พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,887 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 882/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลูกหนี้ร่วมรับผิดชอบหนี้ตามคำพิพากษาจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น แม้มีการชำระหนี้บางส่วนแล้ว
แม้หนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ลูกหนี้ที่ 2 ร่วมรับผิดกับลูกหนี้ที่ 1 และจำเลยอื่นในต้นเงิน 40,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยลูกหนี้ที่ 2 จึงต้องผูกพันชำระหนี้ในส่วนที่ลูกหนี้ที่ 2 จะต้องรับผิดจนกว่าจะชำระหนี้ส่วนที่ตนต้องรับผิดจนครบหรือจนกว่าเจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้วเมื่อเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากการบังคับจำนอง และมีลูกหนี้ร่วมอื่นชำระหนี้ให้เจ้าหนี้จำนวน 16,774,820 บาท แต่ก็นำไปชำระหนี้ได้เพียงดอกเบี้ยส่วนหนึ่งของหนี้ที่ค้างชำระเท่านั้น จึงมีหนี้ที่ลูกหนี้ที่ 1 ต้องชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยอยู่เป็นจำนวน 76,321,642.55 บาท ส่วนที่ลูกหนี้ที่ 2 ยังไม่ได้ชำระให้แก่เจ้าหนี้ในส่วนที่ลูกหนี้ที่ 2 ต้องรับผิดเลย เมื่อเจ้าหนี้ยังมิได้รับชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้วลูกหนี้ที่ 2 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมจึงต้องรับผิดชำระหนี้ในส่วนที่ตนต้องรับผิดตามคำพิพากษาดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 882/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลูกหนี้ร่วมรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษา แม้มีการชำระหนี้บางส่วนโดยลูกหนี้อื่น
แม้หนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้ลูกหนี้ที่2ร่วมรับผิดกับลูกหนี้ที่1และจำเลยอื่นในต้นเงิน40,000,000บาทพร้อมดอกเบี้ยลูกหนี้ที่2จึงต้องผูกพันชำระหนี้ในส่วนที่ลูกหนี้ที่2จะต้องรับผิดจนกว่าจะชำระหนี้ส่วนที่ตนต้องรับผิดจนครบหรือจนกว่าเจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้วเมื่อเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากการบังคับจำนองและมีลูกหนี้ร่วมอื่นชำระหนี้ให้เจ้าหนี้จำนวน16,774,820บาทแต่ก็นำไปชำระหนี้ได้เพียงดอกเบี้ยส่วนหนึ่งของหนี้ที่ค้างชำระเท่านั้นจึงมีหนี้ที่ลูกหนี้ที่1ต้องชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยอยู่เป็นจำนวน76,321,642.55บาทส่วนที่ลูกหนี้ที่2ยังไม่ได้ชำระให้แก่เจ้าหนี้ในส่วนที่ลูกหนี้ที่2ต้องรับผิดเลยเมื่อเจ้าหนี้ยังมิได้รับชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้วลูกหนี้ที่2ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมจึงต้องรับผิดชำระหนี้ในส่วนที่ตนต้องรับผิดตามคำพิพากษาดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8759/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดเวลาบังคับคดีตามคำพิพากษา: เริ่มนับจากวันคดีถึงที่สุด
บทบัญญัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 ที่ว่า นับแต่วันมีคำพิพากษา หมายความว่า วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2526 ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม2526 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง โจทก์ขอให้ศาลออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2526 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกคำบังคับและได้มีการส่งคำบังคับให้จำเลยโดยการปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2526ต่อมาวันที่ 8 มกราคม 2535 โจทก์ยื่นคำขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและได้ออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 27 มกราคม2535 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ออกประกาศลงวันที่ 25 มิถุนายน 2536 ว่าจะทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามคำพิพากษาในวันที่ 5 กรกฎาคม 2536 และหรือในวันต่อ ๆไปจนกว่าจะทำการแล้วเสร็จ แสดงว่า โจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ได้ประกาศว่าจะทำการบังคับคดีโดยการรื้อถอนอาคารตามประกาศลงวันที่25 มิถุนายน 2536 อันเป็นการดำเนินการบังคับคดีตั้งแต่วันดังกล่าวแล้วซึ่งเป็นเวลาภายในกำหนด 10 ปี ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 271 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8759/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดเวลาบังคับคดี 10 ปี เริ่มนับจากวันคดีถึงที่สุด ไม่ใช่วันมีคำพิพากษา
บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271ที่ว่า นับแต่วันมีคำพิพากษา หมายความว่า วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30มิถุนายน 2526 ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2526 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 147 วรรคสอง โจทก์ขอให้ศาลออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2526 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกคำบังคับและได้มีการส่งคำบังคับให้จำเลยโดยการปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2526 ต่อมาวันที่8 มกราคม 2535 โจทก์ยื่นคำขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและได้ออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2535เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ออกประกาศลงวันที่ 25 มิถุนายน 2536ว่าจะทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามคำพิพากษาในวันที่5 กรกฎาคม 2536 และหรือในวันต่อ ๆ ไปจนกว่าจะทำการแล้วเสร็จแสดงว่า โจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ได้ประกาศว่าจะทำการบังคับคดีโดยการรื้อถอนอาคารตามประกาศลงวันที่ 25 มิถุนายน 2536 อันเป็นการดำเนินการบังคับคดีตั้งแต่วันดังกล่าวแล้วซึ่งเป็นเวลาภายในกำหนด 10 ปีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 271 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7973/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาคดีก่อนกับคู่ความร่วม และสิทธิช่วงสิทธิจากเจ้าหนี้เดิม
คดีที่ธนาคารฟ้องโจทก์กับจำเลยคดีนี้แม้โจทก์กับจำเลยคดีนี้จะเป็นจำเลยด้วยกันในคดีดังกล่าวก็ตามก็ต้องถือว่าโจทก์กับจำเลยเป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลในคดีก่อนด้วยคำพิพากษาในคดีก่อนจึงมีผลผูกพันโจทก์กับจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7824/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับการชำระหนี้ตามคำพิพากษา: ไถ่ถอนจำนองก่อนโอนที่ดิน
คำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งถึงที่สุดไปแล้วบังคับให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับธนาคารแล้วให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์จำนวนสามในสี่ส่วน หากเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 และหากจำเลยที่ 1และที่ 2 ไม่สามารถโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์โดยปลอดค่าภาระติดพันก็ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เป็นการกำหนดให้จำเลยที่ 1และที่ 2 กระทำการชำระหนี้ทีละอย่างก่อนหลังตามลำดับ กล่าวคือหากไม่สามารถจะกระทำอย่างแรกแล้วจึงให้กระทำอย่างหลัง ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีหลายอย่าง แต่จะต้องกระทำเพียงการใดการหนึ่งแต่อย่างเดียวอันลูกหนี้จะพึงเลือกได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 198 จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องปฏิบัติการชำระตามขั้นตอนที่ระบุไว้ตามลำดับในคำพิพากษา กล่าวคือ จำเลยที่ 2 ต้องไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับธนาคารก่อน แล้วให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนโอนให้โจทก์จำนวนสามในสี่ส่วน โดยปลอดค่าภาระติดพันตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเมื่อการจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองเป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 สามารถปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ แต่จำเลยที่ 2 ไม่ยอมปฏิบัติ กลับนำเงินไปวางต่อกรมบังคับคดีเพื่อให้โจทก์รับไปเป็นค่าเสียหายแทนการรับโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามส่วนของโจทก์ โจทก์ก็ชอบที่จะไถ่ถอนจำนองกับธนาคารแล้ว ขอให้บังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ในส่วนที่จำเลยที่ 2ต้องชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับธนาคาร ทั้งนี้เพื่อให้โจทก์รับโอนที่พิพาทตามส่วนของโจทก์ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยปลอดค่าภาระติดพันซึ่งเป็นไปตามลำดับการบังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งถึงที่สุดแล้วได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7824/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับการบังคับคดีตามคำพิพากษา: ไถ่ถอนจำนองก่อนโอนทรัพย์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม โจทก์มีสิทธิขอให้บังคับคดีตามลำดับ
