พบผลลัพธ์ทั้งหมด 5,764 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 780/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่าต้องมีเหตุอันสมควร และสัญญาประนีประนอมย่อมระงับสิทธิเรียกร้องเดิม การฟ้องซ้ำและอายุความ
เหตุหย่าในข้อจงใจละทิ้งร้างเกินกว่า 1 ปีนั้น ตราบใดที่ยังทิ้งร้างกันอยู่ ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องขอหย่าได้ ไม่ขาดอายุความ
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2502)
คดีก่อน ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยอ้างเหตุว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในข้อที่กล่าวหาว่าจำเลยร้องเรียนต่อกรมมหาดไทย เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ และที่ว่าจำเลยลงใจละทิ้งร้างโจทก์นั้น ในฟ้องไม่กล่าวว่า เหตุเกิดเมื่อใด ทิ้งร้างไปเมื่อใด โดยยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อโต้เถียงเรื่องการหย่าเลย โจทก์ฟ้องคดีหลังกล่าวหาว่าจำเลยร้องเรียนต่อกรมมหาดไทย และร้องเรียนต่อสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันและว่าจำเลยจงใจทิ้งร้างโจทก์เป็นเวลากว่า 1 ปี เป็นคนละประเด็น คนละเหตุไม่เป็นฟ้องซ้ำ
กล่าวฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไป ย่อมแสดงความหมายอยู่ในตัวแล้ว ไม่จำต้องกล่าวว่ากระทำการอย่างใด อันได้ชื่อว่าเป็นการจงใจละทิ้งร้าง ฟ้องเช่นนี้ไม่เคลือบคลุม
เมื่อปรากฏว่า โจทก์เองก็ไม่ต้องการจะให้จำเลยมาอยู่ร่วมกับโจทก์ โจทก์จะกลับมาฟ้องขอหย่าโดยอ้างเหตุว่าจำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์หาได้ไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอหย่าจำเลยตามข้ออ้างเช่นว่านี้
โจทก์ฟ้องขอหย่าอ้างเหตุว่า จำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน แต่ปรากฏว่า เป็นเรื่องเกิดขึ้นก่อนที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกัน โจทก์จะอ้างเหตุที่ว่านั้นมาเป็นข้อฟ้องหย่าหาได้ไม่ เพราะผลของสัญญาประนีประนอมนั้น ย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2502)
คดีก่อน ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยอ้างเหตุว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในข้อที่กล่าวหาว่าจำเลยร้องเรียนต่อกรมมหาดไทย เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ และที่ว่าจำเลยลงใจละทิ้งร้างโจทก์นั้น ในฟ้องไม่กล่าวว่า เหตุเกิดเมื่อใด ทิ้งร้างไปเมื่อใด โดยยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อโต้เถียงเรื่องการหย่าเลย โจทก์ฟ้องคดีหลังกล่าวหาว่าจำเลยร้องเรียนต่อกรมมหาดไทย และร้องเรียนต่อสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันและว่าจำเลยจงใจทิ้งร้างโจทก์เป็นเวลากว่า 1 ปี เป็นคนละประเด็น คนละเหตุไม่เป็นฟ้องซ้ำ
กล่าวฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไป ย่อมแสดงความหมายอยู่ในตัวแล้ว ไม่จำต้องกล่าวว่ากระทำการอย่างใด อันได้ชื่อว่าเป็นการจงใจละทิ้งร้าง ฟ้องเช่นนี้ไม่เคลือบคลุม
เมื่อปรากฏว่า โจทก์เองก็ไม่ต้องการจะให้จำเลยมาอยู่ร่วมกับโจทก์ โจทก์จะกลับมาฟ้องขอหย่าโดยอ้างเหตุว่าจำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์หาได้ไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอหย่าจำเลยตามข้ออ้างเช่นว่านี้
โจทก์ฟ้องขอหย่าอ้างเหตุว่า จำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน แต่ปรากฏว่า เป็นเรื่องเกิดขึ้นก่อนที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกัน โจทก์จะอ้างเหตุที่ว่านั้นมาเป็นข้อฟ้องหย่าหาได้ไม่ เพราะผลของสัญญาประนีประนอมนั้น ย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 780/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องหย่าขาดอายุความเมื่อใด? ศาลฎีกาชี้การทิ้งร้างยังไม่ขาดอายุความจนกว่าจะสิ้นสุด + ผลสัญญาประนีประนอม
