คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
พยานหลักฐาน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,589 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 186/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานในคดีอาญา: ความสอดคล้องของคำเบิกความกับพยานหลักฐานอื่น และเหตุผลที่น่าเชื่อถือ
คำเบิกความของพยานในชั้นพิจารณาจะมีน้ำหนักน่ารับฟัง หรือไม่ มากน้อยเพียงใด ต้องพิเคราะห์รายละเอียดเหตุผลแวดล้อมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นข้อประกอบศาลจึงอาจหยิบยกข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ปรากฏเกี่ยวข้องกับคำเบิกความของพยานนั้นในชั้นสอบสวนมาเปรียบเทียบได้หาได้ถูกจำกัดให้รับฟังได้แต่เฉพาะคำเบิกความพยานในชั้นพิจารณา ในขณะเดียวกันคำให้การของพยานในชั้นสอบสวนจะมีน้ำหนักน่ารับฟังมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและเหตุผลที่ปรากฏ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1816/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความสามารถในการต่อสู้คดีของผู้ต้องหาที่มีอาการเจ็บป่วยทางจิต และการรับฟังพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิด
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 14 ในกรณีที่ศาลเห็นว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้วิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ให้ศาลงดการไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาไว้ จนกว่าผู้นั้นหายวิกลจริตหรือสามารถจะต่อสู้คดีได้ ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจตามกฎหมายที่จะชี้ขาดในกรณีมีเหตุควรเชื่อว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้วิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้หรือไม่เมื่อศาลชั้นต้นชี้ขาดว่าจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้ และจำเลยก็มิได้โต้แย้งคัดค้านการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นต่อมาจึงชอบด้วยกฎหมาย การที่แพทย์เบิกความเป็นพยานในชั้นที่ศาลชั้นต้นจะต้องชี้ขาดว่า สภาพของจำเลยในขณะที่ถูกฟ้องคดีนี้สามารถต่อสู้คดีได้หรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 14โดยแพทย์เบิกความเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2536 ว่า จำเลยเข้ารับการรักษาตั้งแต่ปี 2532 ตรวจพบว่าจำเลยเป็นโรคจิตเภทขณะตรวจพบว่าจำเลยมีอาการวิตกกังวล ไม่สามารถตอบคำถามได้อย่างต่อเนื่อง จากสภาพของจำเลยขณะที่ตรวจ แพทย์วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นโรคทางจิตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้เมื่อไม่มีปรากฏความเห็นของแพทย์ที่ตรวจอาการของจำเลยระหว่างเกิดเหตุ และเมื่อศาลชั้นต้นนัดพร้อมกลับปรากฏข้อเท็จจริงต่อหน้าศาลว่า จำเลยสามารถถามตอบต่อศาลได้ ดังนี้ ความเห็นของแพทย์ดังกล่าวจึงยังไม่สามารถรับฟังเป็นยุติได้ว่า ขณะกระทำความผิดจำเลยมีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน อันจะทำให้จำเลยไม่ต้องรับโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความเป็นเจ้าของรถที่ถูกยึด: พยานหลักฐานต้องสอดคล้องและน่าเชื่อถือ
