พบผลลัพธ์ทั้งหมด 790 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 30/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับเด็กเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย: พฤติการณ์ต้องเปิดเผยและต่อเนื่อง
โจทก์ได้เสียกับจำเลยครั้งแรกเมื่อจำเลยรับโจทก์ไปทำปลาที่บ้านจำเลยต่อมาก็ได้เสียกันในทุ่งนาประมาณ 10 กว่าครั้ง และไม่เคยอยู่ร่วมเรือนเดียวกันฉันสามีภริยาเลย นอกจากจำเลยเขียนจดหมายรัก ส่งรูปถ่ายของจำเลย และบัตรส่งความสุขให้โจทก์บ้างเท่านั้น เมื่อโจทก์ตั้งครรภ์จำเลยเพียงแต่ส่งเสียเงินทองให้และรับว่าจะไปจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตร แต่พอโจทก์คลอดบุตรจำเลยกลับไม่รับว่าเป็นบุตรของจำเลย กรณีเช่นนี้ถือไม่ได้ว่าโจทก์และจำเลยได้อยู่กินด้วยกันอย่างเปิดเผยในระยะเวลาซึ่งโจทก์อาจตั้งครรภ์ได้ และถือไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์ที่รู้กันอยู่ทั่วไปตลอดมาว่าเด็กหญิงเน้ยเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลย จึงไม่เข้าเกณฑ์ที่จะขอให้รับเด็กเป็นบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529 อันเป็นบทบัญญัติซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะฟ้องคดี
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 1/2520
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 1/2520
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2513/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ: พฤติการณ์ข่มขู่และความจำเป็นในการใช้ปืน
ผู้เสียหายกับจำเลยเคยรักใคร่กัน ต่อมาจำเลยเลิกติดต่อกับผู้เสียหาย ผู้เสียหายโกรธเคยตบหน้าจำเลยและมีหนังสือแจ้งว่าจะทำลายล้างจำเลยและมารดาจำเลยจะเอาน้ำกรดสาดหน้าจำเลย วันเกิดเหตุผู้เสียหายมาที่ประตูบ้านจำเลย จำเลยร้องบอกให้มารดาผู้เสียหายมาเอาตัวผู้เสียหายไป มารดาผู้เสียหายบอกให้ผู้เสียหายกลับบ้านแต่ผู้เสียหายกลับเดินเข้าไปหาจำเลย จำเลยบอกให้ออกไป ผู้เสียหายกลับพูดว่าไม่มีใครช่วยมึงได้หรอก พฤติการณ์เช่นนี้ย่อมเห็นได้ว่าผู้เสียหายเข้าไปเพื่อจะทำร้ายจำเลย แต่ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายมีอาวุธ การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายจึงเป็นการพยายามฆ่าโดยป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2473/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้าย vs. เจตนาฆ่าในคดีปล้นทรัพย์ การพิจารณาจากลักษณะบาดแผลและพฤติการณ์
จำเลยที่ 1 กับพวกใช้มีดปลายแหลมของกลางเล่มเดียวซึ่งมีความยาวทั้งด้ามและตัวมีดประมาณ 1 ฟุต แทงประทุษร้ายผู้เสียหายในการปล้นทรัพย์ จนผู้เสียหายตกจากรถจักรยานยนต์และช่วยกันลากผู้เสียหายเข้าป่าข้างทาง แล้วเอาปืนกับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายพาหนีไป ฝ่ายคนร้ายมีถึง 3 คนมีกำลังเหนือกว่าผู้เสียหายมาก หากมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายแล้วย่อมมีโอกาสทำได้ แต่จำเลยที่ 1 กับพวกก็หาได้กระทำเช่นนั้นไม่ บาดแผลของผู้เสียหายรวม 8 แผล แพทย์มีความเห็นว่ารักษา 10 วันหาย แสดงว่าเป็นบาดแผลเล็กน้อยไม่ทำให้ผู้เสียหายถึงตายเพราะไม่ถูกที่สำคัญ เช่นนี้จำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย เพียงมีเจตนาทำร้ายเท่านั้นจึงมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ แต่ไม่มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1840/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยอาวุธมีด ศาลพิจารณาจากบาดแผลและพฤติการณ์