เหตุหย่าในข้อจงใจละทิ้งร้างเกินกว่า 1 ปีนั้น ตราบใดที่ยังทิ้งร้างกันอยู่ ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องขอหย่าได้ไม่ขาดอายุความ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2502)
คดีก่อน ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยอ้างเหตุว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในข้อที่กล่าวหาว่าจำเลยร้องเรียนต่อกรมมหาดไทยเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ และที่ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์นั้น ในฟ้องไม่กล่าวว่า เหตุเกิดเมื่อใดทิ้งร้างไปเมื่อใด โดยยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อโต้เถียงเรื่องการหย่าเลย โจทก์ฟ้องคดีหลังกล่าวหาว่าจำเลยร้องเรียนต่อกรมมหาดไทย และร้องเรียนต่อสภาวัฒนธรรมแห่งชาติเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน และว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์เป็นเวลากว่า 1 ปี เป็นคนละประเด็น คนละเหตุไม่เป็นฟ้องซ้ำ
กล่าวฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไป ย่อมแสดงความหมายอยู่ในตัวแล้ว ไม่จำต้องกล่าวว่ากระทำการอย่างใดอันได้ชื่อว่าเป็นการจงใจละทิ้งร้าง ฟ้องเช่นนี้ไม่เคลือบคลุม
เมื่อปรากฏว่า โจทก์เองก็ไม่ต้องการจะให้จำเลยมาอยู่ร่วมกับโจทก์ โจทก์จะกลับมาฟ้องขอหย่าโดยอ้างเหตุว่าจำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์หาได้ไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอหย่าจำเลยตามข้ออ้างเช่นว่านี้
โจทก์ฟ้องขอหย่าอ้างเหตุว่า จำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน แต่ปรากฏว่า เป็นเรื่องเกิดขึ้นก่อนที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกัน โจทก์จะอ้างเหตุที่ว่านั้นมาเป็นข้อฟ้องหย่าหาได้ไม่ เพราะผลของสัญญาประนีประนอมนั้น ย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน
คดีก่อน ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยอ้างเหตุว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในข้อที่กล่าวหาว่าจำเลยร้องเรียนต่อกรมมหาดไทยเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ และที่ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์นั้น ในฟ้องไม่กล่าวว่า เหตุเกิดเมื่อใดทิ้งร้างไปเมื่อใด โดยยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อโต้เถียงเรื่องการหย่าเลย โจทก์ฟ้องคดีหลังกล่าวหาว่าจำเลยร้องเรียนต่อกรมมหาดไทย และร้องเรียนต่อสภาวัฒนธรรมแห่งชาติเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน และว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์เป็นเวลากว่า 1 ปี เป็นคนละประเด็น คนละเหตุไม่เป็นฟ้องซ้ำ
กล่าวฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไป ย่อมแสดงความหมายอยู่ในตัวแล้ว ไม่จำต้องกล่าวว่ากระทำการอย่างใดอันได้ชื่อว่าเป็นการจงใจละทิ้งร้าง ฟ้องเช่นนี้ไม่เคลือบคลุม
เมื่อปรากฏว่า โจทก์เองก็ไม่ต้องการจะให้จำเลยมาอยู่ร่วมกับโจทก์ โจทก์จะกลับมาฟ้องขอหย่าโดยอ้างเหตุว่าจำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์หาได้ไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอหย่าจำเลยตามข้ออ้างเช่นว่านี้
โจทก์ฟ้องขอหย่าอ้างเหตุว่า จำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน แต่ปรากฏว่า เป็นเรื่องเกิดขึ้นก่อนที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกัน โจทก์จะอ้างเหตุที่ว่านั้นมาเป็นข้อฟ้องหย่าหาได้ไม่ เพราะผลของสัญญาประนีประนอมนั้น ย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 769/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความการเรียกคืนที่ดินหลังศาลฎีกาพิพากษาเพิกถอนนิติกรรม การฟ้องภายใน 1 ปี นับจากวันที่ทราบคำพิพากษาไม่ขาดอายุความ