รถจักรยานยนต์ของกลางที่ถูกยึดยังมีรายการจดทะเบียนรถแสดงว่าจำเลยเป็นเจ้าของรถอยู่ ยังมิได้มีการเปลี่ยนแปลงรายการจดทะเบียนผู้เป็นเจ้าของรถเป็นชื่อผู้ร้องแต่อย่างใดทั้งปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองรถจักรยานยนต์ของกลางเป็นคนแรกและเพิ่งครอบครองเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2539ซึ่งเป็นการครอบครองก่อนที่ผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องได้ซื้อรถของกลางจากจำเลยเพียง 8 วัน หากผู้ร้องซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางจากจำเลยจริงก็ควรจะพูดจาตกลงให้เป็นที่แน่นอนว่าจะไปจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้เป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางกันเมื่อใด แต่ผู้ร้องก็มิได้ตกลงในข้อดังกล่าวทั้งข้ออ้างของจำเลยที่ว่าได้ขายรถยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้องเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ผู้อื่นที่จำเลยยืมมาซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางนั้น ก็เป็นคำเบิกความลอย ๆไม่มีรายละเอียดว่าจำเลยยืมเงินจากใคร จำนวนเท่าใดทั้งจำเลยเพิ่งซื้อและนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปจดทะเบียนเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2539 ไม่ปรากฏว่าผู้ที่ให้จำเลยยืมเงินได้ทวงถาม อันจะทำให้จำเลยต้องรีบร้อนขายรถจักรยานยนต์ของกลาง เพื่อนำไปชำระหนี้เงินยืมหลังจากที่ซื้อมาได้เพียง 8 วัน พยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำสืบว่าผู้ร้องซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางจึงมีพิรุธ ฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องได้ซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางจากจำเลย ผู้ร้องจึงมิใช่เจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางอันแท้จริงที่จะมีสิทธิมาร้องขอคืนรถคันดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1793/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: การโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานในชั้นอุทธรณ์ ถือเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาเรียงกระทงลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 6 ปี และฐานจำหน่ายเฮโรอีนจำคุก 6 ปี รวมจำคุก 12 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามแล้ว คงจำคุกจำเลย 9 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า เมื่อลดโทษให้หนึ่งในสามแล้วคงจำคุกจำเลย 8 ปี จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยฎีกาว่า พนักงานสอบสวนไม่ได้ทำแผนที่เกิดเหตุ ไม่ให้จำเลยนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ สายลับที่อ้างว่าล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยไม่ได้มาเบิกความเป็นพยาน และพฤติการณ์ของเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมส่อไปในทางทุจริต พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงมีพิรุธไม่ควรแก่การเชื่อถือพยานจำเลยสามารถหักล้างพยานโจทก์ได้นั้น ล้วนเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1789/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รับฟังพยานสัญญาซื้อขายสำเนาได้ หากต้นฉบับสูญหาย และมีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน
แม้สัญญาซื้อขายที่โจทก์อ้างเป็นพยานต่อศาลจะเป็นเพียง สำเนาเอกสารแต่เมื่อเป็นกรณีต้นฉบับเอกสารสูญหาย ศาลก็ สามารถรับฟังสำเนาสัญญาซื้อขายดังกล่าวประกอบพยานหลักฐาน อื่นของโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1441/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในคดีขับไล่และเรียกค่าเสียหาย: การโต้แย้งดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานถือเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ไม่อาจฎีกาได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์อ้างว่าจำเลยอยู่โดยละเมิดและเรียกค่าเสียหายเท่ากับอัตราค่าเช่าเดือนละ 10,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะสัญญาซื้อขายทรัพย์สินพิพาทระหว่างจำเลยกับส.เป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ยืมเงินและโจทก์คบคิดกับส.โอนทรัพย์สินพิพาทโดยฉ้อฉล ทั้งโจทก์มิได้เสียหายอย่างใดจึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ10,000 บาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสองจำเลยฎีกาว่าจำเลยกับ ส.ไม่มีเจตนาซื้อขายทรัพย์สินพิพาทแต่เป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ยืมเงิน และที่ ส. โอนขายทรัพย์สินพิพาทให้แก่โจทก์เป็นการคบคิดกันฉ้อฉลจำเลย ทั้งค่าเช่าในทรัพย์สินพิพาทไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท นั้นเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ถือเป็นปัญหาข้อเท็จจริงอันต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1373/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองยาเสพติด - พยานหลักฐานไม่ชัดเจน - ยกประโยชน์แห่งความสงสัย
โจทก์ไม่มีพยานที่เห็นว่าจำเลยเป็นผู้นำเฮโรอีนของกลางไปซุกซ่อนไว้ใต้ต้นปาล์ม เฮโรอีนของกลางที่ยึดได้อยู่ห่างบ้านจำเลยถึง 15 เมตร และซุกซ่อนอยู่ในถุงพลาสติกครอบด้วยกะลามะพร้าวใต้ต้นปาล์มติดแนวเขตที่ดินจำเลยซึ่งปกติย่อมยากที่เจ้าพนักงานตำรวจจะตรวจค้นพบได้นอกจากเจ้าพนักงานตำรวจจะทราบล่วงหน้าถึงสถานที่ซุกซ่อนเฮโรอีนของกลาง แต่ก็ไม่ปรากฏว่าเช่นว่านั้นทำให้เป็นที่สงสัย และหากเฮโรอีนของกลางเป็นของจำเลยก็น่าจะซุกซ่อนในที่ที่ปลอดภัยกว่านี้ไม่น่าจะซุกซ่อนใกล้ชิดกับแนวเขตที่ดินของผู้อื่นโดยไม่มีรั้วกั้นเขตแดนและเป็นที่โล่งแจ้งซึ่งความปลอดภัยมีน้อยอีกทั้งสถานที่พบเฮโรอีนของกลางอยู่ห่างจากบ้านจำเลยโดยมี สวนกาแฟคั่นใกล้แนวเขตที่ดินของผู้อื่นและไม่มีรั้วกั้นโอกาสที่ผู้อื่นจะนำมาซุกซ่อนย่อมเป็นไปได้ไม่ยาก ทั้งในการตรวจค้นจำเลยก็นำตำรวจค้นโดยมิได้ขัดขืนแต่ประการใดและจำเลยให้การปฏิเสธตลอดมาว่าเฮโรอีนของกลางมิใช่ของจำเลย ประกอบกับใบบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุแผนที่แสดงสถานที่ เกิดเหตุและภาพถ่ายประกอบคดีไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลย หลบหนีหรือแสดงจุดที่จับกุมจำเลยได้ พยานหลักฐานโจทก์จึงยัง เป็นที่สงสัยตามสมควรว่าเฮโรอีนของกลางจำเลยเป็นผู้ที่มี ไว้ในครอบครองหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็น ผลดีแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 135/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี พยานหลักฐานสอดคล้อง แม้ไม่พบร่องรอยบาดแผล
โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่า ตนถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเรารวม 3 ครั้ง โดยผู้เสียหายได้เบิกความถึง รายละเอียดของการกระทำของจำเลยก่อนทำการข่มขืนกระทำชำเรากับสภาพที่เกิดเหตุ ทั้งได้ลำดับเรื่องราวเป็นลำดับไปและหลังเกิดเหตุแล้วผู้เสียหายได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ ว.ทราบ ต่อมา ว. เล่าเรื่องให้ ป. มารดาผู้เสียหายทราบ ป. จึงได้สอบถามผู้เสียหายอีกครั้งหนึ่ง ผู้เสียหายรับว่าเป็นความจริง ซึ่ง ว. กับ ป. ได้เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นดังกล่าวไว้ คำของพยานโจทก์เบิกความสอดคล้องกันมีเหตุผลน่าเชื่อฟัง เพราะผู้เสียหายเป็นเด็กสาววัยรุ่นขณะเกิดเหตุอายุ 14 ปีเศษ และไม่มีประสบการณ์ในเรื่องเพศสัมพันธ์มาก่อน หากไม่เป็นความจริงคงไม่กล้านำเอาเรื่องที่น่าอับอายมาเล่าให้ผู้อื่นฟังและได้ความว่าผู้เสียหายเป็นคนมีสติปัญญาไม่ดีแต่พูดจารู้เรื่อง ไม่น่าจะมีความคิดบิดเบือนความจริงหรือแต่งเรื่องขึ้นมาเองเพื่อกล่าวหาจำเลยให้ได้รับโทษเป็นแน่ จากการตรวจร่างกายผู้เสียหายไม่พบร่องรอยใด ๆ เช่นรอยฟกช้ำหรือรอยบาดแผลที่อวัยวะเพศทั้งภายนอกภายในก็ตาม แต่แพทย์เบิกความอธิบายว่า ถ้าผู้หญิงถูกผู้ชายวัย 25 ถึง 30 ปี ข่มขืนกระทำชำเราทุกวันในเวลา 5 วัน ความบอบช้ำของอวัยวะเพศของ ผู้เสียหายก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้เสียหายเคยผ่านการร่วมเพศมาหรือไม่ ความรุนแรงในการร่วมเพศและร่างกายถูกทำร้ายด้วยหรือไม่ ถ้าผู้เสียหายมาให้ตรวจร่างกายในระยะเวลาไม่นานหลังจากถูกข่มขืนกระทำชำเราก็อาจจะหาร่องรอยการข่มขืนได้ร่องรอยการถูกข่มขืนจะน้อยหรือมากก็แล้วแต่ความรุนแรงของการถูกข่มขืน ถ้าข่มขืนไม่รุนแรงร่องรอยก็อาจหายในเวลาเพียง 7 ถึง 10 วัน จึงแสดงให้เห็นว่าหากผู้เสียหายมาให้ตรวจร่างกายภายหลังเกิดเหตุประมาณ 10 วันแล้ว และการข่มขืนไม่รุนแรงก็จะไม่พบร่องรอยการถูกข่มขืนดังกล่าวได้ข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายถูกข่มขืนกระทำชำเรามาแล้วประมาณ 10 วัน แล้วจึงมาให้แพทย์ตรวจร่องรอยดังกล่าวกับปรากฎว่าจำเลยมีภริยาแล้วอาจอาศัยเคยผ่านประสบการณ์การร่วมเพศมาก่อนจึงกระทำการไม่รุนแรงต่อผู้เสียหายในขณะร่วมเพศก็เป็นได้ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไม่พบร่องรอยหรือบาดแผลที่อวัยวะเพศของผู้เสียหาย นอกจากนี้จากการตรวจร่างกายของผู้เสียหายปรากฎว่าพบเยื่อพรหมจารีของผู้เสียหายมีรอยฉีกขาดแต่ไม่มีรอยบาดแผลหรือแผลหายแล้วนั่นเอง แสดงว่าภายหลังผู้เสียหายถูกกระทำชำเราล่วงพ้นไปแล้ว10 วัน รอยบาดแผลของเยื่อพรหมจารีของผู้เสียหายก็จะหายไปเองดังนั้น พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาฟังได้มั่นคงว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1284/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจับกุมและการพิสูจน์ความผิดฐานขายยาเสพติด: พยานหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือและการละเลยโอกาสจับกุม
หากพยานซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมาดักซุ่มดูพฤติการณ์ ของจำเลยโดยเจตนาที่จะจับกุมจำเลย เพราะได้รับรายงานจาก สายลับว่าจำเลยมีพฤติการณ์ขายเมทแอมเฟตามีน เมื่อเห็นจำเลย ส่งมอบห่อของให้ ล. โดยมีพฤติการณ์ลักลอบซ่อนเร้นซึ่งพยานก็คิดว่าจำเลยขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่ ล. ตามที่สายลับแจ้งจริง พยานก็ควรเข้าจับกุมจำเลยพร้อม ล. ทันทีข้อที่พยานอ้างว่าเหตุที่ยังไม่เข้าจับกุมทันทีเนื่องจาก ล. นำห่อกระดาษซุก ไว้ที่ทรวงอกจึงไม่สะดวกแก่การค้นตัวผู้ถูกจับกุม ก็เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งซึ่งสามารถควบคุมตัว ผู้ถูกจับกุมไปมอบให้เจ้าพนักงานตำรวจหญิงค้นที่สถานีตำรวจ หรือเรียกให้มาค้นในที่เกิดเหตุก็ได้ การที่พยานละโอกาส ปล่อยให้ ล. และจำเลยแยกย้ายกันไปแล้วจึงติดตามไปจับกุมล. และต่อมาล่วงเลยมาถึง 2 เดือนเศษ จึงจับกุมจำเลยเป็นข้อพิรุธน่าระแวงสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้ขายเมทแอมเฟตามีน ให้ ล. จริงหรือไม่ ทั้งภายหลังจับกุม ล. แล้ว ในวันเดียวกับที่จับกุม ล. นั้น พยานได้พาพนักงานสอบสวนไปตรวจค้นบ้านร้างและบ้านจำเลย ก็พบจำเลยอยู่ที่บ้านของ จำเลยด้วย แต่ไม่พบเมทแอมเฟตามีนหรือสิ่งผิดกฎหมายอื่นที่บริเวณบ้านจำเลยหรือที่ตัวจำเลย ดังนี้พยานหลักฐานโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้มีและขายเมทแอมเฟตามีนตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 120/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเฮโรอีนเพื่อจำหน่าย: พยานหลักฐานน่าเชื่อถือ, พฤติการณ์, และการลดโทษ
การที่พยานโจทก์ทั้งสองตรวจท้องที่มาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ เห็นจำเลยถือถุงกระดาษเดินสวนทางมาท่าทางมีพิรุธจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและขอตรวจค้นถุงกระดาษที่จำเลยถือพบเฮโรอีนของกลาง โดยที่พยานทั้งสองปากไม่เคยรู้จักและไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนและขณะนั้นจำเลยเป็นหญิงมีครรภ์แก่ถึง 8 เดือน หากเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริง พยานทั้งสองก็คงจะไม่มีจิตใจโหดร้ายพอที่จะปรักปรำและใส่ร้ายถึงขนาดนั้น โดยเฉพาะ ก.เป็นนายตำรวจสัญญาบัตรชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้มีวัยวุฒิ สูงแล้วคงจะมีความรู้สึกสำนึกในมโนธรรมอยู่บ้าง อีกทั้งที่เกิดเหตุก็เป็นบริเวณถนนซอยสาธารณะเป็นที่เปิดเผยย่อมเป็นที่รู้เห็นแก่ประชาชนผู้สัญจรไปมาทั่ว ๆ ไป รูปการณ์จึงไม่มีเหตุและความจำเป็นที่พยานทั้งสองจะเสี่ยงกระทำในสิ่งที่ไม่ชอบธรรมและโดยปราศจากข้อความจริงเช่นนั้น พยานหลักฐานโจทก์จึงกอปรด้วยเหตุผลมีน้ำหนักน่ารับฟังส่วนพยานจำเลยมีนางส.ซึ่งนอกจากจะเป็นมารดาของจำเลยแล้วก็ยังมิได้อยู่รู้เห็นในที่เกิดเหตุ และถึงอย่างไรวิสัยมารดาย่อมต้องรักห่วงบุตรยิ่งกว่าชีวิต สำหรับพยานปากอื่นของจำเลยก็เบิกความขัดกันจึงมีพิรุธน่าสงสัย ทั้งพยานจำเลยที่อยู่ในที่เกิดเหตุระหว่างนั้นก็น่าจะพอรู้เห็นได้ว่าถุงกระดาษของกลางเป็นของบุคคลใดเนื่องจากราคาเฮโรอีนที่อยู่ในถุงกระดาษมีราคาถึง 32,000 บาท จึงมิใช่เรื่องเล็กน้อยที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะนำมาวางทิ้งไว้เสมือนหนึ่งไม่สนใจใยดีอย่างนั้นพฤติการณ์พยานจำเลยจึงมีข้อสงสัยขึ้นอีกไม่มีน้ำหนักรับฟังพอแก่การหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้
of 259