จำเลยกับพวกประมาณ 4-5 คนได้เข้ามาพูดจาหาเรื่องวิวาทกับผู้เสียหายโดยพวกจำเลยคนหนึ่งถามผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายตอบก็ชกผู้เสียหายแล้วชักมีดออกมาแทงที่ท้อง ขณะผู้เสียหายยืนงงอยู่ พวกของจำเลยอีกคนหนึ่งก็เข้ามาแทงซ้ำที่หน้าอก โดยจำเลยกับพวกที่เหลือกันพวกผู้เสียหายไว้ไม่ให้เข้าไปช่วย เป็นการแทงโดยมีโอกาสเลือกแทงผู้เสียหายมีบาดแผลที่หน้าท้องส่วนบนขวายาว 2 เซนติเมตร กว้าง 1 เซนติเมตร ลึกเข้าไปในช่องท้องถูกลำไส้เล็ก แผลที่หน้าอกขวายาว 2 เซนติเมตร กว้าง 1 เซนติเมตร ลึก 0.5 เซนติเมตร แพทย์ผู้ให้การรักษาเบิกความว่าต้องผ่าหน้าท้องเพื่อเย็บเส้นเลือดและลำไส้เล็กที่ขาดภายใน เลือดตกในช่องท้อง 150 ลูกบาศก์เซนติเมตรแผลที่หน้าอกติดซี่โครง ถ้าไม่ติดซี่โครงก็ทะลุปอดถ้ารักษาไม่ทันตายแน่นอน ลักษณะการแทงและผลการรักษาส่อแสดงว่ามีเจตนาจะฆ่าให้ตาย จำเลยกับพวกต้องมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 92/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัสและการร่วมกันทำร้ายผู้อื่น ศาลพิจารณาเจตนาและพฤติการณ์
จำเลยจับมือ ณ. ผู้เสียหายบิดไว้ ทำให้พวกของจำเลยมีโอกาสเลือกแทงได้ แต่พวกของจำเลยกลับใช้มีดพกปลายแหลมยาวเกือบ 1 คืบ แทง ณ. บริเวณด้านหลังมีบาดแผล 2 แห่ง ยาวแผลละ 2 เซนติเมตร แผลที่หนึ่งลึกเพียง 1 เซนติเมตร แสดงว่าไม่ได้ตั้งใจแทงโดยแรง แผลที่สองเยื้องไปทางขวาบังเอิญมีดทะลุไปถูกไตต้องตัดไตข้างขวาออก และรักษาตัวราว 27 วัน ออกจากโรงพยาบาลไป ยังไม่พอที่จะแสดงให้เห็นเจตนาว่าจะฆ่า จำเลยคงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส
เมื่อพวกของจำเลยแทง ย. ผู้เสียหายแล้ว ย. วิ่งหนี จำเลยกับพวกวิ่งไล่ตามไป แสดงว่าร่วมกันจะทำร้าย ย. อีก ครั้นตามไปทัน พวกของจำเลยใช้มีดแทง ย. จำเลยต้องมีความผิดฐานเป็นตัวการทำร้าย ย. ด้วย
เมื่อพวกของจำเลยแทง ย. ผู้เสียหายแล้ว ย. วิ่งหนี จำเลยกับพวกวิ่งไล่ตามไป แสดงว่าร่วมกันจะทำร้าย ย. อีก ครั้นตามไปทัน พวกของจำเลยใช้มีดแทง ย. จำเลยต้องมีความผิดฐานเป็นตัวการทำร้าย ย. ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 698/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาและพฤติการณ์การกระทำชำเราเด็ก: การพิจารณาความผิดฐานพยายามกระทำชำเรา
จำเลยขับผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุเพียง 7 ขวบ ให้ขึ้นไปนอนบนที่นอนพร้อมทั้งแก้ผ้านุ่งผู้เสียหายออก แล้วจำเลยแก้กางเกงแล้วนอนทับ เอาของลับใส่ในของลับผู้เสียหายขยับตัวขึ้นลงอันเป็นลักษณะการลงมือกระทำชำเราและผู้เสียหายรู้สึกเจ็บที่ของลับ ดังนี้ เป็นการเห็นได้แน่ชัดว่าจำเลยมีเจตนากระทำชำเราผู้เสียหาย และได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานพยายามกระทำชำเรา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 ประกอบด้วยมาตรา 80
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 698/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พฤติการณ์การกระทำชำเราเด็กหญิง แม้ไม่สำเร็จก็เป็นความผิดฐานพยายามกระทำชำเรา
จำเลยจับผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุเพียง 7 ขวบให้ขึ้นไปนอนบนที่นอนพร้อมทั้งแก้ผ้านุ่งผู้เสียหายออกแล้วจำเลยแก้กางเกงแล้วนอนทับ เอาของลับใส่ในของลับผู้เสียหายขยับตัวขึ้นลงอันเป็นลักษณะการลงมือกระทำชำเราและผู้เสียหายรู้สึกเจ็บที่ของลับ ดังนี้ เป็นการเห็นได้แน่ชัดว่าจำเลยมีเจตนากระทำชำเราผู้เสียหาย และได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานพยายามกระทำชำเรา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 ประกอบด้วยมาตรา 80
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2615/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแทงผู้อื่นเสียชีวิตโดยเจตนา: พฤติการณ์สำคัญบ่งชี้เจตนาฆ่า
ผู้ตายถูกต่อยเซไปเพราะเข้าไปห้ามมิให้คนสองฝ่ายทะเลาะกัน แล้วจำเลยวิ่งเข้าไปแทงผู้ตายฝ่ายเดียว พฤติการณ์เช่นนี้หาใช่เป็นการฉุกละหุกจนจำเลยไม่อาจกำหนดแน่ได้ว่าจะแทงให้ถูกผู้ตายตรงไหนไม่ได้ไม่การที่จำเลยแทงถูกชายโครงด้านซ้ายของผู้ตายเห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะแทงให้ถูกผู้ตายตรงอวัยวะสำคัญ ผู้ตายมีบาดแผลเป็นรูปปีกกายาวประมาณ 4.5 เซนติเมตร ทะลุเข้าปอดและทะลุช่องท้องไปถูกม้าม แสดงว่าจำเลยจ้วงแทงจากเบื้องสูงลงไปโดยแรงด้วยเหล็กขูดชาร์ฟยาว 21 เซนติเมตรแม้จะแทงเพียงทีเดียวก็ย่อมแลเห็นผลได้ว่าอาจทำให้ผู้ถูกแทงถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2199/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น แม้ไม่ถึงแก่ชีวิต ศาลพิจารณาจากพฤติการณ์การกระทำ
จำเลยใช้กำลังจับมือผู้ตายให้ลุกขึ้นโดยผู้ตายไม่สมัครใจ เมื่อผู้ตายบอกว่าจะไปสวมเสื้อก่อน จำเลยจึงปล่อย ถือได้ว่าเป็นการใช้กำลังทำร้าย ผิดมาตรา 391
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2161/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าแต่ไม่ไตร่ตรอง: พฤติการณ์หึงหวงฉับพลันไม่ถือเป็นแผนการวางแผนล่วงหน้า
จำเลยกับผู้เสียหายเคยอยู่กินฉันสามีภรรยามาก่อน ต่อมาได้แยกกันอยู่เนื่องจากผู้เสียหายจะแต่งงานกับทหารอเมริกัน ก่อนเกิดเหตุจำเลยมีจดหมายถึงผู้เสียหายขอให้ไปพบมีข้อความว่า "ถ้าไม่ไปพบพี่แล้ว พี่ขอให้นางได้รู้เถิดว่าพี่ยอมสละทุกสิ่งทุกอย่าง พี่กับนางจะต้องเสียใจจนตลอดชีวิตของเราทั้งสองคน" ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีความอาฆาตคิดสังหารผู้เสียหายมาก่อน จึงฟังไม่ถนัดว่าการที่จำเลยมีจดหมายดังกล่าวจะเป็นแผนการที่จำเลยวางไว้เพื่อจะฆ่าผู้เสียหาย
วันเกิดเหตุจำเลยมาที่บ้านผู้เสียหาย พบผู้เสียหายอยู่กับชายอื่นในห้องนอนสองต่อสอง เมื่อชายอื่นเปิดประตูห้อง ผู้เสียหายเดินตามออกมา จำเลยเข้าบีบคอผู้เสียหาย จำเลยจับผู้เสียหายเข้าไปในห้องนอนใส่กลอนประตู จำเลยใช้มีดพับสปริงแทงผู้เสียหาย 30 แผล บาดแผลทะลุถึงปอดต้องผ่าตัด ดังนี้ แสดงว่าจำเลยเกิดความหึงหวงขึ้นมาฉับพลันทันที แล้วจำเลยจึงแทงผู้เสียหาย ตามพฤติการณ์ดังกล่าวรูปคดียังไม่มีเหตุผลพอที่จะฟังว่าจำเลยมีแผนการหรือไตร่ตรองไว้ก่อน ในการที่จะฆ่าผู้เสียหาย
วันเกิดเหตุจำเลยมาที่บ้านผู้เสียหาย พบผู้เสียหายอยู่กับชายอื่นในห้องนอนสองต่อสอง เมื่อชายอื่นเปิดประตูห้อง ผู้เสียหายเดินตามออกมา จำเลยเข้าบีบคอผู้เสียหาย จำเลยจับผู้เสียหายเข้าไปในห้องนอนใส่กลอนประตู จำเลยใช้มีดพับสปริงแทงผู้เสียหาย 30 แผล บาดแผลทะลุถึงปอดต้องผ่าตัด ดังนี้ แสดงว่าจำเลยเกิดความหึงหวงขึ้นมาฉับพลันทันที แล้วจำเลยจึงแทงผู้เสียหาย ตามพฤติการณ์ดังกล่าวรูปคดียังไม่มีเหตุผลพอที่จะฟังว่าจำเลยมีแผนการหรือไตร่ตรองไว้ก่อน ในการที่จะฆ่าผู้เสียหาย