โจทก์จำเลยตกลงแลกเปลี่ยนที่ดินต่อกันโดยต่างทำนิติกรรมยกให้ที่ดินซึ่งกันและกัน ภายหลังศาลฎีกาได้พิพากษาว่า นิติกรรมที่จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ตกเป็นโมฆะ โจทก์ต้องคืนที่ดินให้จำเลย ดังนี้ เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยภายใน 1 ปี นับแต่วันทราบคำพิพากษาศาลฎีกา ขอให้จำเลยคืนที่ดินซึ่งจำเลยรับโอนจากโจทก์ไม่ว่าศาลจะวินิจฉัยเรื่องอายุความในลักษณะขอให้เพิกถอนนิติกรรมหรือเรียกคืนลาภอันมิควรได้หรือในลักษณะใด คดีของโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 769/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความเรียกคืนที่ดินหลังศาลพิพากษาเพิกถอนนิติกรรม การฟ้องภายใน 1 ปี นับจากวันที่ทราบคำพิพากษา ไม่ขาดอายุความ
โจทก์จำเลยตกลงแลกเปลี่ยนที่ดินต่อกันโดยต่างทำนิติกรรมยกให้ที่ดินซึ่งกันและกัน ภายหลังศาลฎีกาได้พิพากษาว่า นิติกรรมที่จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ตกเป็นโมฆะ โจทก์ต้องคืนที่ดินให้จำเลย ดังนี้ เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยภายใน 1 ปี นับแต่วันทราบคำพิพากษาศาลฎีกา ขอให้จำเลยคืนที่ดินซึ่งจำเลยรับโอนจากโจทก์ ไม่ว่าศาลจะวินิจฉัยเรื่องอายุความในลักษณะขอให้เพิกถอนนิติกรรมหรือเรียกคืนลาภอันมิควรได้หรือในลักษณะใด คดีของโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 75/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความครอบครองปรปักษ์: ที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญและไม่ได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัย
ที่พิพาทไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินและไม่ได้ใช้เป็นที่บ้านอยู่อาศัย ทั้งไม่เป็นที่ดินซึ่งได้รับความคุ้มครองตาม ก.ม. ลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ 42 การฟ้องคดี เพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองต้องใช้บทอายุความตาม ป.พ.พ.ม. 1375 คือ ต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง
โจทก์เสียค่าขึ้นศาลสำหรับค่าเสียหายที่ฟ้องเรียกมาในทุนทรัพย์ 2,000 บาท ตามฟ้องเดิม เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้ค่าเสียหายเพียง 1,200 บาท และโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์คัดค้าน ทั้งในชั้นฎีกาโจทก์ก็ขอให้พิพากษาตามศาลชั้นต้น เช่นนี้ เรียกค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาจากโจทก์เพียงในทุนทรัพย์ 1,200 บาทเท่านั้น ไม่ใช่ในทุนทรัพย์ 2,000 บาท ตามฟ้องเดิม.
โจทก์เสียค่าขึ้นศาลสำหรับค่าเสียหายที่ฟ้องเรียกมาในทุนทรัพย์ 2,000 บาท ตามฟ้องเดิม เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้ค่าเสียหายเพียง 1,200 บาท และโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์คัดค้าน ทั้งในชั้นฎีกาโจทก์ก็ขอให้พิพากษาตามศาลชั้นต้น เช่นนี้ เรียกค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาจากโจทก์เพียงในทุนทรัพย์ 1,200 บาทเท่านั้น ไม่ใช่ในทุนทรัพย์ 2,000 บาท ตามฟ้องเดิม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 752/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความเริ่มนับแต่วันผิดนัด ไม่ใช่แค่วันที่รู้ตัวการ
โจทก์เป็นพ่อค้าเครื่องยนต์เพื่ออุตสาหกรรมตัวแทนของจำเลยได้ตกลงจะชำระหนี้ค่าซื้อเครื่องยนต์เช่นว่านั้นให้โจทก์ภายในวันที่ 24 ก.ค. 2493 เมื่อถึงกำหนด ไม่มีการชำระหนี้ เช่นนี้ ต้องถือว่า จำเลยซึ่งเป็นตัวการผิดนัดด้วย โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องแก่จำเลยได้ตั้งแต่วันผิดนัด คือวันที่ 24 ก.ค. 2493 อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่นั้นมา โจทก์มายื่นฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2499 เกิน 5 ปีแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความ
ป.พ.พ. มาตรา 165 (1) และ มาตรา 165 วรรค 2 เกี่ยวกับการนับอายุความ ให้เริ่มนับแต่วันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เท่านั้น ไม่ได้กล่าวถึง วันรู้ (คือ วันที่โจทก์รู้ว่าจำเลยเป็นตัวการ) จะนำมาสงเคราะห์เทียบเคียงกันไม่ได้กับ ป.พ.พ. มาตรา 448 เรื่องละเมิด ซึ่งมีอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้ที่จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
สิทธิเรียกร้องของโจทก์เกิดขึ้นโดยตัวแทนของจำเลยไปซื้อเครื่องยนต์ จากโจทก์และตัวแทนของจำเลยตกลงจะชำระหนี้ให้ ต่อมาไม่มีการชำระหนี้เมื่อเกิดผิดนัดขึ้นเมื่อใด ก็เกิดสิทธิเรียกร้องที่โจทก์อาจบังคับแก่จำเลยได้ตั้งแต่นั้นมา มิใช่ว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์จะเพิ่งมาตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาคดีระหว่างโจทก์กับตัวแทนของจำเลยในเรื่องหนี้สินรายเดียวกันนี้
ป.พ.พ. มาตรา 165 (1) และ มาตรา 165 วรรค 2 เกี่ยวกับการนับอายุความ ให้เริ่มนับแต่วันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เท่านั้น ไม่ได้กล่าวถึง วันรู้ (คือ วันที่โจทก์รู้ว่าจำเลยเป็นตัวการ) จะนำมาสงเคราะห์เทียบเคียงกันไม่ได้กับ ป.พ.พ. มาตรา 448 เรื่องละเมิด ซึ่งมีอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้ที่จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
สิทธิเรียกร้องของโจทก์เกิดขึ้นโดยตัวแทนของจำเลยไปซื้อเครื่องยนต์ จากโจทก์และตัวแทนของจำเลยตกลงจะชำระหนี้ให้ ต่อมาไม่มีการชำระหนี้เมื่อเกิดผิดนัดขึ้นเมื่อใด ก็เกิดสิทธิเรียกร้องที่โจทก์อาจบังคับแก่จำเลยได้ตั้งแต่นั้นมา มิใช่ว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์จะเพิ่งมาตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาคดีระหว่างโจทก์กับตัวแทนของจำเลยในเรื่องหนี้สินรายเดียวกันนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 752/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความเริ่มนับแต่วันผิดนัด ไม่ใช่วันที่รู้ตัวการ สิทธิเรียกร้องเกิดเมื่อมีการผิดนัดชำระหนี้
โจทก์เป็นพ่อค้าเครื่องยนต์เพื่ออุตสาหกรรม ตัวแทนของจำเลยได้ตกลงจะชำระหนี้ค่าซื้อเครื่องยนต์เช่นว่านั้นให้โจทก์ภายในวันที่ 24 ก.ค.2493 เมื่อถึงกำหนดไม่มีการชำระหนี้ เช่นนี้ ต้องถือว่าจำเลยซึ่งเป็นตัวการผิดนัดด้วย โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องแก่จำเลยได้ตั้งแต่วันผิดนัด คือ วันที่ 24 ก.ค.2493 อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่นั้นมา โจทก์มายื่นฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2499 เกิน 5 ปีแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) และ มาตรา 165 วรรคสอง เกี่ยวกับการนับอายุความ ให้เริ่มนับแต่วันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เท่านั้น ไม่ได้กล่าวถึงวันรู้ (คือ วันที่โจทก์รู้ว่าจำเลยเป็นตัวการ) จะนำมาสงเคราะห์เทียบเคียงกันไม่ได้กับ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448เรื่องละเมิด ซึ่งมีอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้ที่จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
สิทธิเรียกร้องของโจทก์เกิดขึ้นโดยตัวแทนของจำเลยไปซื้อเครื่องยนต์จากโจทก์และตัวแทนของจำเลยตกลงจะชำระหนี้ให้ต่อมาไม่มีการชำระหนี้เมื่อเกิดผิดนัดขึ้นเมื่อใด ก็เกิดสิทธิเรียกร้องที่โจทก์ อาจบังคับแก่จำเลยได้ตั้งแต่นั้นมามิใช่ว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์จะเพิ่งมาตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาคดีระหว่างโจทก์กับตัวแทนของจำเลยในเรื่องหนี้สินรายเดียวกันนี้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) และ มาตรา 165 วรรคสอง เกี่ยวกับการนับอายุความ ให้เริ่มนับแต่วันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เท่านั้น ไม่ได้กล่าวถึงวันรู้ (คือ วันที่โจทก์รู้ว่าจำเลยเป็นตัวการ) จะนำมาสงเคราะห์เทียบเคียงกันไม่ได้กับ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448เรื่องละเมิด ซึ่งมีอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้ที่จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
