องแย้งก็คงมีอยู่อย่างเดียวกัน ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองจึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2952/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีสินสมรสหลังแก้ไขกฎหมาย และฟ้องซ้อนจากประเด็นข้อตกลงทางเดิน
หญิงมีสามีฟ้องคดีภายหลังที่บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่แก้ไขใหม่มีผลใช้บังคับแล้วอำนาจจัดการสินสมรสต้องใช้บทบัญญัติในบรรพ 5 ใหม่บังคับซึ่งมาตรา 1476 ได้บัญญัติให้สามีและภรรยาเป็นผู้จัดการสินสมรสร่วมกัน
โจทก์เป็นหญิงมีสามีได้ยื่นฟ้องคดีเกี่ยวกับการจัดการสินสมรสโดยลำพังแต่ปรากฏในสำนวนว่าสามีโจทก์มาเบิกความเป็นพยานต่อศาลว่า "ได้ให้ความยินยอมแก่โจทก์ในการฟ้องคดีนี้ตามกฎหมายแล้วตลอดมา" จึงถือได้ว่าสามีโจทก์อนุญาตหรือยินยอมให้โจทก์ฟ้องคดีโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือในสำนวนความแล้วและถือได้ว่าเป็นการแก้ไขในเรื่องความสามารถของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 แล้วด้วยโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
จำเลยที่ 1 เคยฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลย ขอให้ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายโดยรื้อถอนสิ่งปิดกั้นทางเดินทางเดียวกันกับคดีนี้ขณะที่คดีดังกล่าวกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นจำเลยที่ 1 ที่ 2 ก็นำเรื่องเดียวกันนั้นมาฟ้องแย้งในคดีนี้อีกแม้คดีก่อนจำเลยที่ 2 จะมิได้ร่วมเป็นโจทก์ด้วยแต่จำเลยที่ 2 ก็อยู่ในฐานะที่จะได้รับประโยชน์หรือโทษจากผลแห่งคำพิพากษาในคดีก่อนเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 และการที่ฟ้องแย้งมีคำขอบังคับให้จดทะเบียนทางเดินเป็นทางภารจำยอมอันเป็นคำขอให้บังคับเพิ่มเติมจากคดีก่อนประเด็นที่พิพาทกันในคดีก่อนกับที่จำเลยฟ้องแย้งก็คงมีอยู่อย่างเดียวกันฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองจึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2883/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พินัยกรรมยกทรัพย์สินสมรสไม่ชอบ ศาลคุ้มครองสิทธิเจ้าของร่วม
ผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้จำเลย ถือไม่ได้ว่าเป็นการให้โดยเสน่หาจำเลยยกข้อต่อสู้ว่าเป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคมไม่ได้
การที่ผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์พิพาทอันเป็นสินสมรสซึ่งโจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของให้แก่จำเลยทั้งหมด พินัยกรรมเกี่ยวกับสินสมรสส่วนของโจทก์จึงไม่ชอบ โจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามทรัพย์ส่วนของตนคืนได้ จะนำอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240 อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเพิกถอนการฉ้อฉลปรับกรณีนี้มิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2562/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำนิติกรรมเกี่ยวกับสินสมรส: สิทธิของผู้จัดการสินสมรส และผลของการไม่ต่อสู้คดี
ปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 ซึ่งจะถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 แล้วหรือไม่นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้โดยแจ้งชัด ก็ไม่มีสิทธิยกขึ้นต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์
ในขณะที่จำเลยที่ 1 นำที่พิพาทไปขายฝากแก่โจทก์ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม มาตรา1468 และ 1473 ยังคงใช้บังคับอยู่ จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิเป็นผู้จัดการที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินบริคณห์ และมีอำนาจจำหน่ายสินบริคณห์ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวนั้นได้ โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 2 ผู้เป็นภริยา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2330/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งสินสมรสก่อน/หลังใช้ พ.ร.บ. บรรพ 5 และอายุความมรดก กรณีสามีภรรยาไม่ได้จดทะเบียนสมรส
ผู้ร้องสอดกับ ล. สมรสกันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 ดังนั้น หากมีข้อกล่าวอ้างถึงความสมบูรณ์ในเรื่องการสมรสหรือการหย่าขึ้นหลังจากได้มีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5ใช้บังคับแล้ว การสมรสหรือการหย่าจะมีผลสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้ปฏิบัติการให้เป็นไปตามบทกฎหมายขณะที่ใช้อยู่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องสอดกับ ล. มิได้จดทะเบียนหย่าให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1499 ข้ออ้างการหย่าที่จำเลยยกขึ้นอ้างจึงไม่มีผลตามกฎหมายแม้จะได้ความว่าคู่สมรสจะได้เลิกร้างแยกกันอยู่ ก็หาทำให้การเป็นสามีภรรยาของคู่สมรสขาดจากกันไม่