คำพิพากษาที่บังคับให้จำเลยที่2ไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินกับธนาคารแล้วให้จำเลยที่1ไปจดทะเบียนโอนให้โจทก์ที่2จำนวนสามในสี่ส่วนหากเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาและหากจำเลยที่1และที่2ไม่สามารถโอนให้โดยปลอดค่าภาระติดพันก็ให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่2นั้นเป็นการกำหนดให้จำเลยที่1และที่2กระทำการชำระหนี้ทีละอย่างก่อนหลังตามลำดับเมื่อการจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองจำเลยที่2สามารถปฏิบัติได้แต่จำเลยที่2ไม่ยอมปฏิบัติโจทก์ที่2ก็ชอบที่จะไถ่ถอนจำนองแล้วขอให้บังคับคดีแก่จำเลยที่2ในส่วนที่จำเลยที่2ต้องชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองได้โจทก์ที่2จะขอบังคับคดีให้ขายทอดตลาดที่ดินแล้วนำเงินที่ขายได้แบ่งให้โจทก์ที่2ตามส่วนอันเป็นการบังคับคดีที่ไม่เป็นไปตามลำดับตามคำพิพากษาหาได้ไม่เพราะเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271ประกอบด้วยมาตรา302วรรคแรกและมิใช่เป็นเรื่องที่อยู่ในบังคับแห่งข้อยกเว้นที่ศาลจะมีคำสั่งได้ดังที่บัญญัติไว้ตามมาตรา144(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7747/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอพิจารณาคดีใหม่ต้องแสดงเหตุผลความไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องของคำพิพากษาอย่างชัดเจน
คำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยไม่ได้แสดงเหตุโดยละเอียดชัดแจ้งว่า คำพิพากษาไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องอย่างไร ไม่มีข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลเพื่อแสดงว่าตนอาจชนะคดีได้อย่างไร คงกล่าวแต่เพียงว่า ถ้ามีการสืบพยานจำเลยแล้ว จำเลยมีทางชนะคดี ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง ที่ศาลจะสั่งให้มีการพิจารณาใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7747/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำขอพิจารณาใหม่ต้องแสดงเหตุผลชัดเจนว่าคำพิพากษาไม่ถูกต้องอย่างไร การกล่าวอ้างว่าหากสืบพยานแล้วจะชนะคดีไม่เพียงพอ
คำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยไม่ได้แสดงเหตุโดยละเอียดชัดแจ้งว่าคำพิพากษาไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องอย่างไรไม่มีข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลเพื่อแสดงว่าตนอาจชนะคดีได้อย่างไรคงกล่าวแต่เพียงว่าถ้ามีการสืบพยานจำเลยแล้วจำเลยมีทางชนะคดีไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา208วรรคสองที่ศาลจะสั่งให้มีการพิจารณาใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7576/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในการเฉลี่ยทรัพย์ แม้คดีไม่ถึงที่สุด และการคุ้มครองเจ้าหนี้จากทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290ได้บัญญัติถึงการใช้สิทธิของเจ้าหนี้ที่จะยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ได้ไว้แต่เพียงว่าจะต้องเป็นเจ้าหนี้ตาม คำพิพากษา และให้ยื่นคำขอก่อนสิ้นระยะเวลาสิบสี่วัน นับแต่วันขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินซึ่งตามความในบทมาตราดังกล่าว ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเมื่อคดีถึงที่สุดกรณีจึงไม่จำเป็นต้องรอให้คดีถึงที่สุดก่อนเจ้าหนี้ก็มีสิทธิยื่นคำร้องขอเพื่อที่จะยังให้ได้รับรองคุ้มครองและบังคับตามสิทธิของตนโดยบทบัญญัติของมาตรานี้ได้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคสองเป็นบทบัญญัติที่คุ้มครองเจ้าหนี้ ข้ออ้างที่ว่าจำเลยยังมีทรัพย์สินอื่นที่ผู้ร้องสามารถเอาชำระหนี้ได้ซึ่งเป็นข้อโต้แย้งระหว่างเจ้าหนี้ด้วยกันจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ย่อมจะยกขึ้นโต้แย้งไม่ได้