สิทธิเรียกร้องของโจทก์เกิดขึ้นโดยตัวแทนของจำเลยไปซื้อเครื่องยนต์จากโจทก์และตัวแทนของจำเลยตกลงจะชำระหนี้ให้ต่อมาไม่มีการชำระหนี้เมื่อเกิดผิดนัดขึ้นเมื่อใด ก็เกิดสิทธิเรียกร้องที่โจทก์ อาจบังคับแก่จำเลยได้ตั้งแต่นั้นมามิใช่ว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์จะเพิ่งมาตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาคดีระหว่างโจทก์กับตัวแทนของจำเลยในเรื่องหนี้สินรายเดียวกันนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 75/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความครอบครองปรปักษ์ที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญ และการคำนวณค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่พิพากษา
ที่พิพาทไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินและไม่ได้ใช้เป็นที่บ้านอยู่อาศัย ทั้งไม่เป็นที่ดินซึ่งได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ 42 การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองต้องใช้บทอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 คือ ต้องฟ้องภายใน1 ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง
โจทก์เสียค่าขึ้นศาลสำหรับค่าเสียหายที่ฟ้องเรียกมาในทุนทรัพย์ 2,000 บาท ตามฟ้องเดิมเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้ค่าเสียหายเพียง 1,200 บาทและโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์คัดค้านทั้งในชั้นฎีกาโจทก์ก็ขอให้พิพากษาตามศาลชั้นต้น เช่นนี้ เรียกค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาจากโจทก์เพียงในทุนทรัพย์ 1,200 บาทเท่านั้น ไม่ใช่ในทุนทรัพย์ 2,000 บาท ตามฟ้องเดิม
โจทก์เสียค่าขึ้นศาลสำหรับค่าเสียหายที่ฟ้องเรียกมาในทุนทรัพย์ 2,000 บาท ตามฟ้องเดิมเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้ค่าเสียหายเพียง 1,200 บาทและโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์คัดค้านทั้งในชั้นฎีกาโจทก์ก็ขอให้พิพากษาตามศาลชั้นต้น เช่นนี้ เรียกค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาจากโจทก์เพียงในทุนทรัพย์ 1,200 บาทเท่านั้น ไม่ใช่ในทุนทรัพย์ 2,000 บาท ตามฟ้องเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 608/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีมรดกและการยกข้อต่อสู้เรื่องอายุความโดยจำเลยที่ไม่ใช่ทายาท
โจทก์ฟ้องเรียกบ้านพิพาทโดยอ้างกรรมสิทธิ์ตามพินัยกรรมของบิดาโจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าได้ซื้อบ้านพิพาทไว้จากบิดาโจทก์ มิได้ต่อสู้อ้างเหตุว่าจำเลยเป็นภรรยาทายาทผู้รับมรดกของบิดาโจทก์อันเป็นประเด็นเกี่ยวกับอายุความฟ้องเกิน 1 ปี เช่นนี้ คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับอายุความมรดก เพราะคนภายนอกมายกอายุความมรดกต่อสู้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 608/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งกรรมสิทธิ์บ้านตามพินัยกรรม: ประเด็นอายุความและการต่อสู้เรื่องการซื้อขาย
โจทก์ฟ้องเรียกบ้านพิพาทโดยอ้างกรรมสิทธิ์ตามพินัยกรรมของบิดาโจทก์จำเลยต่อสู้ว่าได้ซื้อบ้านพิพาทไว้จากบิดาโจทก์ มิได้ต่อสู้อ้างเหตุว่าจำเลยเป็นภรรยาทายาทผู้รับมรดกของบิดาโจทก์อันเป็นประเด็นเกี่ยวกับอายุความฟ้องเกิน 1 ปีเช่นนี้ คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับอายุความมรดกเพราะคนภายนอกมายกอายุความมรดกต่อสู้ไม่ได้