พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6,814 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9012/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายยาเสพติด: การส่งมอบยาให้ตำรวจถือเป็นความผิดฐานจำหน่าย แม้ยังไม่ได้รับเงิน
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 นิยามคำว่า "จำหน่าย" หมายความถึง ขาย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน ให้ การที่จำเลยส่งมอบเมทแอมเฟตามีนให้เจ้าพนักงานตำรวจตรวจดูโดยไม่รู้ว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ แม้ว่าเจ้าพนักงานตำรวจจะยังมิได้ส่งมอบเงินค่าเมทแอมเฟตามีนให้แก่จำเลย การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแล้ว มิใช่เป็นเพียงความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้โจทก์มิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง แต่ไม่อาจแก้โทษที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามา เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8154/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมและการริบของกลางที่ศาลล่างละเลย
ความผิดสองกระทงหลังโจทก์ฟ้องเฉพาะฐานปลอมเอกสารมิได้ฟ้องฐานใช้เอกสารปลอมด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 225
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตาม ป.อ.มาตรา 264,266 (4), 268, 335 (7) (11), 32, 33, 83, 91 และขอให้ริบของกลางคือเช็ค 2 ฉบับ ที่จำเลยทั้งสองลักไปและทำการปลอมด้วย แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้มีคำวินิจฉัยว่าจะริบของกลางนั้นหรือไม่ คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยป.วิ.อ.มาตรา 186 (9) แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 และการริบทรัพย์สินของกลางนี้ไม่เป็นการเพิ่มโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามตามมาตรา 212
เช็คของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองลักไปแล้วทำการปลอมเช็คจึงให้ริบ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตาม ป.อ.มาตรา 264,266 (4), 268, 335 (7) (11), 32, 33, 83, 91 และขอให้ริบของกลางคือเช็ค 2 ฉบับ ที่จำเลยทั้งสองลักไปและทำการปลอมด้วย แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้มีคำวินิจฉัยว่าจะริบของกลางนั้นหรือไม่ คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยป.วิ.อ.มาตรา 186 (9) แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 และการริบทรัพย์สินของกลางนี้ไม่เป็นการเพิ่มโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามตามมาตรา 212
เช็คของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองลักไปแล้วทำการปลอมเช็คจึงให้ริบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7965/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามให้ทรัพย์สินแก่ผู้เลือกตั้งเพื่อจูงใจลงคะแนน และการครอบครองอาวุธปืน
การที่จำเลยนำธนบัตรของกลางจะไปแจกจ่ายให้แก่ผู้เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยนำธนบัตรและรายชื่อผู้เลือกตั้งของกลางซุกซ่อนไว้ในรถยนต์เกิดเหตุแล่นไปในหมู่บ้านอันเป็นเขตเลือกตั้ง ลักษณะการกระทำดังกล่าวเป็นการดำเนินการลุล่วงไปถึงขั้นตอนสุดท้ายพร้อมที่จะให้ธนบัตรของกลางแก่ผู้เลือกตั้งทันที เพื่อจะจูงใจให้ผู้เลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้รับสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การกระทำดังกล่าวใกล้ชิดต่อความผิดสำเร็จ ถือได้ว่าจำเลยลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอดเพราะถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเสียก่อน จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามให้ทรัพย์สินแก่ผู้เลือกตั้ง เพื่อจะจูงใจให้ผู้เลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 35 (1) ประกอบ ป.อ. มาตรา 80
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7959/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบทรัพย์สินจากความผิดยาเสพติด: ต้องมีการฟ้องและพิสูจน์ความผิดฐานจำหน่ายเสียก่อน จึงจะริบได้
ศาลจะสั่งริบทรัพย์สินที่จำเลยได้มาโดยได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(2) ได้ก็ต่อเมื่อมีการกระทำความผิดนั้นและโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดนั้นด้วย
จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแต่ยังมิได้จำหน่ายให้แก่ลูกค้า เจ้าพนักงานตำรวจก็จับจำเลยพร้อมกับยึดยาเสพติดให้โทษดังกล่าวและธนบัตรของกลางได้เสียก่อน ธนบัตรของกลางจึงไม่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ หรือวัตถุอื่น ซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 102