ที่ดินโฉนดพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องสอดกับ ล.ที่ไม่ได้มีการแบ่งแยกกันมาก่อน ต่อมา ล. ถึงแก่ความตายความเป็นสามีภรรยาระหว่างคนทั้งสองย่อมขาดจากกันนับแต่วันที่ ล. ตาย สินสมรสจึงต้องแยกจากกันและการแบ่งสินสมรสสำหรับบุคคลทั้งสอง แม้จะเป็นกรณีพิพาทกันหลังจากมีพระราชบัญญัติให้ใช้บัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ใช้บังคับแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนกับการสมรสและความสัมพันธ์ในครอบครัวอันเกิดแก่การสมรสนั้นๆ ซึ่งได้มีอยู่ก่อนวันใช้ประมวลกฎหมายบรรพนี้ ตามมาตรา 4(1) ของพระราชบัญญัติดังกล่าว การแบ่งสินสมรสของคนทั้งสองจึงต้องเป็นไปตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องสอดเป็นฝ่ายที่มีสินเดิมมาฝ่ายเดียวล. ไม่มีสินเดิมที่ดินตามโฉนดพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสจึงตกได้แก่ผู้ร้องสอดผู้เป็นสามีแต่ฝ่ายเดียวไม่เหลือตกเป็นมรดกของ ล.ผู้ตายไว้เลย ด้วยเหตุนี้ผู้ร้องสอดจึงไม่อยู่ในข่ายการนับอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 คดีของผู้ร้องสอดจึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2330/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สินสมรสก่อน-หลัง บรรพ 5, การหย่า, อายุความมรดก: การแบ่งสินสมรสต้องเป็นไปตามกฎหมายก่อน/หลังใช้ บรรพ 5, การหย่าโดยไม่ได้จดทะเบียน, และอายุความมรดก
ผู้ร้องสอดกับ ล. สมรสกันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 ดังนั้น หากมีข้อกล่าวอ้างถึงความสมบูรณ์ในเรื่องการสมรสหรือการหย่าขึ้นหลังจากได้มีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ใช้บังคับแล้ว การสมรสหรือการหย่าจะมีผลสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้ปฏิบัติการให้เป็นไปตามบทกฎหมายขณะที่ใช้อยู่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องสอดกับ ล. มิได้จดทะเบียนหย่าให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1499 ข้ออ้างการหย่าที่จำเลยยกขึ้นอ้างจึงไม่มีผลตามกฎหมาย แม้จะได้ความว่าคู่สมรสจะได้เลิกร้างแยกกันอยู่ ก็หาทำให้การเป็นสามีภรรยาของคู่สมรสขาดจากกันไม่
ที่ดินโฉนดพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องสอดกับ ล. ที่ไม่ได้มีการแบ่งแยกกันมาก่อน ต่อมา ล. ถึงแก่ความตาย ความเป็นสามีภรรยาระหว่างคนทั้งสองย่อมขาดจากกันนับแต่วันที่ ล. ตาย สินสมรสจึงต้องแยกจากกันและการแบ่งสินสมรสสำหรับบุคคลทั้งสอง แม้จะเป็นกรณีพิพาทกันหลังจากมีพระราชบัญญัติให้ใช้บัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ใช้บังคับแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนกับการสมรสและความสัมพันธ์ในครอบครัวอันเกิดแก่การสมรสนั้นๆ ซึ่งได้มีอยู่ก่อนวันใช้ประมวลกฎหมาย บรรพนี้ ตามมาตรา 4(1) ของพระราชบัญญัติดังกล่าว การแบ่งสินสมรสของคนทั้งสองจึงต้องเป็นไปตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องสอดเป็นฝ่ายที่มีสินเดิมมาฝ่ายเดียว ล. ไม่มีสินเดิมที่ดินตามโฉนดพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสจึงตกได้แก่ผู้ร้องสอดผู้เป็นสามีแต่ฝ่ายเดียวไม่เหลือตกเป็นมรดกของ ล. ผู้ตายไว้เลย ด้วยเหตุนี้ผู้ร้องสอดจึงไม่อยู่ในข่ายการนับอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 คดีของผู้ร้องสอดจึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1979/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจดทะเบียนหย่าเพื่อหลีกเลี่ยงหนี้สิน: ทรัพย์สินที่ได้มาหลังหย่าถือเป็นสินสมรส
ผู้ร้องและจำเลยที่ 1 จดทะเบียนหย่ากันเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ยึดทรัพย์ตามคำร้องขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ มิได้เจตนาหย่ากันจริงจัง โดยผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 ยังคงอยู่กินฉันสามีภริยาตลอดมา หลังจากจดทะเบียนหย่ากันแล้วดังนั้นทรัพย์สินที่ผู้ร้องซื้อหามาแม้จะโดยเงินของผู้ร้องเอง ก็ต้องถือว่าเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องและจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของร่วมกัน โจทก์มีสิทธิยึดทรัพย์ตามคำร้องได้ ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของร่วมไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้ปล่อยทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1726/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนี้ร่วมสินสมรส: สามีทำสัญญาเงินกู้เพื่อกิจการครอบครัว ภรรยาไม่มีสิทธิขอส่วนแบ่งจากทรัพย์สินที่ถูกบังคับชำระหนี้
จำเลยซึ่งเป็นสามีผู้ร้องกู้เงินมาลงทุนเอากำไรมาใช้จ่ายเลี้ยงครอบครัว เป็นหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินบริคณห์และการอุปการะเลี้ยงดู ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482 เดิม ให้ถือว่าเป็นหนี้ร่วมกันระหว่างสามีภรรยา ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอกันส่วนในเงินขายทอดตลาดที่ดินซึ่งเป็นสินสมรส
of 86