เมื่อไม่มีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางเกิดขึ้นและโจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโจทก์จะขอให้ศาลสั่งริบเงินของกลางโดยอ้างว่าจำเลยได้มาจากการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษหาได้ไม่ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ ศาลก็ไม่อาจสั่งริบธนบัตรของกลางดังกล่าวได้และต้องคืนให้แก่เจ้าของ แม้จำเลยจะไม่ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแต่ยังมิได้จำหน่ายให้แก่ลูกค้า เจ้าพนักงานตำรวจก็จับจำเลยพร้อมกับยึดยาเสพติดให้โทษดังกล่าวและธนบัตรของกลางได้เสียก่อน ธนบัตรของกลางจึงไม่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ หรือวัตถุอื่น ซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 102
เมื่อไม่มีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางเกิดขึ้นและโจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโจทก์จะขอให้ศาลสั่งริบเงินของกลางโดยอ้างว่าจำเลยได้มาจากการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษหาได้ไม่ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ ศาลก็ไม่อาจสั่งริบธนบัตรของกลางดังกล่าวได้และต้องคืนให้แก่เจ้าของ แม้จำเลยจะไม่ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7959/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบทรัพย์สินจากการกระทำผิดยาเสพติด ต้องมีฟ้องและพิสูจน์การกระทำความผิดฐานจำหน่ายด้วย
ศาลจะสั่งริบทรัพย์สินที่จำเลยได้มาโดยได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(2) ได้ก็ต่อเมื่อมีการกระทำความผิดนั้นและโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดนั้นด้วย
จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแต่ยังมิได้จำหน่ายให้แก่ลูกค้า เจ้าพนักงานตำรวจก็จับจำเลยพร้อมกับยึดยาเสพติดให้โทษดังกล่าวและธนบัตรของกลางได้เสียก่อน ธนบัตรของกลางจึงไม่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้หรือวัตถุอื่น ซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102
เมื่อไม่มีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางเกิดขึ้นและโจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโจทก์จะขอให้ศาลสั่งริบของกลางโดยอ้างว่าจำเลยได้มาจากการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษหาได้ไม่แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ศาลก็ไม่อาจสั่งริบธนบัตรของกลางดังกล่าวได้และต้องคืนให้แก่เจ้าของแม้จำเลยจะไม่ยกขึ้นฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแต่ยังมิได้จำหน่ายให้แก่ลูกค้า เจ้าพนักงานตำรวจก็จับจำเลยพร้อมกับยึดยาเสพติดให้โทษดังกล่าวและธนบัตรของกลางได้เสียก่อน ธนบัตรของกลางจึงไม่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้หรือวัตถุอื่น ซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102
เมื่อไม่มีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางเกิดขึ้นและโจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโจทก์จะขอให้ศาลสั่งริบของกลางโดยอ้างว่าจำเลยได้มาจากการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษหาได้ไม่แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ศาลก็ไม่อาจสั่งริบธนบัตรของกลางดังกล่าวได้และต้องคืนให้แก่เจ้าของแม้จำเลยจะไม่ยกขึ้นฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7909/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ต้นเงินกู้ยืมและดอกเบี้ยเป็นสิทธิแยกกัน แม้ดอกเบี้ยผิดกฎหมายก็ไม่กระทบสิทธิรับต้นเงิน การออกเช็คที่ไม่มีเงินในบัญชีเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค
หนี้ต้นเงินกู้ยืมที่จำเลยออกเช็คพิพาทสั่งจ่ายให้แก่โจทก์กับดอกเบี้ยของต้นเงินกู้ยืมเป็นหนี้คนละส่วนแยกต่างหากจากกันได้ แม้จำนวนดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกเก็บจากจำเลยจะเกินจากอัตราที่กฎหมายกำหนดหรือเป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยก็คงมีผลแต่เพียงว่าโจทก์สิ้นสิทธิในการได้รับดอกเบี้ยที่คิดเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดหรือไม่อาจคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยเท่านั้น แต่หาได้สิ้นสิทธิที่จะได้รับต้นเงินกู้ยืมไม่ และหากจำเลยชำระดอกเบี้ยไปแล้วก็หาอาจที่จะเรียกคืนหรือนำไปหักจากต้นเงินกู้ยืมได้ไม่ เมื่อเช็คพิพาทที่จำเลยออกมิได้รวมดอกเบี้ยที่มิชอบเข้าไว้ด้วย การออกเช็คพิพาทของจำเลยจึงเป็นการออกเช็คชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อเช็คดังกล่าวไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้เพราะขณะที่ออกไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงใช้เงินได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7722/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานลักทรัพย์: การร่วมกระทำผิดกับผู้อื่น และขอบเขตความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้าง
แม้ว่าเงินที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ลักมาจะเป็นเงินของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 2 มิได้เป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วมด้วย จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ของนายจ้างได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7370/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเป็นต้องมีหลักฐานแสดงพฤติการณ์ร่วมกระทำความผิด
ก่อนจับกุมจำเลยทั้งห้า เจ้าพนักงานตำรวจซุ่มดูเห็นจำเลยที่ 1เดินออกจากกระท่อมไปหยิบกระบอกไม้ไผ่ที่บริเวณข้างเปลที่จำเลยที่ 5นอนอยู่ แล้วนำไปซุกซ่อนในถังซีเมนต์ซึ่งอยู่ห่างจากกระท่อมประมาณ18 เมตร เมื่อตรวจค้นกระบอกไม้ไผ่พบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 82 เม็ดบรรจุอยู่ และพบจำเลยที่ 2 หลบซ่อนนอนหมอบอยู่ในสวนห่างจากถังซีเมนต์ประมาณ 15 เมตร มีถุงย่ามวางอยู่ห่างจากจำเลยที่ 2 ประมาณ2 เมตร ภายในถุงย่ามมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 600 เม็ด เจ้าพนักงานตำรวจได้ตรวจค้นภายในกระท่อมพบจำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยจำเลยที่ 3 นอนหลับอยู่ดังนี้ ตามพฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางนอกกระท่อมและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดคือจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นเพียงผู้มาอาศัยพักผ่อนภายในกระท่อมเท่านั้น พยานโจทก์มิได้เบิกความเลยว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้กระทำการอย่างใดอันแสดงให้เห็นว่ารู้เห็นและร่วมกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายทั้งขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 3 และที่ 4 ก็อยู่ภายในกระท่อม พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาไม่มีน้ำหนักพอให้ฟังว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกระทำผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7140/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนโดยผู้อื่นใช้ให้ทำ ไม่ถือว่ามีเจตนายึดถือเพื่อตน
จำเลยที่ 1 เป็นผู้ติดต่อจากการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางกับจ่าสิบตำรวจ ส.กับพวก จำเลยที่ 2 มิได้ร่วมในการเจรจาซื้อขายเมทแอมเฟตามีนของกลางระหว่างจำเลยที่ 1 ข.และเจ้าพนักงานตำรวจผู้ล่อซื้อ การเจรจาซื้อขายตกลงกันเรียบร้อยก่อนที่จำเลยที่ 2 จะเข้ามายังที่เกิดเหตุ การที่จำเลยที่ 2 เข้าไปดูเงินที่ใช้ล่อซื้อที่ท้ายรถยนต์ของจ่าสิบตำรวจ ส. ก็เพราะ ข. ให้จำเลยที่ 2 ไปดูเพื่อให้แน่ใจว่าเงินยังอยู่ หลังจากที่ ข. ไปตรวจนับมาแล้วครั้งหนึ่ง ส่วนการที่จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ออกไปเอาเมทแอมเฟตามีนของกลางก็เพราะ ข. ใช้ให้ไปเอาซึ่งต้องถือว่าการครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลาง ข. ยังเป็นผู้ครอบครองอยู่จำเลยที่ 2 นำเมทแอมเฟตามีนมายังที่เกิดเหตุเป็นเพียงการนำมาแทน ข. โดยจำเลยที่ 2 ทำตามที่ ข. สั่ง มิได้มีเจตนายึดถือเพื่อตน การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นเพียงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 และ ข. กระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตาม ป.อ.มาตรา 86
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7027/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อไม่ปิดอากรแสตมป์ ทำให้หนี้ไม่บังคับได้ การออกเช็คจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค
เมื่อสัญญาเช่าซื้อที่ถือว่าเป็นมูลหนี้ตามเช็คพิพาทมิได้ปิดอากรแสตมป์จึงต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 และรับฟังไม่ได้ว่ามีการทำสัญญาเช่าซื้อกันเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 ฉะนั้น หนี้ตามสัญญาเช่าซื้อย่อมไม่อาจบังคับได้ตามกฎหมาย
เมื่อวันที่เช็คพิพาทถึงกำหนดใช้เงินอันถือว่าเป็นวันที่จำเลยออกเช็คชำระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อรายนี้ยังบังคับตามกฎหมายไม่ได้เช่นนี้การออกเช็คของจำเลยจึงมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่บังคับได้ตามกฎหมาย และการกระทำของจำเลยย่อมขาดองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 4 จำเลยจึงไม่มีความผิด
เมื่อวันที่เช็คพิพาทถึงกำหนดใช้เงินอันถือว่าเป็นวันที่จำเลยออกเช็คชำระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อรายนี้ยังบังคับตามกฎหมายไม่ได้เช่นนี้การออกเช็คของจำเลยจึงมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่บังคับได้ตามกฎหมาย และการกระทำของจำเลยย่อมขาดองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 4 จำเลยจึงไม่มีความผิด